มหากาพย์ ไตรภาค โดย นริศ จิระวงศ์ประภา 02

• ภาคที่1 กระบวนการแนวความคิด&การตัดสินใจ

• ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คน คงเคยสงสัยในเรื่องเดียวกันกับผม ที่ว่า ในบรรดาผู้คนที่เรารู้จัก ทำไมหลาย ๆ คนถึงได้ดูราวกับว่าเขาเหล่านั้นประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างง่ายดาย ทำอะไรก็ดูจะถูกที่ ถูกเวลาไปเสียหมด เข้าทำนอง “คิดอะไรก็ใช่ ทำยังไงก็ถูก” แถมยังถูกซ้ำแล้วซ้ำอีก จนบางคนสามารถประสบความสำเร็จในทางหน้าที่การงาน หรือบางคนก็สร้างเนื้อสร้างตัวได้อย่างรวดเร็ว กลายเป็นเศรษฐี หรือมหาเศรษฐีในเวลาไม่นานนัก แตกต่างกับบางคนที่มักจะผิดพลาดอยู่เสมอ ผิดที่ ผิดเวลา ชีวิตที่ผ่านมาเจอแต่ปัญหาอุปสรรคให้เสียจังหวะอยู่ร่ำไป เข้าทำนองตรงข้ามกันคือ “ทำอะไรก็ผิด คิดอะไรก็พลาด” อยู่ตลอด

• แล้วอะไรเป็นสิ่งกำหนดชะตาชีวิต ที่ทำให้คนที่ประสบความสำเร็จ แตกต่างกับคนโดยทั่วไป ?

• >>>บางคนอาจจะคิดถึงการศึกษาที่แตกต่างกัน...
• ... แล้วมันจะจริงหรือเปล่า...?
• เพราะอย่างที่เราเห็น ๆ กันอยู่ เศรษฐีในประเทศหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัวเจริญ แห่งอาณาจักรไทยเบฟ เจ้าสัวเฉลียว แห่งค่ายกระทิงแดงที่รู้จักกันดี หรือแม้แต่เศรษฐีต่างประเทศอย่างบิล เกทส์ แห่งไมโครซอฟท์ หรือ สตีฟ จ๊อป แห่งแอปเปิ้ลแหว่ง ต่างก็เรียนไม่จบเหมือนกัน 

• >>>บางคนอาจจะคิดถึงพื้นฐานบุญเก่าที่สร้างสมมาดี ทำให้ได้อยู่ในที่โอกาสเหมาะสม เรียกว่าถูกที่ ถูกเวลาทุกทีไป
• ... จริงหรือ...?
• เพราะเท่าที่ผมได้อ่านประวัติของหลาย ๆ ท่านที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ชีวิตของบางท่านอาจถือได้ว่าเริ่มต้นจากศูนย์ หรือบางท่านต้องพบกับความยากลำบากในจุดเริ่มต้นของชีวิตที่อาจจะถือว่าติดลบด้วยซ้ำ
• ถึงตรงนี้ หลายคน ก็คงคิดหาสาเหตุไปร้อยแปด 

• >>>พระเจ้าดลบันดาล...? 
• >>>กรรมเก่ามาเอาคืน...? 
• >>>หรือบางคนอาจจะคิดถึงทฤษฎีต่างประเทศที่ว่า Random Four – Random Five หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “ฟลุก” อธิบายเป็นภาษาชาวบ้านได้ว่าเกิดจากการสุ่มของธรรมชาติที่ไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัวนั่นเอง

• “โดยส่วนตัวผมเอง ไม่คิดว่าเป็นไปตามหลักสุ่มสี่สุ่มห้า หรือฟลุกหรอกครับ”

• ผมคิดถึงสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้กว่าสองพันปีมาแล้วว่าทุก ๆ อย่างของผล ล้วนเกิดโดยมีเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ทุกสิ่งที่เกิด ล้วนมีเหตุอันเป็นที่มาของสิ่งนั้น หรือคุยกันง่าย ๆ ให้เห็นภาพว่าถ้าเราอยากได้ผลอะไร ก็ไปหาเอาได้ที่ต้นนั้นๆ เช่น ถ้าเราอยากกินมะม่วง ก็ควรไปหาที่ต้นของมะม่วง ไม่ใช่ไปที่ต้นของมะพร้าว ใช่ไหมครับ ในเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราอยากรู้ผลในเรื่องอะไร เราก็ไปหาที่ต้นเหตุของเรื่องนั้นให้เจอ.....

• ... แล้วต้นเหตุหล่ะมันหาอย่างไร มันอยู่ตรงไหน...?

• พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสไว้อีกนั่นแหละว่า... “ทุกๆอย่างเริ่มจากจิต” หรือถ้าเป็นภาษาทางโลกอย่างที่ผมเข้าใจ คือ “ทุกๆอย่างเริ่มต้นจากความคิด” ผมจึงมองเห็นว่า คนกลุ่มนี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันค่อนข้างชัดเจน คือเรื่อง แนวความคิดและการตัดสินใจ

• คนกลุ่มที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น จะผ่านการตกผลึกทางความคิด มีความสามารถในการคิดและตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านมาในชีวิตได้ “ถูกมากกว่าผิด” (โดยเฉพาะเรื่องสำคัญ ๆ) คนกลุ่มนี้ผมเชื่อว่า ขั้นตอนในการคิดของพวกเขาค่อนข้างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีการเรียงลำดับความคิดอย่างเป็นระบบ และ มีที่มาที่ไปของความคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งต่างกับคนอีกกลุ่มที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในชีวิต ที่ตัดสินใจด้วยความคลุมเครือ ใช้สัญชาตญาณในการตัดสินใจเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเมื่อได้ตัดสินใจไปแล้ว ก็มักจะไม่มั่นใจในการตัดสินใจของตนเอง ประกอบกับการตัดสินใจโดยสัญชาตญาณนั้น เมื่อคิดถูกในเรื่องใด ก็จะไม่รู้ว่าตนเองคิดถูกในเรื่องนั้นเพราะอะไร หรือถ้าตัดสินใจผิด ก็ไม่รู้ว่าต้นเหตุที่ตนผิดอยู่ตรงไหน(เห็นแต่อาการของความผิด) จึงไม่สามารถนำมาเป็นบทเรียนในการคิดหรือในการตัดสินใจในเหตุการณ์ทำนองเดียวกันได้อีกในครั้งต่อไป นั่นคือความแตกต่างระหว่างคนสองกลุ่มนี้ 

• ผมจึงอยากจะแยกแยะให้ทุกท่านได้เห็นกระบวนการคิดของคนเรา ซึ่งหลายท่านอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องพื้น ๆ ไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่เลย มีแต่เรื่องที่รู้ ๆ กันอยู่ หรือรู้มาตั้งนานแล้ว ก็ต้องขออภัยที่ผมเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน ซึ่งผมคิดว่าจริง ๆ แล้ว สำหรับท่านที่รู้ ก็คงเป็นเพราะท่านเองก็เป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั่นเองครับ

• ผมขอแยกแยะกระบวนการ หรือองค์ประกอบต่าง ๆ ของการคิดออกมา โดยขอเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์ให้เข้าใจง่ายขึ้นในการทำความรู้จักกระบวนการคิดของพวกเรานะครับ

• ผมคิดว่ากระบวนการคิดและตัดสินใจของคนเรา มีองค์ประกอบอยู่ 4 ส่วน

• 1. ฮาร์ดแวร์ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จับต้องได้ ถ้าจะเทียบกับคนเราก็คงเป็นองค์ประกอบต่าง ๆ ของร่างกายจำพวกหู ตา จมูก ปาก เหมือนซีดีรอม คีย์บอร์ด จอภาพ ที่เอาไว้รับรู้ ตอบสนองและแสดงผล สมอง เหมือนซีพียู และฮาร์ดดิสก์ไว้เก็บข้อมูล &ประมวลผล โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าโดยปกติเราใช้ฮาร์ดแวร์ในร่างกายกันไม่เต็มที่ โดยเฉพาะในเหตุการณ์ปกติ เคยเห็นว่ามีคนวิเคราะห์วิจัยพบว่ามีการใช้งานของสมองเพียง 5 เปอร์เซนต์เท่านั้นเอง และเท่าที่สังเกตุคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนมากก็ไม่ได้มี IQ หรือมีสมองที่เหนือกว่าคนอื่นอย่างชัดเจน ดังนั้นโดยส่วนตัวผมจึงคิดว่า ฮาร์ดแวร์ เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง ที่มีความจำเป็นที่ขาดไม่ได้เท่านั้นเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าว่าความสำเร็จของคนขึ้นกับใครมีฮาร์ดแวร์ที่ดีกว่ากัน คนที่มีฮาร์ดแวร์พอใช้ได้ ผมคิดว่าก็สามารถจะไต่เต้าไปถึงจุดสูงสุดได้เช่นกันครับ

• 2. ซอฟต์แวร์ คือโปรแกรมที่สั่งให้ฮาร์ดแวร์ทำงาน หรือชุดคำสั่งที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อกำหนดให้ฮาร์ดแวร์มีการทำงานตามลำดับขั้นตอน ถ้าจะเทียบกับคนเรา อาจเป็นเรื่องของ แนวคิด กระบวนการคิด การตัดสินใจ ให้ทำอะไร เมื่อไร ที่ไหน หรืออาจเปรียบเสมือนแผนที่และเข็มทิศนำทาง ที่คอยบอกว่าจุดหมายที่ต้องการนั้นต้องไปทางไหน โดยส่วนตัวผมมองว่าจุดนี้เป็นจุดที่สำคัญมากๆจุดหนึ่ง ซึ่งหลาย ๆ คน ก็มักจะพลาดในจุดนี้ 
• ชีวิตพวกเรามองจุดหมายที่คล้ายๆกัน เช่น ต้องการประสบความสำเร็จในการเลือกหุ้น ทุกๆคนคิดที่จะรวยจากหุ้นเหมือนๆกัน แต่ทำไมแต่ละคนได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ส่วนหนึ่งเกิดจาก พวกเรามองแต่จุดหมายที่กำลังจะไป แต่กลับไม่ได้มาทบทวนตนเองว่า “แผนที่นำทางของเรานั้นถูกหรือผิด” ภาษาทางโลกกับทางธรรมใช้คำๆเดียวกันในเรื่องนี้คือคำว่า “หลง” 
• แล้วสิ่งที่จะทำให้เรามองสิ่งต่างๆได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่หลงทางนั้นผมคิดว่า เราต้องมีแผนที่หรือแนวคิดที่ถูกต้องเสียก่อน ซึ่งผมขอยกเรื่องแนวคิดซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ไว้คุยกันคราวหน้านะครับ

• 3. ดาต้าเบส หรือ ฐานข้อมูล ในอดีตต้องยอมรับว่า คนที่กุมข้อมูลข่าวสารนั้นได้เปรียบมาก ๆ ในตลาดหุ้น แต่ในปัจจุบันช่องว่างนั้นได้แคบลงไปมากแล้ว และกลับกลายเป็นยุคที่ข่าวสารข้อมูลท่วมท้นเสียมากกว่า คนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ในยุคนี้ ไม่เหมือนเช่นในอดีตที่ใครมีข้อมูลมากกว่าคือผู้ชนะ แต่ในยุคปัจจุบันนี้ ผู้ชนะ คือผู้ที่สามารถคัดกรองข้อมูลได้ถูกต้องมากกว่า เพราะข่าวสารปัจจุบัน มีทั้งที่เป็นความเห็นและความจริง ผสมปนเปเป็นแกงโฮ๊ะให้เราต้องแยกกันเอาเอง ทั้งจากกูรูที่รู้จริงและกูไม่รูที่ไม่รู้จริง แถมยังมีกูรูที่มีผลประโยชน์แอบแฝงมาเบี่ยงเบนประเด็นไปเสียอีก 

• ในเรื่องนี้ ผมคิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จ จะมีความโดดเด่นจากคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยเหตุผลในสองด้านคือ

• -พวกเขาสามารถแยกแยะข้อมูลได้อย่างถูกต้องระหว่าง ความเห็นกับความจริง ของเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

• -พวกเขามองข่าวสารอย่างเป็นกลาง มองอย่างที่มันกำลังจะเกิดขึ้น ต่างกับคนที่พลาด ที่มองข่าวสาร ในมุมอย่างที่เขาคิดไว้ก่อน และเห็นมันในทางที่พวกเขาอยากจะเห็น ไม่ใช่มองเห็นอย่างที่ความจริงกำลังจะเป็น

• 4. Bug & Virus ถ้าแปลกันจริง ๆ ผมคิดว่าจะยิ่งงง ขอทับศัพท์เลยนะครับ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ขัดขวางการทำงานของฮาร์ดแวร์ และ ซอฟต์แวร์ ทำให้แต่ละส่วนทำงานไม่ประสานกัน หรือ ทำให้เราคำนวณผิดพลาดจากความเป็นจริง ถ้าเปรียบเทียบเป็นตัวเรากับการลงทุน Bug และ Virus คงเปรียบได้กับกิเลส 3 ตัว คือ

• “ความกลัว ความโลภ และ ความหลง” 

• กิเลสทั้งสามนี้จะทำให้ การคิด การอ่าน การประเมินผล ของเรานั้นไม่ตั้งอยู่บนหลักของเหตุและผล ซึ่งในการลงทุน ถ้าเราต้องการตัดสินใจให้ถูกต้องด้วยเหตุที่เราคิด ใตร่ตรองอย่างรอบคอบไว้แล้วว่าผลที่จะเกิดตามมานั้น เป็นผลดีอย่างแน่นอน(แผนที่ถูกต้อง) เราก็ควรจะมองกิเลสทั้งสามให้ออก คนที่ประสบความสำเร็จในด้านการลงทุน เขาเหล่านั้นมองเห็นกิเลสที่กำลังก่อขึ้นในใจตนเอง เขาเลือกที่จะมองและพิจารณาไปที่กิเลสทั้งสามเสมือนว่านั่งดูหนัง และเข้าใจว่าสิ่งที่เห็นนั่นคือบทบาท หรือเหตุการณ์ที่ดำเนินไปในเรื่อง เขาสามารถรู้และเข้าใจถึงอารมณ์ตนเอง ว่าเกิดขึ้นจากอะไร และไม่ปล่อยให้การกระทำของตนเองคล้อยไปตามอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามเหตุการณ์ในขณะนั้น และตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยเหตุผล ที่ถูกต้อง ในเวลาที่เหตุการณ์หรือนายตลาดดูเหมือนจะไม่มีสติครับ นักลงทุนมือหนึ่งของโลก อย่างเช่น วอเรน บัฟเฟตต์ จึง กล่าวไว้ว่า ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จในชีวิตการลงทุน “จงลงทุนแบบสวนกระแส อย่างคัดสรร” 

• เราย้อนกลับมาที่หลายๆท่านอาจจะยังสงสัยเรื่องที่ผมได้เกริ่นก่อนหน้านี้ไว้ว่า 
• “ทุกๆอย่างเริ่มต้นจากความคิด”

• หลาย ๆ ท่านยังอาจจะแย้งอยู่ในใจ.................?
• อะไรจะขนาดนั้น......... ? 
• แค่ความคิด จะมีผลขนาดนั้นได้อย่างไร...........?

• ผมขอให้ท่านลองเปรียบชีวิตของเราเหมือนกับเราอยู่ใจกลางป่าใหญ่ เราต้องการที่จะกลับบ้าน มีทางเลือกให้เราเลือกไปอยู่หลายทาง ด้านหนึ่งเป็นเหวลึก ด้านหนึ่งเป็นหน้าผาสูงชัน อีกด้านหนึ่งเป็นป่ารก การจะเดินทางต่อไป บางคนก็เลือกที่จะปีนลงเหว เพื่อจะเดินลงไปหาแม่น้ำ บางคนก็เลือกเดินฝ่าเข้าไปในป่า เพื่อไม่ให้เสียเวลา บางคนก็เลือกที่จะปีนป่ายหน้าผาขึ้นไปยอดเขา เพื่อต้องการมองให้เห็นทิศทางที่จะต้องไปก่อน หรือบางคนก็ไม่กล้าตัดสินใจ ปล่อยเวลาไปกับการเที่ยวเล่น เตร็ดเตร่ ย้อนไปย้อนมา ไม่เลือกทางไหนสักทาง ซึ่งแต่ละด้านที่แตกต่างไปก็เปรียบเสมือนเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกัน........ท่านเพียงแค่คิดว่าจะเลือกเดินทางใดทางหนึ่ง ความคิดนั้นก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางชีวิตต่อไปในอนาคตของท่านเลย จริงไหมครับ......

• เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ย้อนกลับมาไม่ได้อีก การเลือกเดินในเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะอย่างที่บอกว่านั่นเท่ากับเป็นการกำหนดจุดเริ่มต้นของเส้นทางชีวิต ซึ่งก็อาจหมายถึงจุดหมายปลายทางที่แตกต่างกันด้วยเช่นกันครับ 

• ประเด็นที่อยากให้ท่านสนใจนั้นอยู่ที่ท่านมีแผนที่ ที่สามารถทำให้ท่านเลือกทางเดินได้ถูกต้องแล้วหรือยัง ความคิดในการเลือกเส้นทางการลงทุน เปรียบเสมือนแผนที่นำทางการลงทุนให้ท่าน บางคนกว่าจะรู้สึกได้ว่าตัวเองเดินทางมาผิดทาง ก็ไกลโข เสียเวลาไปมากมาย หรือบางคนกว่าจะรู้ ก็อาจจะเสียเวลาไปเกือบทั้งชีวิตก็มี

• ซึ่งมันเหนื่อยขึ้นอีกหลายเท่าเลยนะครับ เมื่อรู้ว่าที่เราเพียรทำมาทั้งชีวิต... มันผิดทาง

• หลังจากที่เรารู้แล้วว่า แนวคิดสำคัญมากขนาดไหน ผมขอเสนอแนวคิดที่ผมได้ใช้เป็นแผนที่นำทางในการลงทุน สักสี่เรื่องพอหอมปากหอมคอ ดังต่อไปนี้นะครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘