หัวใจการเจริญพระกรรมฐาน


วันนี้ก็จะขอย้อนพูดถึงหัวใจของการเจริญสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา เมื่อฟังแล้วก็จำกันไว้ด้วย ตามธรรมดาพระพุทธเจ้าท่านพูดไม่ซ้ำ ตามแนวของพระพุทธเจ้ามีคำอยู่ว่า อักขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก ไม่ใช่ยกยอปอปั้นให้ใครได้ฌานสมาบัติ การปฏิบัติจะให้ได้ดีในเขตของพระพุทธศาสนา เรามีความจำเป็นอย่างยิ่งต้องปฏิบัติตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามหรือแนะนำว่าไม่สมควร สิ่งนั้นเราต้องเว้นเด็ดขาด ถ้าสิ่งใดที่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงสนับสนุน สิ่งนั้นต้องทำด้วยชีวิต จงพยายามทำด้วยจิตใจที่แท้จริง

การเจริญหรือปฏิบัติความดีในพระพุทธศาสนาเพื่อมรรคผล ที่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนยังมีความเข้าใจผิดกันอยู่มาก ว่าการปฏิบัติด้วยอาการเครียดเป็นของดี นี่เราก็ต้องหันไปดูพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จัดว่าเป็นปฐมเทศนาที่แสดงกับท่านปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้งห้า มีท่านอัญญาโกณฑัญญะเป็นต้น ในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ๆ เวลานั้นองค์สมเด็จพระจอมไตร ตั้งใจมาเทศน์โปรดพุทธบริษัททั้งห้า หัวใจแห่งการแสดงพระสัทธรรมเทศนาเวลานั้นมีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน คือ

๑. อัตตกิลมถานุโยค

๒. กามสุขัลลิกานุโยค

๓. มัชฌิมาปฏิปทา

สามอย่างนี้ เพราะว่าเวลานั้นเป็นเวลาเชื่อมระหว่างพระพุทธศาสนากับศาสนาพราหมณ์ เดิมที่พราหมณ์ชอบปฏิบัติตัวในด้านอัตตกิลมถานุโยค มีการทรมานตัวบ้าง นั่งไม่กินข้าวบ้าง กินข้าวเวลาเดียวบ้าง กินข้าวเฉพาะบ้านที่เขาให้บ้านเดียวบ้าง กินข้าวแต่เพียงเล็กน้อยบ้าง ไม่ยอมนอนบ้าง มีการทรมานกายมีการอดข้าวบ้าง อย่างนี้เป็นต้น พราหมณ์เขาชอบทรมานตน วิธีนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ลองเหมือนกัน เพราะว่าสมัยนั้นเขาถือว่าดี องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ทำ ทำมาสิ้นเวลาหกปีจนร่างกายซูบผอมมาก เดินซวนจะล้ม เอามือลูบร่างกายรู้สึกว่าขนมันหลุดตามมือ แสดงว่าเลือดไม่มีจะเลี้ยงมันก็ไม่สำเร็จผล ต่อมาองค์สมเด็จพระทศพลอาศัยที่มีบารมีแก่กล้าเต็มบริบูรณ์ จึงมีอารมณ์เกิดขึ้นทางใจว่า การบรรลุผลเห็นจะไม่ใช่มาในทางส่วนอัตตกิลมถานุโยค คือ การทรมานตน องค์สมเด็จพระทศพลจึงได้ทรงฉันพระกระยาหารมีกำลังดีแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงเอาหญ้าคาที่เขาถวาย ๘ กำปูลงข้างต้นโพธิ แล้วนั่งหันหลังพึงโคนโพธิ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ทรงอธิษฐานพระทัยว่า ถ้าเราไม่สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด เลือดและเนื้อของเราจะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือว่าชีวิตนี้จะสิ้นไป เราจะไม่ยอมลุกจากที่นี่ เป็นอันว่าวันนั้นเอง องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณในวันนั้น คือวันเพ็ญกลางเดือนแปด ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้มีพระพุทธฏีกาว่า

ดูก่อนท่านทั้งหลาย ส่วนสุดสองอย่าง เราปรารถนามรรคผลจงอย่าเข้าไปแตะต้อง คือ อัตตกิลมถานุโยค การปฏิบัติตนด้วยความลำบาก มีการเคร่งเครียด มีการทรมานกาย นี่ก็เห็นว่าเวลานี่เราก็นิยมกันมากสำหรับนักปฏิบัติที่ชอบผิดสาย คือชอบนั่งกันนานๆ ทรมานเป็นชั่วโมงๆ ถือว่าเป็นการดี อันนี้ผิด เป็นอันว่าการทรมานกายนี้ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาถือว่าผิด ไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผล มันเครียดเกินไป

ส่วนสุดเบื้องต่ำอีกอย่างหนึ่งคือ กามสุขัลลิกานุโยค เวลาที่เรานั่งภาวนาไปก็นึกอยากจะถึงนั่น อยากจะถึงนี่ อยากจะเป็นอย่างนี้ อยากจะเป็นอย่างนี้ ไอ้ตัวอยากนี่มันเป็นตัณหา คือเป็นกิเลส แล้วทำไมเราจึงไปอยากกัน

นี่อาการสองอย่างนี้ องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาทรงให้ละเสียอย่าเข้าไปแตะต้อง ส่วนที่สมควรเป็นการบรรลุมรรคผลได้จริงๆ ก็คือ มัชฌิมาปฏิปทา การปฏิบัติตนพอดีพอควร นั่งมันเมื่อยก็นอน นอนไม่สบายก็ยืน ยืนไม่ถนัดก็เดิน ใช้ได้ในอิริยาบถทั้งสี่ เอาแต่พอดีพอควร ไม่เกินพอดีเกินไป แล้วทำจิตใจให้ตรงเฉพาะต่ออารมณ์ที่เราต้องการ นี่อย่างนี้เขาเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ที่นักปฏิบัติจะต้องพยายามปฏิบัติให้ตรงสายจริง นี่เป็นกฏใหญ่

ต่อไปเราก็หันเข้าไปดูในอุทุมพริกสูตร หรือพรที่พระเทวทัตขอต่อพระพุทธเจ้า มีส่วนที่เป็นอุปกิเลสหลายอย่างด้วยกัน ที่นักปฏิบัติในสมัยปัจจุบันมีความต้องการ แล้วมันก็จะไปได้อะไร ยังมีความเห็นว่าการกินข้าวหนเดียว การไม่กินเนื้อสัตว์เลยเป็นการบรรลุมรรคผล เราก็ดูองค์สมเด็จพระทศพลสมัยนั้น พระเทวทัตขอพรต่อพระพุทธเจ้าว่า พระที่อยู่ป่าจงอยู่ป่าอย่าเข้าบ้าน พระที่อยู่ในบ้านจงอย่าออกป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระทั้งหลายจงอย่าฉันเนื้อสัตว์ เพราะเป็นการสนับสนุนชาวบ้านให้ทำบาป เมื่อชาวบ้านอยากจะทำบุญก็เอาเนื้อสัตว์มาถวาย อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาไม่ยอมปฏิบัติตาม เพราะอันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของอัตตกิลมถานุโยค เพราะว่าถ้าชาวบ้านเขากินเนื้อสัตว์พระไม่กินเนื้อสัตว์ ชาวบ้านก็เกิดความลำบาก จะต้องทำอาหารเป็นสองประการ แล้วอีกประการหนึ่งพระองก็จะมีความลำบาก ลำบากด้วยอาหารเพราะชาวบ้านเขาไม่มีจะให้

การบริโภคอาหารนี่ องค์สมเด็จพระจอมไตรมีระเบียบอยู่แล้ว จะเป็นอาหารประเภทไหนก็ตาม ถ้าเว้นไว้จากที่พระวินัยบังคับและอาหารที่เป็นโทษกับร่างกาย ก่อนที่จะฉันอาหารองค์สมเด็จพระจอมไตรให้พิจารณาเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา พิจารณาว่าอาหารนี่มันมีพื้นฐานมาจากความสกปรก พืชพันธุ์ธัญญาหารก็สกปรก เนื้อสัตว์ก็สกปรก ที่เรากินของสกปรกเข้าไป ร่างกายของเราก็สกปรก มันจะเอาอะไรมาสะอาด ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของสัตว์ก็ดี มีสภาพน่าเกลียด แต่ว่าเรากินไปเพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น เราจะไม่เมาชีวิต เราจะไม่เมาในร่างกาย เราจะไม่ติดในรสอาหาร ระเบียบนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารมีอยู่แล้ว

สำหรับในอุทุมพริกสูตร องค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสถึงอุปกิเลสหลายประการรวมแล้ว ๔๐ ประการด้วยกันว่า ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า เจ้าจงอย่าคิดว่าบุคคลอื่นเขาโลภในอาหาร อย่าทะนงตนว่าเป็นบุคคลดี เป็นคนกินน้อยบริโภคน้อย บุคคลนั้นกินมากบริโภคมาก บุคคลนั้นเป็นผู้ไม่เลือกอาหารอย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นอันว่าการปฏิบัติภายนอกนี่ องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาไม่ทรงสรรเสริญ เพราะไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผล ทางที่จะบรรลุมรรคผลมันมีอยู่เฉพาะที่ใจเท่านั้น ทำตัวให้สบาย เราไปทางไหนเข้ากับสังคมนั้นเขาได้ ถ้าหากว่าเราปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งไม่เหมือนกับสังคมนั้น ก็จะเกิดการทะนงตัว เป็นกิเลสไปว่า สมาคมนั้นสู้เราไม่ได้ สมาคมนี้สู้เราไม่ได้ สมาคมนั้นดีกว่าเรา สมาคมนี้เลวกว่าเรา กลายเป็นมานะถือตัวถือตนไป นี่เป็นอารมณ์ของอุปกิเลสใช้ไม่ได้

ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์เป็นจำนวนมากที่บรรลุมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลไม่เคยสั่งให้ระงับนั่นระงับนี่ นอกจากอาการปกติ การฉันภัตตาหารให้เป็นไปตามระเบียบที่ชาวบ้านเขานำมาถวายเท่าที่มันมี เขามีมาแค่นี้เราไม่เลือกอย่างโน้น ถือว่ายังอัตภาพให้เป็นไป เขาให้มากก็กินมาก ให้น้อยก็กินน้อย เขาให้มากกินมากเกินไปก็ไม่ได้ การบริโภคอาหารให้เป็นไปตามโภชเน มัตตัญญุตา การรู้จักประมาณกินอาหาร กินไม่มากไม่น้อยเกินไปเอาตามสมควร ไม่นั่งเพ่งโทษบุคคลอื่น นี่เป็นอารมณ์อันหนึ่ง

อีกอันหนึ่งต้องทำใจของเราให้หยุดอยู่ในจุดสงบ หมายความว่า เราเพ่งเล็งจิตของเราแต่ผู้เดียว ตามพระบาลีว่า อัตตนา โจทยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเองไว้เสมอว่า คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ว่ายังไงให้เราปฏิบัติ ห้ามไว้แบบไหน ไม่ให้เราทำ นี่อันนี้ต้องปฏิบัติให้เคร่งครัด ไม่ใช่จะไปนึกเอาตามอารมณ์ที่ชาวบ้านเขาทำกัน เห็นชาวบ้านเขาทำ ชาวบ้านไม่ใช่พระพุทธเจ้า ถ้าคนนั้นเขาดีจริงๆเขาก็ต้องเป็นพระพุทธเจ้าที่เขาสร้างแบบแผนขึ้นมาหักล้างคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่เราเป็นพุทธสาวกปฏิบัติตามไม่ได้ ถ้าขืนปฏิบัติตามเราก็ไม่มีมรรคผลใดๆ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เพราะคัดค้านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสียแล้ว

สำหรับอารมณ์ทางใจ อารมณ์ทางใจก็มีอยู่ว่า อันดับแรก องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาให้พิจารณาแต่จิตของตัวเท่านั้น จริยาของบุคคลอื่นจะเป็นยังไงก็ช่าง ที่ว่า อักขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นเพียงผู้บอก อัตตนา โจทยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเองเตือนไว้ว่าพระพุทธเจ้าสอนเราไว้แบบไหน เราทำตามนั้น พระพุทธเจ้าห้ามแบบไหน เราเว้นตามนั้น นี่เป็นประการหนึ่งที่เราจะต้องปฏิบัติโดยเคร่งครัด

วิธีปฏิบัติที่ให้จิตเข้าถึงฌานหรือวิปัสสนาญาณขั้นดี จงจำไว้ว่า สมถะ แปลว่า อุบายเป็นเครื่องสงบใจ สมถภาวนาไม่ใช่อุบายเป็นเครื่องเห็นผีเห็นเทวดา เห็นนรกเห็นสวรรค์ เห็นภาพต่างๆ ไม่ใช่อย่างงั้น จำคำแปลให้ดี สมถะแปลว่า อุบายเป็นเครื่องสงบใจ ทำใจให้สงบจากอารมณ์ภายนอก ยืดถืออารมณ์ฝ่ายเดียวที่เราตั้งใจไว้

อันดับแรกองค์สมเด็จพระจอมไตรให้ระงับความคิดที่จะไปนั่งเพ่งเล็งชาวบ้านเขาคนนั้นดีคนนี้เลว ดูใจเราเฉพาะเท่านั้นว่าใจของเรามันดีหรือว่าใจของเรามันเลว ใช้สติสัมปชัญญะควบคุม

ประการที่ ๒ ให้มีศีลบริสุทธิ์

ประการที่ ๓ ระงับนิวรณ์ห้าประการได้ทุกขณะ นิวรณ์ห้า คือ

ระงับจากความปรารถนาในกามารมณ์ รูปสวย เสียงเพราะ รสอร่อย กลิ่นหอม สัมผัสที่เราต้องการ อารมณ์เกลือกกลั้วไปด้วยกามารมณ์ อันนี้ต้องระงับได้ทันทีทันใดแล้วก็เสมอ

ระงับจากความโกรธความพยาบาท

ระงับจากความง่วงเหงาหาวนอน

อย่างนี้วันนี้ได้ยินเสียงแว่วๆ เข้ามา เราต้องไม่สนใจในเสียง อุทธัจจะ กุกกุจจะ จิตไม่ฟุ้งซ่านไปตามเสียง แล้วก็ไม่รำคาญตามเสียง จับองค์ภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยให้ทรงอยู่

ไม่สงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นอกจากนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ทรงพรหมวิหารสี่ คือ

    มีเมตตาปกติ คิดว่าเราไม่เป็นศัตรูกับใคร เราจะเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั้งหมดทั่วโลก ทำใจให้สบาย
    กรุณา เรามีความสงสาร จะสงเคราะห์คนและสัตว์ให้มีความสุขตามกำลังที่เราจะทำได้
    มุทิตา มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร พลอยยินดีเมื่อบุคคลอื่นได้ดี
    อุเบกขา วางเฉยไว้ อย่างเสียงเขาเปิดขยายเสียงกันวันนี้ นั่นเขาถูกคอกัน เขาก็ต้องใช้เสียงประเล้าประโลมเป็นเรื่องของเขา งานการทำสมาธิจิตเป็นเรื่องของเรา

นี่ หลักใหญ่ในการเจริญพระกรรมฐาน มีเท่านี้ ถ้าหากว่าเราทรงอารมณ์ได้ตามนี้แล้ว ไม่ฝ่าฝืนคำตักเตือนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วแล้วก็ปฏิบัติตามคำสอนประเดี๋ยวมันก็ได้ฌานสมาบัติ

เอ้า วันนี้เราลองสอบใจกัน วันนี้แหละดีมาก เพราะว่าเสียงขยายเสียงเข้ามารบกวนยิ่งดี ไม่ใช่ของไม่ดี อันดับแรกเราก็พยายามจับลมหายใจเข้าออก เพราะลมหายใจเข้าออกนี่ระงับอารมณ์ฟุ้งซ่านของจิต หายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก หรือนับก็ได้ หายใจเข้าหายใจออกนับเป็น ๑ ลองนับดูซิมันจะได้สักเท่าไร นับมันแค่ ๑๐ คู่ พอถึง ๑๐ คู่ แล้วเราก็ขึ้นต้นใหม่ ดูซิชั่วเวลา ๓๐ นาทีนี่เราจะแพ้เสียงหรือว่าเราจะชนะเสียง

ถ้าหูเรายังได้ยินเสียงถนัด รู้เขาร้องเพลงทุกอย่าง แต่ว่าใจไม่รำคาญ อันนี้ชื่อว่า จิตของเราเป็นปฐมฌาน ถ้าหากว่าเสียงเราได้ยินเบาลง อารมณ์แช่มชื่น ขาดคำภาวนาขาดไป อันนี้ชื่อว่าเป็นฌานที่ ๒ ถ้าลมหายใจเข้าออกรู้สึกว่าแผ่วเบาลงมาก อาการตึงเป๋ง ร่างกายเหมือนเครียด หูได้ยินเสียงแว่วๆ น้อยๆ จิตทรงสมาธิได้ดี อันนี้เป็นฌานที่ ๓ ขณะใดถ้าภาวนาไป พิจารณาไป บังเอิญหูไม่ได้ยินเสียงเลย คิดว่าเขาเลิกไปแล้ว ใจสบาย โปร่ง อันนี้เป็นฌานที่ ๔

นี่เป็นเครื่องวัดสำหรับวันนี้ว่าการเจริญ เราเจริญพระกรรมฐานกันมาตั้งนานแล้ว นี่มีผลเป็นประการใด

เอาละ ต่อแต่นี้ไป ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน พยายามตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา ลองซ้อมใจดูนะว่า สมาธิเราฝึกกันมามีผลหรือไม่มีผล วันนี้มันดีมากเป็นการซ้อมไปในตัวเสร็จ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘