อาลัยหลวงพ่อปาน (ต่อ)


ทีนี้สำหรับหลวงพ่อปานมีความเคารพในองค์สมเด็จพระบรมครู ศึกษาพระปริยัติได้เป็นอย่างดี ท่านบอกว่าเวลาบิณฑบาต ท่านก็จดหนังสือไปตอนหนึ่ง เดินไปบิณฑบาตท่านก็ท่อง เดินกลับมาท่านก็ท่องในใจ เวลาจะเรียนหนังสือไปเรียนที่วัดเจ้าเจ็ดใน ไปกับอาจารย์เกี้ยวคู่หูกันเวลาพายเรือไปท่านก็ท่องหนังสือไปเรื่อย เวลาพายเรือกลับท่านก็ท่องหนังสือ จิตของเราถ้าท่องอยู่ในหนังสือหนังหา จิตมันก็ไม่พะวงเรื่องอื่น

ต่อมาเที่เรียนที่วัดเจ้าเจ็ดในจบเรียบร้อย จบแล้วหมายความถึงว่าครูบาอาจารย์ท่านเลิกสอน ท่านบอกว่าท่านบ้อต๋อแล้ว ไม่มีอะไรจะสอน ความจริงท่านเรียนได้รวดเร็วมาก เพียงสองพรรษาเท่านั้น ครูก็ยกล้อ ท่านจึงไปต่อที่วัดสระเกศจังหวัดพระนคร อยู่ถึงพรรษาที่ ๓ เรียนจบการก สมัยนั้นเป็นมูลกัจจายน์ แปลหนังสือที่แปลได้ก็แปลหนังสือธรรมบท มงคลทีปนี ตติยสามนต์ เป็นต้น แล้วก็วิสุทธิมรรคอภิธรรม ท่านไม่ได้สอบเป็นมหาเปรียญกับเขา ที่อาตมาทราบว่าท่านแปลอภิธรรมได้ ก็เพราะเคยเอาอภิธรรมพิสดารไปให้แปล เอาวิสุทธิมรรคบาลีไปให้ดู ท่านเห็นวิสุทธิมรรคท่านยิ้ม บอกว่าวิสุทธิมรรคนี่ฉันคล่องมาก เพราะว่าฉันมีเจตนารักในวิสุทธิมรรคเป็นกรณีพิเศษ

สำหรับอาจารย์เกี้ยวนั่น รักอภิธรรมเป็นกรณีพิเศษ สามารถตั้งวิเคราะห์ในอภิธรรมได้เรียกว่าทุกศัพท์ ทุกตัวก็แล้วกัน ทุกคำไอ้ศัพท์เศิพนี่ฟังยาก เมื่อเรียนจบเรียบร้อยแล้วก็กลับมาวัด ตอนนี้เข้าวัดบางนมโค เพราะว่าเวลานั้น วัดบางนมโคนี่บางจริง ๆ วัดเกือบจะหายไป มีแต่นมโค เพราะมันโกรงเกรงด้วยประการทั้งปวง วัดเดิมตั้งอยุ่ทางทิศเหนือทางต้นสะตือ ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทไปจะเห็นต้นสะตือใหญ่อยู่ทางด้านทิศเหนือ นี่กลุ่มกุฏิเดิมตั้งอยู่สายนี้ และพระอุโบสถเก่าอยู่ตรงกับเจดีย์ออกไปทางด้านทิศตะวันออก แต่ทว่าเวลานี้โบสถ์เก่าก็ไม่มี กุฏิเก่าก็ไม่เหลือ สำหรับกุฏิเก่านี่อาตมาเคยอยู่ สมัยนั้นมีอยู่ ๓ - ๔ หลัง เคยรู้สภาพและเคยเห็นสภาพของกุฏิ เมื่อไปถึงวัดบางนมโคแล้วท่านกับอาจารย์เกี้ยวก็พร้อมใจกันสอนพระปริยัติ ทั้งด้านพระวินัย และพระบาลี และก็เป็นนักเทศน์ สอนไม่มีใครเขาให้เงินเดือน ไปเทศน์กินเองบ้าง เทศน์เอาเงินมาเลี้ยงลูกศิษย์ลูกหาบ้าง ได้มาเท่าไหร่ก็หมด

พอพรรษาที่แปดก็สร้างพระเจดีย์ที่ปรากฏองค์อยู่ในเวลานี้ เป็นการเริ่มสร้าง ในงานแรก ท่านดำดินดำทรายด้วยองค์เอง แล้วต่อมาก็รื้อกุฏิบางส่วน เอาไปตั้งในส่วนที่ตั้งอยู่ในปัจจุบัน เวลานี้เป็นที่น่าเสียดาย กุฏิแถวยาวนั้นเป็นกุฏิเก่า ๆ ที่หลวงพ่อรื้อออกไปแล้ว ก็ไปทำขึ้นใหม่ เวลานี้อายุกาลผ่านวัยไปมากแล้ว เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง อาตมาไม่มีแรงเสียแล้ว ตั้งใจจะไปรื้อสร้างตึกให้ใหม่เป็นอาคารสองชั้นให้ทันสมัย แต่ว่ากำลังร่างกายมันไม่ไหว นี่บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลานี้อายุของอาตมาก็จะใกล้จะพอดีกับที่หลวงพ่อปานตายแล้ว หรือว่าพอดีหรือว่าเลยพอดีไปหน่อย หลวงพ่อปานตายอายุเท่าไหร่ พ.ศ. ๒๔๘๒ อายุท่านได้ ๖๔ ปี นี่เวลานี้อาตมาอายุก็จะเข้ารอบอยู่แล้ว เข้ารอบมรณภาพ ความจริงมันควรจะตายเสียตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เพราะหมดเกณฑ์ในปีนั้น แต่ทำไมอยู่มาสร้างความรำคาญให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัทได้ก็ไม่ทราบ

นี่เป็นจริยวัตรขณะที่บวชใหม่ เมื่อท่านสร้างวัดก็สร้าง สอนหนังสือก็สอน แล้วก็เทศน์เลี้ยงพระเลี้ยงเณร ท่านบอกว่าพระเณรฆราวาสเต็มไปหมดเวลานั้น เป็นโรงเรียนแรกของในเขตนั้นที่สอนกันเป็นการใหญ่ โรงเรียนเดิมคือวัดเจ้าเจ็ดตั้งแล้วก่อน แต่ว่าเล็กไป ไม่ใหญ่เท่าโรงเรียนของท่าน เป็นที่นิยมมากเพราะท่านเลี้ยงนักเรียนด้วย ต่อมาก็สร้างอาคารขึ้นหลังหนึ่งเป็นที่สอนพระปริยัติธรรม ที่ศาลาสร้างใหม่เวลานี้ และศาลามุขหน้าสองหลังที่มีถังน้ำข้างล่าง สถานที่ตรงนั้นที่เดิมเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรม ทาสีเขียว นี่อาตมายังจำได้ นี่เป็นจริยาวัตรที่ท่านบวชใหม่ ๆ ความจริงเป็นพระใหม่ ๘ พรรษา ๙ พรรษาทำได้อย่างนี้ก็ดีเลิศ

เมื่อย้ายกุฏิเดิมไปสร้างใหม่เป็นสองแถว สร้างหอสวดมนต์เสร็จ สร้างถังน้ำ สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม แต่ก็ยังไม่ได้ทำพระอุโบสถ ยังไม่ได้สร้างศาลาใหม่ ต่อมาก็ขยายความรู้ใหม่เป็นสาธารณประโยชน์ นั่นก็คือมีวิชาหมอ นี่ว่าถึงด้านจริยาภายใน เป็นหมอใหญ่ขึ้นมาแล้วตอนนี้ ยาประจำของท่านคือใบมะกากับข่า กับ ใบมะกากับหญ้าแพรก มีสองขนาน แต่สำหรับโรคก็เรียกสับ คือสับไม้เรียกโรค มีน้ำมนต์เป็นอัศจรรย์ และความเป็นหมอนี้นั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท สมัยที่อาตมาเข้าไปบวชใหม่ ๆ ปรากฏว่าท่านผู้เป็นนักปราชญ์ท่านหนึ่งมีนามว่านายใช้ เวลานี้ตายแล้วหรือยังก็ไม่ทราบใช้นามสกุลว่ายังไงอาตมาไม่บอก เพราะประเดี๋ยวเขาไม่ตาย เขาไม่ตายเขาจะฟ้องฐานหมิ่นประมาท เขาลงหนังสือพิมพ์ด่าหลวงพ่อปาน หาว่าใช้วิชาไสยศาสตร์หลอกลวงชาวบ้าน นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เป็นที่น่าสลดใจอย่างยิ่ง ที่หลวงพ่อปานมีการสงเคราะห์ ปรารถนาสงเคราะห์ บรรดาบุรุษชายหญิงทั้งหมด ที่มีความเคารพในศาสนาขององค์สมเด็จพระสุคตบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เขายากจนเข็ญใจมารักษาโรคกับท่าน ท่านก็ไม่ได้คิดเงินคิดทองอะไรเลย ๑ สตางค์ก็ไม่ได้คิด ข้าวท่านก็เลี้ยง อาหารท่านก็ให้ ไม่มีสตางค์ท่านก็แถมซื้อยาให้อีกด้วย ช่วยให้เขามีความสุข แต่ทว่าท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ก็ยังไม่เป็นที่ถูกใจของนายใช้ นายใช้ประกาศลงหนังสือพิมพ์ด่าท่านสาดเสียเทเสีย

เวลานั้นหนังสือพิมพ์ในต่างจังหวัดไม่ค่อยได้อ่านกัน แต่ว่าหลวงพ่อปานมีลูกศิษย์ลูกหาอยุ่ในจังหวัดพระนครเป็นส่วนใหญ่ นับตั้งแต่เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ลงมาถึงข้าราชการ ก็ปรากฏว่าหลวงพินิจมาตรากับหลวงประธานผ่องวิจัย นำเอาหนังสือพิมพ์ฉบับนันมาถวายท่าน อ่านให้ฟัง ท่านก็ยิ้มบอกว่าช่างเขาเถอะ พวกนั้นเขาจะจัดการตามกฎหมาย ท่านก็เลยบอกว่า จงอย่าไปทำเขาเลย เขาอยากทำก็ให้เขาทำไป จะได้สบายใจเขา เราก็นั่งสบายใจ ไม่เห็นมันมีประโยชน์มีโทษอะไร เขาด่าเราเท่าไหร่ ๆ เราก็ไม่สึกหรอ เขาหาว่าเราเลวถ้าเราปฏิบัติดีเสียอย่าง มันก็ไม่มีอะไรจะเลว ถ้าหากว่าเราเลวจริง ๆ ใคร ๆ เขาไปชมเชยว่าดี เราก็ไม่ดีตามปากเขาพูด ขอเธอทั้งหลายจงอย่าโกรธเคืองกับบุคคลที่ทำร้ายเรา คือลงหนังสือพิมพ์ด่าเลย

เป็นอันว่าเรื่องราวนั้นก็ระงับไป แต่ว่านายใช้ทนไม่ไหว เพราะว่าลูกศิษย์ชั้นผู้ใหญ่ท่านทนไม่ได้ ท่านรุกรานเอา แล้วนายใช้ก็ไปลงหนังสือพิมพ์ขอขมา และก็ต่อมาเขาเองเขาก็มาขอขมากับหลวงพ่อปาน ท่านยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นอันดี แสดงว่าจริยาวัตรอันนี้ที่ท่านให้อภัยกับบุคคลผู้ผิด จัดเป็นอภัยทานสมที่กับที่ท่านเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัทผู้รับฟัง วงดนตรีเขาหันมามองดูหน้า เขาบอกว่าหน้าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสลดใจมาก เขาจะขอเป่าเพลงมอญ เขาว่ายังงั้น เป็นการประโคมความดีที่หลวงพ่อปานให้อภัยกับนายใช้ เรียกว่าทำลายความชั่วให้พินาศฉิบหายไปให้มันตายไปคล้าย ๆ กับเพลงมอญนั้น เอายังงี้ก็แล้วกัน บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เพื่อโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย ปล่อยเขาบรรเลงไปสักครู่หนึ่งก็แล้วกัน เอาไม่เกิน ๑๐ นาที นะนักวงดนตรี

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย เสียงดนตรีเพลงราตรีประดับดาว ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ได้ผ่านไปแล้ว เวลานี้ก็เป็นเวลาดึกสงัด จะมองไปทางไหนก็เงียบสงัดไปหมด คนทุกคนเขานอนหลับกัน บางทีไม่หลับเขาก็เจริญพระกรรมฐานกันบ้าง ภาวนากันบ้างไปตามอัธยาศัย

แต่อาตมาเองก็เป็นคนมีกรรม เวลาหัวค่ำไปไหม่ทันเขาเจริญพระกรรมฐานเพราะเพลียหนัก เวลาตอนดึกกลับมีกำลัง ก็เลยมานั่งพูดให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง ตอนนี้ก็จะขอเดินลัดตัดความบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะภาคนี้เป็นภาคมรณภาพของหลวงพ่อปานด้านจริยาวัตรนั้นจะเอาไว้พูกันตอนหลัง ถ้ามีโอกาสวันไหนจะพูดวันนั้น การพูดนี่ไม่มีการพูดติดต่อกัน ทั้งนี้ก็เพราะว่าเวลากิจการงานมันมากงานเป็นส่วนตัวหายาก บรรดาท่านพุทธบริษัท มีแต่งานส่วนรวม ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอาตมาทราบดีว่า วันเวลาของอาตมานี้เหลือน้อยเหลือเกิน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ เหตุร้ายต่าง ๆ มันรุมเข้ามาทุกด้าน จะมองดูทางร่างกายมันก็ทรุดโทรมเต็มที และงานที่ปฏิบัตินี้ก็เต็มไปด้วยอุปสรรค ถึงแม้ว่าจะตั้งใจดีเป็นส่วนกุศล อันนี้ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายรับฟังแล้วก็จำไว้ด้วย ช่วยเก็บไว้ในใจหรือว่าในสมอง ว่าการทำความดีนี้เรามุ่งความดีเท่านั้นและอุปสรรคใด ๆ ที่จะเดิดทางกายหรือทางใจ จงอย่าคำนึง จงคิดไว้แต่เพียงอย่างเดียวว่า ร่างกายที่ประกอบไปด้วยธาตุ ๔ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ ไม่มีความหมายสำหรับเรา ไม่ช้ามันก็ตาย แต่ก่อนหน้าที่จะตายเราก็เอาความดีไปดีกว่าบรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องความเลวนี่ใครเขาจะมายัดเยียดให้เราก็ช่างเขา เราไม่รับเสียก็หมดเรื่อง ถ้ามีความรู้สึกว่าเราทำถูกก็ทำมันเรื่อยไป ถ้าเราไปคำนึงถึงว่าคนนี้ดีคนนี้เลว เราก็ทำความดีกันไม่ได้

ต่อแต่นี้ไปก็จะขอคุยกันถึงเรื่องของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นพระบูรพาจารย์สุดที่รักและเคารพของอาตมา อาตมามีเรื่องราวต่าง ๆ มาคุยให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง เป็นเรื่องบ้างไม่เป็นเรื่องบ้าง ดีบ้างเลวบ้าง ก็เพราะอาศัยที่อาตมาได้เคยศึกษากับหลวงพ่อปานมาในด้านความดี แต่ส่วนในด้านความเลวนี้เป็นเรื่องของอาตมาแต่ผู้เดียวเพราะว่าไล่เลวมันไม่หมด ถ้าเป็นทองก็เรียกว่าไล่ขี้ไม่หมด ขี้มันยังเต็มอยู่ ก็ตามใจมันเถอะ บรรดาท่านพุทธบริษัท การสร้างวัดวาอารามที่ไหนก็ตาม ถูกด่าทุกวัด

และถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทได้ฟังใครเขาด่าอาตมา ขอบรรดาญาติโยมทั้งหลายโดยถ้วนหน้าก็อย่าไปโกรธเขา เพราะคนทุกคนที่เกิดมาในโลกมีสิทธิที่จะด่าใครก็ด่าได้ และเราเกิดมาเราก็เกิดเพื่อชาวบ้านเขาด่า เราทำถูกแต่ว่าเขาเข้าใจผิด เราก็กลายเป็นคนผิดได้เหมือนกันแต่ความจริงเท่านั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท สัจธรรมย่อมจะช่วยเรา เราสร้างความดีวิมานบนสวรรค์คอยเราอยู่ ในฐานะที่เราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู จะมาหนักใจอะไรกับคำว่า ถ้าเราไม่รับมันก็อยู่กับเขาเอง มันเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรายัดเยียดไปให้ ความเดือดร้อนใด ๆ จะมีอะไรสำหรับเรา ถ้าเราไม่รับ ดูแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถูกชาวบ้านเขาด่าทุกเมือง พระองค์ก็ยังทนได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเห็นว่าคำด่าเป็นโทษไม่มีประโยชน์ พระองค์ก็จึงไม่รับ เมื่อพระองค์ไม่รับ บุคคที่ได้รับก็คือคนที่ด่า ตัวอย่างท่านสัญชัยปริพชก ด่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะตนขาดลาภสักการะ เคยมีลาภสักการะมหาศาล แต่เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงอุบัติขึ้นแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสอนสัจธรรม คือความจริง บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ก็พากันเคารพนับถือมาก ท่านสัญชัยปริพาชกเลยขาดลาภสักการะ แกว่าง ๆ ขึ้นมาก็เลยนั่งด่าพระพุทธเจ้าเล่นโก้ ๆ

ในที่สุดองค์สมเด็จพระบรมครูก็ทรงไประงับ ถามว่าเธอด่าฉันน่ะ ถ้าฉันไม่รับมันจะอยู่กับใคร เหมือนกับภาชนะทั้งหลาย น้ำใช้น้ำฉัน อาสนะที่เธอนำมารับอาตมา อาตมาไม่รับเวลาอาตมากลับแล้วของนี้จะอยู่กับใคร ท่านสัญชัยปริพาชกก็บอกว่า ก็อยู่กับข้าพระพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นสัญชัย คำสาปของเธอฉันก็ไม่ได้รับเหมือนกัน เมื่อฉันไม่รับแล้วมันจะอยู่กับใคร ท่านสัญชัยก็เลยบอกว่าก็อยู่กับข้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงตรัสว่าถ้ายังงั้นละก็ เธอจะด่าไปทำไมเล่า เท่านี้เององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ลากลับ ท่านสัญชัยปริพาชกก็เลยเลิกด่า

แต่เหล่าเราพุทธบริษัท เราไม่ใช่พระพุทธเจ้า เราจะไปพูดให้ใครเขาเลิกด่าน่ะมันพูดไม่ได้ เป็นอันว่าถือว่าใครเขาอยากจะด่าก็ด่าไป เราสร้างความดีของเราเท่านั้นเป็นพอ นี่เป็นเรื่องธรรมดา

ตามพระบาลีก็มีอยู่ว่า ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า นัตถิ โลเก อนินทิโต คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก คนเลวย่อมมองไม่เห็นความเลวของตัวเอง คิดว่าตัวดีอยู่เสมอ นี่เป็นกฎธรรมดา ถึงแม้แต่หลวงพ่อปานก็เหมือนกัน ที่อาตมาอยู่กับท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อยู่ในระยะปลายนี่ ท่านไปสร้างความดีให้แก่ใครที่ไหน ๆ ก็ถูกด่าหนักมาเหมือนกัน พอมาถามท่านว่า ท่านโกรธไหม ท่านกลับหัวเราะ ท่านบอกว่าฉันไม่ได้รับนี่เมื่อฉันไม่ได้รับ เมื่อเขาด่าเขาจะด่าให้ใครก็ช่างเขาประไร เขาด่าตรงมาที่ฉัน ฉันไม่รับมันก็กลับไปหาเขาเอง ท่านพูดแล้วท่านก็หัวเราะชอบใจ แล้วก็เลยสอนต่อไปว่าจงจำไว้ ว่าคำด่า คำนินทาหรือคำสรรเนริญ ไม่มีประโยชน์ เราจะดีจะชั่วมันอยู่ที่ตัวเราทำเท่านั้น ถ้าเราทำดีอยู่แล้วใครเขาจะนินทาว่าชั่ว มันก็เป็นเรื่องของเขา นี่ปฏิปทาส่วนใหญ่ของท่านมีอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทท่านทำใจประเภทนี้ได้ดีจริง ๆ

ทีนี้จะคุยชีวิตเบื้องปลายให้บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงฟัง มันก็ดึกสงัดแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นอันว่า หลวงพ่อปานก่อนหน้าอายุ ๖๔ ปี เห็นจะเป็นอายุ ๖๒ , ๖๓ , ๖๔ น่ากลัว ๖๒ หรือ ๖๑ อาตมาจำไม่ได้ คราวนั้นท่านป่วยใหญ่อีกหนึ่งครั้ง ป่วยมากอาการปางตาย ลูกศิษย์ลูกหามีหลวงประธานผ่องวิจัย หลวงพินิจมาตรา นายประยงค์ ตั้งตรงจิต พระยาประเสริฐ พระยาศรยุทธเสนีย์ และพระอะไรอีกเยอะแยะจำหน้าไม่ได้ ลูกศิษย์ผู้ใหญ่ท่านมากเหลือเกิน รับท่านมาที่บ้านหม้อ บ้านหลวงประธานผ่องวิจัย เห็นว่าเป็นที่สบาย ลับ ๆ ไม่มีเสียงรถรบกวน มาพักการรักษาตัวอยู่ที่นั่น อาการป่วยคราวนี้นั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นที่น่าตกใจมาก แต่ทว่าสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีน้ำใจเด็ดเดี่ยวยังไม่ถึงเวลาตักษัย ฉะนั้นการรักษาให้ของลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย หมอตั้งเยอะแยะรักษากันไปรักษากันมา ในที่สุดท่านก็หาย หายจากโรค เมื่อหายแล้วท่านก็กลับไปที่วัด

เวลายามสงัดท่านก็เรียกบรรดาคณะลูกศิษย์ ที่นิยมในการเจริญพระกรรมฐาน อย่างนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านจงอย่าคิดว่าท่านอคติ ลำเอียงรักเฉพาะคนที่เจริญพระกรรมฐานนั้นไม่จริง ท่านรักสม่ำเสมอ เราจะเห็นได้จากเวลาแจกของหรือให้รางวัล ท่านไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง ให้สม่ำเสมอกันหมด เรื่องลาภสักการะที่จะพึงเกิดมีในวัด โดยกิจนิมนต์ของบรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านแจกสม่ำเสมอกัน แต่ว่าท่านเรียกไปเฉพาะนักเจริญกรรมฐาน ที่มีความมั่นใจว่าเอาจริง ก็เพราะว่าบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้น เป็นผู้มีจิตเข้าถึงพระธรรมแล้ว ทราบใจความพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ท่านจึงกระซิบบอกว่า ลูกรักทั้งหลาย นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อีก ๓ ปี พ่อก็ตายแน่ พ่ออยู่ไม่ได้แล้ว ต่อไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะต่อชีวิตให้ทรงต่อไปได้เพื่อประโยชน์ของโลก แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะว่าร่างกายของพ่อนี่ทรุดโทรมมาก อีก ๓ ปีมันก็จะเดินไม่ไหว การอยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ พ่ออยู่เพื่อทำประโยชน์เท่านั้น คือว่าเป็นการสงเคราะห์บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านที่มีจิตเป็นกุศล

การสร้างวัดวาอารามต่าง ๆ ปีละ ๓ แห่ง ๔ แห่ง นี่ พ่อไม่ได้ทำเพื่อตนนะลูก พ่อทำเพื่อประชาชนผู้มีความดี เพราะว่าการสร้างวิหารทานนี้อย่างน้อยที่สุด อย่างเลวที่สุดที่บุคคลทั้งหลายบำเพ็ญมาด้วยดี มีศรัธาแท้สละจตุปัจจัย อย่างเลวเขาก็จะไปนั่งแสวงหาความสุขได้ที่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นสำคัญ เป็นที่อยู่ของพระอินทร์ ท่านก็ยกตัวอย่างมาท่านมาฆมาณพบ้าง ท่านนันทิยมาณพบ้าง อย่างนี้เป็นต้น

ในสมัยที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมครูมีชีวิตอยู่ ท่านนันทิยมาณพสร้างศาลา ๔ หน้าถวายพระพุทธเจ้าเพื่อเป็นศาลาพักนั่งเล่น ยังไม่ทันจะตายพระโมคคัลลาน์ก็ไปพบวิมานบนสวรรค์ บรรดานางฟ้าซึ่งเป็นบริษัทของท่านกำลังคอยอยู่ จึงสั่งสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู บอกให้นันทิยมาณพ รีบ ๆ ตายไปอยู่บนสวรรค์ดีกว่า

นี่หลวงพ่อปานท่านพูดตรงกับบาลี ที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัส นี่การกระทำอย่างนั้นท่านบอกว่าท่านโปรดพุทธบริษัท เขาจะได้บุญกันหลาย ๆ คน ถ้าสร้างแห่งเดียวคนที่อยู่ไกลก็ไม่สามารถจะทำบุญได้

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย น้ำใจของหลวงพ่อปานเป็นอย่างนี้ ถ้าจะเปรียบเทียบเป็นน้ำก็เป็นน้ำในมหาสมุทร คือเป็นกระแสน้ำใหญ่ที่คนทังหลายตักกินแบบสบาย ไม่ใช่เฉพาะคนที่อยู่ใกล้ เมื่อท่านบอกแล้วท่านก็ไปพูดกับหลวงพ่อวัดบ้านแพน คือท่านพระครูรัตนาภิรมย์ พระคู่หูของท่าน บอกว่านับแต่นี้ไปอีก ๓ ปีท่านจะตาย และในระยะหลังนี่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านก็เปิดหมด และการสอนการเจริญสมถะวิปัสสนา บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า ท่านเน้นหนักไปในเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอย่างมาก

ถ้าเราจะดูแนวกันแล้วก็เหมือนกับสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระชนม์อยู่ ในสมัยนั้นเมื่อองค์สมเด็จพระบรมครูรับอาราธนาจากมารที่ปาวาลเจดีย์ พระองค์จึงได้ปลงอายุสังขารตั้งใจไว้ว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คือวันนั้นเป็นวันกลางเดือน ๓ อีก ๓ เดือน ๖ คือกลางเดือน เราจะนิพพานในระหว่างนางรังทั้งคู่แห่งเมืองกุสินารา

และหลังจากนั้นมาตามประวัติ องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ก็สอนเฉพาะ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นการเร่งรัดพุทธบริษัทให้ปฏิบัติความดีเข้าถึงโมกขธรรม นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า จริยาของหลวงพ่อปานคล้ายคลึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากเมื่อเวลากาลผ่านไปถึงปีที่สามขอตัดลัด

ปีนั้นวันหนึ่งตอนเย็น ท่านไปบ้านแม่วงศ์ คุณเฉลิม ซึ่งเป็นพ่อค้าขายของเก่าสร้างประจำ ที่ตลาดบ้านแพน อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระไปด้วยกันหลายองค์ อาตมาก็ไปด้วย ฆราวาสก็มีพระก็มี ทางขึ้นบ้านเป็นทางลาดเป็นสะพานลาดใหญ่ แต่มันมีน้ำขึ้นน้ำลง มันมีตะไคร่น้ำจับอยู่แต่ก็แห้งแล้ว ท่านเดินขึ้นไปพวกเราก็เดินอยู่ใกล้ ๆ ไม่ห่างไกลนัก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะห่วงใยหลวงพ่อปาน เพราะว่าท่านชรามากแล้ว ร่างกายท่านก็ทรุดโทรมด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เรื่องโรคภัยไข้เจ็บนี่เล่นงานท่านตลอดเวลา ท่านต้องฉันยาวันละ 4 เวลาตลอด นับตั้งแต่อาตมารู้จักท่านมา ท่านไม่เคยขาดการฉันยาเลย ท่านเป็นหมอรักษาโรค คนอื่นท่านรักษาได้ แต่ว่าร่างกายของท่านรักษาให้มันหายคืนเป็นหนุ่มขึ้นมาไม่ได้ เรื่องนี้ท่านพูดเหมือนกัน ท่านก็เลยบอกว่ามันเป็นกฎของธรรมนะลูกรัก ถ้อยคำของท่านเพราะมาก เวลาท่านพูดกับเราตามลำพัง มีวาจาไพเราะจับใจ แม้จะพูดกับใครก็เหมือนกัน ลีลาหลวงพ่อปานนี้ติดตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ ๓ - ๔ ขวบขึ้นไป

เวลาท่านคุยธรรมะนี่อย่าว่าแต่ผู้ใหญ่เลย บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย แม้แต่เด็ก ๆ ก็ตาม ไม่ถอยหลังออกมา คุยเป็นที่เพลิดเพลิน มีทั้งการขำขันไปในตัวเสร็จ ประกอบกับธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน ท่านฉลาดในการพูดฉลาดในการสอนมาก การที่ท่านปรารถนาพระโพธิญาณเพื่อที่จะได้บรรลุเป็นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านี่เป็นการสมควร และในขณะที่ท่านเดินขึ้นไปบนสะพาน ก็บังเอิญตะไคร่น้ำถึงแม้ว่าน้ำมันจะแห้งตะไคร่จะแห้งแล้วมันก็ลื่น ท่านก็ซวนทำท่าจะล้ม พวกเรา ๒ - ๓ องค์ก็รีบเข้าประคอง เข้าไปรับไว้ ตะไคร่น้ำมันลื่น บรรดาท่านพุทธบริษัท พวกเราก็ซวนล้มเหมือนกัน แต่ว่าค่อย ๆ ล้ม ล้อมอย่างมีระเบียบ คือหมายความว่ามันไม่ลื่นเกินไป พอทรงกายพยุงตัวไว้ได้ไม่ให้ล้มตึงตัง ท่านก็ล้มทับพวกเราลงมา ความจริงเรารับท่านไว้แล้วเกาะท่านไว้ กายท่านก็ทับลงมา แต่ก็ไม่ได้กระทบพื้นอะไร แต่เป็นกฎของกรรมนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องความตายเราจะไปเลือกตายเฉพาะกาลใดกาลหนึ่งไม่ได้ ถ้าจะตายมันก็ต้องมีเหตุ

ทีนี้การล้มคราวนั้นถ้าเราจะพิจารณาแบบคนธรรมดาแล้ว มันไม่มีอันตรายอะไรเลย แต่ทว่าท่านกลับบอกว่าท่านเสียวที่หน้าอก ท่านบอกชัดเลยว่าแผลที่ถูกบังฟันมันขาดขึ้นมาซะแล้ว ที่อาจารย์จาบประสานติดเข้าไว้ ขอให้พวกเราทั้งหมดพากลับวัดด่วน นายเฉลิม แม่วงศ์ จึงได้นำเรือยนต์ของเธอ ลากเรือของหลวงพ่อปานมาส่งที่วัดทันอกทันใจ

เมื่อมาถึงที่วัดแล้วก็ให้การรักษากันตามสมควร เวลานั้นนายแพทย์ปริญญาก็หาไม่ได้ ถึงแม้ว่าเป็นนายแพทย์แผนปัจจุบันชั้นสองก็ไม่รู้จะหาที่ไหน มีก็แพทย์แผนโบราณท่านรักษาตัวเองบ้าง ท่านก็บอกว่าคราวนี้ถ้าท่านอาจารย์จาบยังมีชีวิตอยู่หรืออยู่ใกล้ ก็คงจะบรรเทาเวทนาได้ แต่นี่อาจารย์จาบอยู่ไกลอยู่ถึงอำเภอบางบาล ถ้าเป็นเวลานี้อำเภอบางบาลมันก็ไม่ไกล เพราะรถเรือไปได้สะดวก แต่เวลานั้นเราต้องพายเรือกันไป อาการป่วยของท่านเมื่อกลับมาที่วัด ก็ปรากฏว่ามีลูกศิษย์ลูกหาของท่านมาคอยยู่นานมากแล้ว เมื่อทราบเข้าข่าวนี้ก็ถึงกรุงเทพฯ เร็ว

แต่ความจริงสมัยนั้นมันถึงยากเต็มที คนในกรุงเทพฯ ก็ขึ้นไปกันตหนัก คนบ้านนอกก็ไปหนัก และก็ทราบกันชัดอยู่แล้วว่า ปีนี้เป็นปีที่สาม ที่ท่านบอกว่าท่านจะมรณภาพ และก็ใครล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัทที่จะเชื่อท่าน จะมีที่ไหนบ้างที่จะเชื่อ บอกกันล่วงหน้าตั้ง 3 ปีว่จะตาย คนที่เชื่อก็คงจะมีบ้าง แต่ว่าจะต้องเป็นพวกตาสีตาสา ถ้าเป็นบรรดานักปริญญาทั้งหลาย ไม่มีใครเขาเชื่อ

ทุกท่านก็ให้การรักษาเป็นอย่างดี หมออะไรดีที่ไหน เงินมากเท่าไหร่ราคาเท่าไหร่ ลูกศิษย์ไม่อั้น ขออย่างเดียวแต่เพียงว่าให้อาจารย์ของเขามีชีวิตอยู่เท่านั้น เรื่องนี้ก็เป็นที่น่าเลื่อมใสน่าเคารพ น่าไหว้น่าบูชาในบรรดาคณะลูกศิษย์ลูกหาของท่านเป็นพ่อค้า คหบดี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทุกคนที่เข้าไปในวัดนั้นไม่เคยมีใครแสดงตนว่ามียศชั้นไหน ฐานะชั้นไหน ทำตัวเสม่ำเสมอท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นคนที่มีจริยาอัธยาศัยน่ารักมาก ไม่ต่างกันกับครูบาอาจารย์ อาตมาขอเปรียบเทียบ ว่าทุกคนลอกแบบจากหลวงพ่อปานกันจริง ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง เป็นคนที่น่าเคารพนับถือที่สุด อาตมาเองระหว่างนั้นเป็นพระก็อยากจะไหว้ท่านพวกนั้น ความจริงอยากจะไหว้ท่าน

เมื่อป่วยได้ 2-3 วันเขาก็ดำริกันว่าจะต้องขอให้หลวงพ่อปานไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ เพราะหมอหาง่ายยาหาสะดวก บ้านนอกเวลานั้นถ้าจะต้องการยาแพทย์แผนปัจจุบัน ต้องโน่นวิ่งไปกรุงเทพฯ และเรือยนต์ในเวลานั้นก็วิ่งล่อง ๘ ชั่วโมง ขึ้น ๘ ชั่วโมง ใช้เวลามากเหลือเกิน หลวงพ่อปานท่านก็ไม่ขัด ท่านก็รับปาก

เมื่อท่านรับปากแล้วก็ปรากฏว่า เวลากลางคืนนี่บรรดาท่นพุทธบริษัท เราเป็นพระ ชาวบ้านเขาก็อยู่ดูแลหลวงพ่อในเวลาหัวค่ำ หัวค่ำพวกเราก็อยู่กัน พอตกดึกเขาไปนอนกันหมด เช่นกับเวลาที่อาตมากำลังบันทึกเสียงอยู่นี่ พวกเราเป็นพระก็อยู่ยามกัน อยู่ใกล้ ๆ อาจารย์คอยฟังคำสั่งเพื่อรับใช้ แต่ทว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อาการป่วยของท่านคราวนี้มองดูแล้วหนักมาก เพียงแค่ป่วยวันสองวันท่านซีดเซียวลงไปมาก แต่ว่าสิ่งที่น่าสังเกตุเป็นของอัศจรรย์ นั่นก็คือสติสัมปัชัญญะ สติสัมปัชัญญะของท่านไม่ขาด ท่านปกติทุกอย่าง เวลาจะสั่งงานอะไรก็ตาม เพียบพร้อมครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่อ้อแอ้ไม่อุบอิบ ไม่ขาดสาย งานทุกอย่างเป็นไปด้วยดี

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า การที่หลวงพ่อปานมีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงคุณธรรมคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ครบถ้วนบริบูรณ์ ท่านจึงเป็นนักบวชที่ควรแก่การเลื่อมใส ควรแก่การไหว้การบูชา แม้กระทั่งสติปัญญาของท่านในการก่อสร้าง ท่านไม่เคยใช้ช่างมาออกแบบ แบบของท่านเขียนไว้ในสมอง จะเอาแบบไหนท่านนอนคิด จะสร้างศาลาสักหลังหนึ่ง อาตมาเคยจดตามท่านสั่ง ขื่อยาวเท่านั้น ดังยาวเท่านี้ ไม้จันทันยาวเท่านั้น ไม้อะไรต่ออะไร ท่านสั่งเสร็จ สมัยนั้นใช้เต้า เขาไม่ได้ใช้น็อต เต้าต้องเจาะรู สั่งเต้าห่างจากหัวเสาไปเท่านั้น เต้ายาวแค่นั้น แล้วท่านบอกเสร็จแต่ว่าทรงสวย ไม่ต้องเขียน

ทีนี้เมื่อปลายเดือนกรกฏาคม มีช่างคนหนึ่งมาหาอาตมา ความจริงหลายคน มาถาว่าการสร้างวัดสร้างวานี่เขียนแบบหรือเปล่า แม้แต่พระอุโบสถ อาตมาก็เลยบอกว่าที่นี่ไม่มีแบบ เรื่องการเขียนแบบไม่มี เพราะโบราณไม่เคยเขียนแบบ อาตมาเป็นคนโบราณ แม้ร่างกายจะไม่โบราณเต็มที่ แต่หัวก็โบราณเต็มที ไม่ใช่โบราณเฉย ๆ โบลานไม้โท โบล้าน หัวล้าน อย่าพูดไป เดี๋ยวใครเขาจะได้ยินเข้า เขาจะคิดว่าเอ๊ะ...อาตมานี่หัวล้านนี่ อย่าพูดไป อายชาวบ้านเขา อายหัวล้าน นี่คนหัวล้านหรือหัวโบราณเขาไม่ต้องเขียน ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็ถามว่าจะรู้ได้ยังไง ว่าตัวไม้ชิ้นไหนจะยาวขนาดไหน ไม่กี่ชิ้นกี่ท่อน แหมเมื่อฟังแล้วก็ตกใจบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย คิดไม่ถึงว่าสถาปนิกสมัยนี้จะโง่ขนาดนี้ การเรียนกันมาเป็นแรมปี ใช้เงินเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ทว่าเวลาจะสร้างต้องชาวบ้านเขามาเขียนแบบให้ เขามาบอกตัวไม้ให้ ถ้าเป็นช่างสมัยโบราณมาก ช่างโบราณนี่เขาไม่ต้องมีใครเขียนแบบให้ จะเอาขนาดไหนจะเอาทรงแบบไหน ไม้ยาวเท่าไหร่ เขากะของเขาถูกหมด และไม่ต้องไปวัดไม่ต้องไปสอน ไม่ต้องลากเส้นดู จะเอาทรงอะไร ขนาดไหน จะทุ้มหรือว่าจะตั้ง จะชูมากจะชูน้อย จะเป็นทรงยักษ์ทรงพระจะเอาขนาดอะไรก็ตาม เรื่องการเขียนแบบไม่มีบรรดาท่านพุทธบริษัท แบบของเขาอยู่ในสมอง เขารู้ความกว้างเขาก็ต้องการอยากจะทราบทรงสูง เรียกว่าทรงพระหรือว่าทรงยักษ์ เมื่อรู้ทรงแล้วเขาจะรู้ไม้ทุกตัว ว่าไม้แต่ละตัวควรจะเล็กควรจะใหญ่ขนาดไหน จะยาวเท่าไหร่ จะสั้นเท่าไหร่

นี่ที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าเราจะเทียบกันไปล่ะก็ อาตมาตกใจช่างปัจจุบัน ว่าทำไมช่างทั้งหลายที่เรียนกันมาแล้วมากมาย จึงต้องอาศัยแบบกันตะพึดตะพือ ซึ่งมันไม่มีความสำคัญอะไร การกระทำแบบนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท แม้แต่ช่าวชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ไม่รู้จักแบบไม่รู้จักแผน เขาก็ทำกันได้หมดทุกคน

เอาละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน จะพูดเรื่องหลวงพ่อปานตอนสำคัญ ก็ปรากฏว่เวลา ๓๐ นาทีผ่านไป และเวลานี้เวลาก็ดึกสงัดมากแล้ว เอาไว้ต่อกันตอนใหม่ก็แล้วกัน ถ้ามันมีแรงพูดกันใหม่ เวลาพูดนี่มันไม่แน่นัก ขณะนี้เวลาพูดเป็นวันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ และก็ตอนต่อไปนี้จะไปต่อวันไหน ก็ฟังกันไปจะบอกให้ฟัง เวลานี้ขอพักคอนิดหน่อย ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายฟังเพลงเป็นเพลงมอญ แต่ว่าจะตัดตอนไว้เฉพาะไม่ยาวนัก เพื่อไม่ให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายฟังเพลงกันคอแห้ง คือว่าเป็นการสกัดกั้น สำหรับคอที่พูดนี้มันต้องกะแหร่มแอมไอเพราะว่า ๒ - ๓ วันนี้ลุกไม่ไหวมันเพลียเต็มที เอาละต่อแต่นี้ไปก็ฟังเพลงก็แล้วกัน เพราะไม่เพราะช่างมัน เป็นการพักชั่วคราว

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘