การฝึกญาณ ๘ โดย พรนุช คืนคงดี


การฝึกญาณ ๘
คุณพรนุช คืนคงดี - ครูฝึก

ท่าน ที่ฝึกมโนมยิทธิได้แล้วตามที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นก็สามารถทำทิพจักขุญาณให้ คล่องตัวขึ้นอีกมาก ถ้ารู้จักใช้ เมื่อเราได้นโนมยิทธิด้วยแล้ว เราสามารถใช้กำลังของมโนมยิทธิขึ้นไปถึงจุดสุดยอดคือพระนิพพาน จิตเราหรืออทิสสมานกายขณะที่อยู่นิพพานก็สะอาดที่สุด การรู้ก็ชัดเจนดีกว่า
ดัง นั้นในการฝึกญาณ ๘ ครู จึงนำท่านไปนิพพานก่อนในอันดับแรก แล้วใช้สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง เช่น วิมานพระพุทธเจ้า วิมานหลวงพ่อ ท่ามกลางสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประธาน ท่านผู้มีพระคุณทั้งหมดอยู่พร้อมคอยช่วยเหลือเรา ประคับประคองเรา เช่น ท่านที่เคยเป็นบิดา มารดา เรามาในกาลก่อน ท่านไม่ทิ้งเราแน่ เพราะขึ้นชื่อว่า พ่อ แม่ ไม่ทิ้งลูก ขอให้เรารู้จักท่านก่อน กราบไหว้ท่านก่อน ตามที่ฝึกได้แล้วตั้งแต่วันแรก

ฝึกทิพจักขุญาณ ครู : "ขณะนี้ขอให้ทุกคนตัดสินใจให้แน่นอนอีกครั้งว่าเราไม่ต้องการเกิดอีกต่อไป จะเป็นคน เป็นเทวดา เป็นพรหมไม่ต้องการ ต้องการอย่างเดียวไปพระนิพพาน แม้ว่าร่างกายจะเป็นยังไงก็ช่าง มันจะขาดใจตายเดี๋ยวนี้เราก็พร้อมมุ่งเป็นนิพพานแห่งเดียว ตัดสินใจได้ไหมคะ...?"
ศิษย์ : "ได้"
ครู : "เมื่อตัดสินใจได้แล้วให้ตั้งใจนึกถึงบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอบารมีพระพุทธองค์ช่วยให้อารมณ์จิตสะอาดถึงที่สุด สามารถรู้สิ่งต่าง ๆ เวลานี้ได้ชัดเจนแจ่มใสตรงตามความเป็นจริงทุกประการ...เวลานี้มีใครอยู่ข้าง หน้าไหมคะ...?"
ศิษย์ : "มี"
ครู : "ใครคะ"
ศิษย์ : "พระพุทธเจ้า"
ครู : "กราบนมัสการท่าน ขณะที่นึกกราบ ขอเห็นอทิสสมานกายของเราด้วยค่ะ มีไหมคะ...?"
ศิษย์ : "มี"
ครู : "แต่งตัวเหมือนเดิมไหมคะ...?"
ศิษย์ : "ไม่เหมือน"
ครู : "แต่งยังไงคะ...?"
ศิษย์ : "สวยเหมือนเทวดา"
ครู : "ใช้ได้ค่ะ ถูกต้อง นอกจากพระพุทธเจ้าแล้ว ดูรอบ ๆ ซิคะ มีใครมาอีกไหม...?"
ศิษย์ : "มี"
ครู : "มามากหรือน้อยคะ...?"
ศิษย์ : "มากมายเต็มไปหมด"
ครู : "แต่งตัวยังไงคะ...?"
ศิษย์ : "ใส่ชฎาเหมือนเทวดา"
ครู : "ใช้ได้ ใจรู้สึกว่าท่านที่มาเป็นใครคะ...?"
ศิษย์ : "เคยเป็นพ่อ เป็นแม่ มาก่อน"
ครู : "ดีแล้ว เวลานี้เห็นอทิสสมานกายของเราอยู่ใช่ไหมคะ นึกให้อทิสสมานกายของเรานี้มากเท่ากับจำนวนท่านที่มา แล้วกราบท่านบนตักทำได้ไหมคะ...?"
ศิษย์ : "ทำได้แล้ว เห็นหลวงพ่อมาด้วย"
ครู : "ดีใจไหมคะที่หลวงพ่อมาช่วยเรา...?"
ศิษย์ : "ดีใจมาก"
ครู : "กราบท่านที่พระบาท ดูซิคะ มีใครมาอีกไหมที่สว่างมากเท่า ๆ กับหลวงพ่อ...?"
ศิษย์ : "มี ยืนอยู่ใกล้ ๆ กัน"
ครู : "กราบท่าน ท่านเป็นใครคะ...?"
ศิษย์ : "ท่านแม่"
ครู : "ดีมาก ท่านแม่มาช่วยเราแล้ว ขอท่านไปกับเราด้วยท่านจะไปไหมคะ...?"
ศิษย์ : "ไป"
ครู : "ขอบารมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ขอท่านพ่อท่านแม่ผู้มีพระคุณทั้งหมดช่วยพาไปนิพพาน ไปวิมานสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน...ถึงหรือยังคะ...?"
ศิษย์ : "ถึงแล้ว"
ครู : "พบอะไรบ้างคะ..?"
ศิษย์ : "เห็นวิมานใหญ่ สว่างดี"
ครู : "เข้าไปเลยค่ะ ท่านพ่อท่านแม่มาด้วยหรือเปล่าคะ...?"
ศิษย์ : "มาด้วย เข้าได้แล้ว"
ครู : "เจอใครบ้างคะ ในวิมานพระพุทธองค์...?"
ศิษย์ : "เห็นพระพุทธเจ้านั่งอยู่บนแท่นกลางวิมาน"
ครู : "เข้าไปใกล้ ๆ ท่าน กราบนมัสการใกล้ ๆ พระบาทแล้วดูซิคะ พระพุทธองค์แต่งองค์ยังไง...?"
ศิษย์ : "เหมือนเทวดา"
ครู : "นี่ แหละค่ะ พระพุทธองค์อยู่ที่นิพพานจะแต่งองค์แบบนี้เรียกว่า ภาพพระนิพพาน จำให้ติดใจ นึกถึงพระพุทธเจ้าคราวใดนึกถึงภาพนี้นะคะ เห็นตัวเราไหมคะ...?
ศิษย์ : "เห็น อยู่ตรงหน้า ตัวเล็กนิดเดียว"
ครู : "ใช่ พระพุทธเจ้าท่านมีพระวรกายใหญ่กว่าเรามาก เพราะท่านมีบารมีมาก ตัวเราเล็กขนาดไหนคะ...?"
ศิษย์ : "นิดเดียว"
ครู : "นอกจากพระพุทธเจ้า และท่านพ่อท่านแม่ที่พาเรามาแล้ว ในวิมานยังมีใครอีกไหมคะดูซิ...?"
ศิษย์ : "นั่งเต็มไปหมดครับ แต่งตัวเหมือนเทวดาหมด"
ครู : "ความรู้สึกของใจ ท่านเป็นใครคะ...?"
ศิษย์ : "สาวก"
ครู : "ถูกแล้วท่านเป็นพระอรหันต์ สาวกของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า นึกให้อทิสสมานกายของเราที่นั่นมีจำนวนเท่ากับพระอรหันต์ แล้วกราบท่านบนตัก"
ศิษย์ : "กราบแล้วครับ"
ครู : "ตั้งใจขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้การฝึกความรู้ในด้านญาณ ๘ ประการ ซึ่งเป็นความรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวันนี้ขอบารมีท่านช่วยให้ข้าพระพุทธเจ้ารู้ได้ชัดเจนแจ่มใสและถูกต้องตาม ความเป็นจริงทุกประการนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอองค์สมเด็จพระจอมไตรช่วยให้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นสภาพของแดนพระนิพพานว่ามี อาณาเขตแค่ไหน ความสว่างไสวมีเพียงใด มีอะไรอยู่บ้าง ขอดูภาพตามความเป็นจริงพระพุทธเจ้าข้า"
ศิษย์ : "กว้างขวางสุดตาก็ยังไม่สิ้นอาณาเขต"
ศิษย์ : "สว่างมากครับ"
ศิษย์ : "มีวิมานยอดแหลมอยู่มากมายเต็มเนื้อที่เลย"
ครู : "วิมานสว่างไหม ทำด้วยอะไรคะ...?"
ศิษย์ : "ทำด้วยแก้ว สว่างในตัวเอง สวยครับ"
ครู : "ทำให้ดูภาพนี้เพราะต้องการให้ท่านทราบความความเป็นจริงว่า พระนิพพานเป็นดินแดนที่มีอยู่จริง ๆ เราสามารถมาพบได้ ถ้าสลัดกิเลสทิ้งให้หมดใจโดยสิ้นเชิง แม้แต่ละอองกิเลสก็ไม่เหลือติดใจ อย่างเวลานี้นี่แหละ เราจะพบพระนิพพานได้ ต่อไปให้ทุกคนกราบขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้ข้าพระพุทธเจ้า เห็นเป็นภาพเนรมิตว่ามีท่านผู้ใดบ้างที่สามารถอยู่พระนิพพานได้ และมีวิมานอยู่ทั่วไปตามที่เห็นอยู่ขณะนี้...?"
ศิษย์ : "มีพระพุทธเจ้ามากมายนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นครับ"
ครู : "ถูก ต้อง นึกให้อทิสสมานกายเรามีจำนวนมากเท่ากับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด แม้จะเป็นภาพเนรมิตก็ตั้งใจนึกกราบนมัสการพระพุทธองค์ที่ใกล้ ๆ พระบาท นอกจากพระพุทธเจ้าแล้ว ที่นิพพานยังมีพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์อีกเป็นปริมาณเท่าใด ขององค์สมเด็จพระจอมไตรช่วยให้เห็นภาพทั้งหมดเลยพระพุทธเจ้าข้า ใครเห็นอะไรบ้างตอบมา...?"
ศิษย์ : "โอ้โฮ มากมายอะไรยังงั้น เต็มสุดตาทั่วไปหมด แต่งองค์ยังกะเทวดาทั้งนั้นเลยครับ"
ครู : "มีใครยังเห็นไม่เต็มที่มีไหมคะ ถ้ามีให้ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วย ขอท่านพ่อ ท่านแม่ช่วย ให้เห็นให้เต็มที่ เป็นไง เต็มที่หรือยังคะ...?"
ศิษย์ : "มีภาพมากขึ้นอีกค่ะ"
ครู : "เอาละให้นึกถึงพระพทุธเจ้าไว้แล้วนึกให้กายของเรามีจำนวนมากเท่าท่านที่ ปรากฏทั้งหมดแล้วกราบท่านนะคะ ต่อไปขอบารมีสมเด็จพระชินศรีทุก ๆ พระองค์ช่วยให้เห็นภาพพรหม และเทวดาทั้งที่เป็นพระอริยเจ้า และไม่ใช่ มีเท่าใดขอเห็นทั้งหมดเลยพระพุทธเจ้าข้า"
ศิษย์ : "มาเต็มเลยครับ"
ศิษย์ : "แสงสว่างน้อยลงไปถนัดเลยค่ะ"
ครู : "ก็เทวดาหรือพรหม จะเทียบกับพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้ายังไงล่ะ ก็ต้องกราบท่านในฐานะท่านเป็นผู้ประเสริฐ เราเป็นคนจะยังไง ๆ ก็เอาดียังไม่ได้เพราะยังมีร่างกายอยู่ ท่านทั้งหมดไม่มีร่างกายอย่างเรา ท่านก็สบาย ไม่มีความทุกข์ เท่าที่ท่านเห็นภาพต่าง ๆ มาทั้งหมดนี้ ท่านใช้ลูกตาหรือเปล่าคะ...?
ศิษย์ : "เปล่าครับ ใช้ใจครับ"
ครู : "เมื่อจิตหรืออทิสสมานกายของท่านสะอาดก็พบกับสิ่งที่เป็นทิพย์ได้ เราเห็นพระพุทธเจ้าได้ พรหม เทวดา ก็เห็นได้ เห็นนรก เปรต อสุรกายได้ อย่างนี้ท่านเรียกว่าทิพจักขุญาณ"

ฝึกปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ครู : "ต่อไปเราจะใช้ทิพจักขุญาณที่เราได้แล้วนี้ ไปรู้เรื่องอื่นต่อไป คือการระลึกชาติ คราวที่แล้วเราไปเที่ยว พรหม สวรรค์ นรก เปรต อสุรกาย เราถอยหลังชาติการเกิดของเราได้ว่าเราเคยเกิดเป็นอะไรมาบ้างกี่ชาติ ตอนนี้ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหมดช่วยให้เห็นภาพในอดีต คือก่อนที่ข้าพระพุทธเจ้าจะมาเกิดเป็นคนชาตินี้ ข้าพระพุทธเจ้ามาจากไหน ขอดูภาพตามความเป็นจริง มีภาพเกิดขึ้นหรือยังคะ...?"
ศิษย์ : "มีอยู่ตรงหน้า"
ครู : "รูปร่างเป็นยังไงคะ...?"
ศิษย์ : "สวยดี มีชฎาใส่ด้วย"
ครู : "ดูให้ทั่วตัวซิ แต่งตัวเหมือนอะไร...?"
ศิษย์ : "เทวดาครับ"
ครู : "เป็นเทวดาอยู่สวรรค์ชื่ออะไร เข้าไปถามท่านแม่ ความรู้สึกของจิตตอนนี้คือคำตอบค่ะ...?"
ศิษย์ : "ดาวดึงส์ครับ"
ครู : "ถูก ต้องแล้ว คุณมาจากเทวดา ถอยหลังไปอีกสักชาติซิคะ ว่าก่อนจะไปเกิดเป็นเทวดาคุณ เป็นอะไรมาก่อน ขอบารมีสมเด็จพระชินวรช่วยให้เห็นภาพชัดเจนตามความเป็นจริง"
ศิษย์ : "เป็นคนครับ"
ครู : "ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ช่วยให้เห็นภาพสมัยที่เกิดเป็นคนตั้งแต่เกิดมาจนตายทำอะไรไว้บ้าง โดยเฉพาะตอนตายใจนึกถึงอะไร ขอพระพุทธองค์ช่วยให้เห็นภาพชัด ๆ พระเจ้าข้า...?"
ศิษย์ : "ตอนเป็นเด็กก็ยังงั้นแหละครับ ยิงนก ตกปลา ไปเรื่อยก็บาปละ โตมาหน่อยก็มีโอกาสทำบุญกับพระองค์หนึ่ง ถวายทานท่าน แต่ผมก็ยังกินเหล้าอยู่นี่ เอ..ตอนตายนี่มันกระทันหันจริง ๆ หัวใจมันตีบอึดอัด ก็นึกถึงพระที่เคยถวายทานท่าน รักท่านมาก อยากให้ท่านช่วย ก็เลยขาดใจตายลอยไปเป็นเทวดา"
ครู : "อาศัย นึกถึงพระนะคะจึงไปเป็นเทวดาได้ เป็นอันว่าการนึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ แค่นิดเดียวก็ไปเป็นเทวดาได้ เกินคุ้มจริง ๆ โชคดี ถ้าเราจะถอยหลังชาติการเกิดของเราไปเรื่อย ๆ ก็ไม่มีที่สิ้นสุด เราจึงรวบยอดการเกิดเป็นพรหมบ้าง เทวดาเท่าไร คนเท่าไร สัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย เปรต และสัตว์นรก เราเคยเกิดมาแล้วทั้งนั้น เพราะกรรมอะไรเป็นต้นเหตุ จำได้ไหมคะ ทำดีอะไรไว้จึงเป็นเทวดา เป็นพรหมได้ หรือว่าทำชั่วอะไรบ้างที่ทำให้เราไปเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน กรรมชั่วส่วนนี้ไม่น่าทำต่อไป กฎของกรรมที่ทำให้เราได้รับผลเป็นความสุข เช่น ไปเป็นเทวดา เป็นพรหม หรือกฎของกรรมที่ทำให้เราได้รับผลเป็นความทุกข์แสนสาหัสเช่นไปเกิดเป็นสัตว์ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานนี้ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า ยถากรรมมุตาญาณ เวลานี้จิตเราสะอาดดูภาพไปเลยว่าเราเคยเกิดเป็นพรหมมากี่ชาติ เทวดากี่ชาติ คนเท่าไร สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน แต่ละอย่างมีปริมาณเท่าใด...?"
ศิษย์ : "มากมายนับไม่ไหวแล้วครับ"
ครู : "เรื่องการระลึกชาตินี้ทุกท่านอาจไปซ้อมดูของท่านเองได้แต่ละอย่างไป เช่น เรารังเกียจไส้เดือน กิ้งกือ ก็ขอดูภาพถอยหลังไปว่าเราเคยเกิดเป็นไส้เดือน กิ้งกือบ้างไหม ดูเดี๋ยวนี้เลยค่ะ หลวงพี่ว่าไงคะมีภาพไหม..?"
ศิษย์ (พระ) : "เยอะเลยครับ"
ครู : "เห็นแล้วรู้สึกเป็นยังไงคะ...?"
ศิษย์ : "สลดใจครับ"
ครู :  "อยากเกิดอีกไหมคะ...?"
ศิษย์ : "ไม่เอาแล้วครับ เบื่อเต็มที"
ครู : "ก็ ดีที่เบื่อ การถอยหลังชาติการเกิดของเราทำให้เกิดอารมณ์เบื่อไปเอง เห็นไหมว่าพระพุทธเจ้าสอนปุพเพนิวาสานุสสติญาณไว้เพื่อให้เราเบื่อในการ เกิด"

ฝึกจุตูปปาตญาณ
ครู : "ต่อไปเป็นจุตูปปาตญาณ เป็นการใช้ทิพจักขุญาณรู้เรื่องของบุคคลหรือสัตว์อื่นว่า ก่อนที่เขาจะมาเกิดน่ะมาจากไหน และตายแล้วไปไหน ถ้าเราทำจนคล่องตัวดีแล้ว ได้ยินชื่อคนก็บอกได้เลยว่าก่อนเกิดมาจากไหน หรือได้ข่าวคนตายตามดูได้เลยว่า อทิสสมานกายออกจากร่างไปไหน เวลานี้ขอให้ทุกคนกราบนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำใจสบาย ๆ เอ้า พิณทิพย์ ขอดูดวงแขว่าก่อนจะมาเกิดเป็นคนชาตินี้เธอมาจากไหน ดูภาพที่อยู่ข้างหน้ามีลักษณะเป็นยังไง...?" (พิณทิพย์ และดวงแข เป็นชื่อของผู้รับการฝึก)
ศิษย์ : "พรหมค่ะ"
ครู :  "ตรงกันใช่ไหม ต่อไป แม่ชีคะดูหลวงพี่ที่มาจากเชียงใหม่องค์นี้ซิคะ ว่าก่อนจะมาเกิดเป็นคนชาติท่านมาจากไหน...?"
ศิษย์ : "พรหมค่ะ"
ครู : "หลวงพี่ดูซิคะ ใช่ไหม...?"
ศิษย์ (พระ) : "ใช่ครับ"
ครู : "ต่อไปหลวงพ่อดูคุณลุงซิคะว่าก่อนมาเกิดชาตินี้มาจากไหน...?"
ศิษย์ (พระ) : "เทวดาครับ"
ครู : "คุณลุงคง ใช่หรือเปล่าคะ...?"
ศิษย์ : "ใช่ครับ"
ครู : "ต่อไปขอให้ทุกคนขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพตามความเป็นจริงว่าคนหรือ สัตว์ที่ตายแล้วไปไหน คำว่าตายคืออทิสสมานกายออกจากร่างไปไหน เรารู้จักแล้วใช่ไหมคะว่า รูปร่างของสัตว์นรกเป็นยังไง เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน คน เทวดา พรหม หรือพระที่เข้านิพพานไปแล้ว มีลักษณะเป็นเช่นไร ดังนั้นเพื่อขอดูภาพอทิสสนมานกายที่ออกไปแล้ว เราจะรู้จักทันทีว่าอยู่ที่ไหน หลวงพี่คะบอกคนที่รู้จักและตายไปแล้วมาสักคนซิคะ...?"
ผู้ฝึก : "เป็นพระครูอยู่ที่วัด...ครับ เพิ่งตายไม่นานมานี่เอง"
ครู :  "เวลานี้เห็นพระพุทธเจ้าไหมคะ...?"
ผู้ฝึก : "เห็น"
ครู : "ดูภาพพระพุทธเจ้าให้ชัด แล้วขอบารมีพระพุทธองค์ช่วย ขอดูภาพ พระครู...ที่มรณภาพไปแล้วนี้ เวลานี้อยู่ที่ไหน ขอองค์สมเด็จพระจอมไตร และท่านพ่อ ท่านแม่ช่วยให้เห็นภาพตามความเป็นจริงพระพุทธเจ้าข้า"
ศิษย์ : "เทวดาค่ะ"
ศิษย์ (พระ) : "ครับ แต่งตัวเหมือนเทวดา"
ครู : "คนอื่น ๆ เห็นเป็นยังไงค่ะ...?"
ศิษย์ : "เทวดาครับ"
ครู : "ถามพระครู...ซิคะว่าก่อนตายทำใจยังไงจึงมาเกิดเป็นเทวดาได้"
ศิษย์ : "ท่านบอกว่า ใจสบายนึกถึงการก่อสร้างบูรณะวัดให้ดีขึ้น ใจก็เป็นสุข"
ครู : "ก็ต้องจำเอาไว้นะคะว่า การทำความดีมีผลอย่างนี้การรู้เรื่องการเกิด และการตายของบุคคลอื่นเขาเรียกว่า จุตูปปาตญาณ"

ฝึกเจโตปริยญาณ
ครู : "ต่อไปเป็น เจโตปริยญาณ การใช้ทิพจักขุญาณรู้กำลังใจของตัวเอง และบุคคลอื่น เวลานี้เห็นอทิสสมานกายของเราเองไหมคะ แต่งตัวยังไง...?"
ศิษย์ : "เห็นแล้ว แต่งตัวเหมือนเทวดา"
ครู : "และอทิสสมานกายของเพื่อนที่ไปด้วยกันล่ะมีไหม...?"
ศิษย์ : "มี ก็แต่งตัวเหมือนกัน"
ครู : "อทิสสมานกายที่เราเห็นนั่น จะซ้อนอยู่ในกายเนื้อของแต่ละบุคคลที่ยังไม่ตาย อาศัยเราได้ทิพจักขุญาณจะเห็นอทิสสมานกายได้ ขณะนี้เรารู้จักแล้วใช่ไหมคะว่า สัตว์นรกรูปร่างยังไง เปรต อสุรกาย มีรูปร่างเป็นยังไง สัตว์เดรัจฉาน คนเราก็รู้แล้ว เทวดา พรหม เราก็พบมาแล้วว่ามีรูปร่างเป็นยังไง แม้กระทั่งพระอริยเจ้าที่เข้าพระนิพพานแล้วเราก็เคยพบมาแล้ว ดังนั้นถ้าเรามองคน ตาก็กระทบกายเนื้อ แต่ถ้าอาศัยจักขุญาณก็จะเห็นอทิสสมานกายของบุคคลนั้น ภายในได้ภาพที่ปรากฏบอกลักษณะชัด อันแสดงถึงคุณธรรมของเขาได้
ขณะนี้ ขอให้ทุกคนมองภาพสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ชัด ขอบารมีสมเด็จพระทรง สวัสดิโสภาคย์ช่วยให้เห็นภาพตามความเป็นจริง เมื่อข้าพระพุทธเจ้ามองคน ถ้าบุคคลคนนั้นเขาตายเดี๋ยวนั้นจะไปเกิดในนรก อทิสสมานกายของเขาที่ปรากฏกับใจของข้าพระพุทธเจ้าจะมีรูปร่างเช่นไรพระ พุทธเจ้าข้า ขอดูภาพ"
ศิษย์ : "เป็นรูปคนผอม ทรุดโทรม ไม่มีผ้านุ่ง ผ้าห่มซีดเซียว ดำ"
ครู : "เหมือนอะไรที่เราเคยพบมาแล้ว เมื่อวานนี้"
ศิษย์ : "สัตว์นรก"
ครู : "ใช่ ต่อไปขอดูอีกครั้งถ้าบุคคลบางคนที่มองดูถ้าภาพอทิสสมานกายปรากฏแก่เราเป็น แบบเทวดา แสดงว่าบุคคลนั้นเขาตายเดี๋ยวนั้นจะไปไหน กราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความรู้สึกของใจอารมณ์แรกคือคำตอบ"
ศิษย์ : "ไปสวรรค์"
ครู : "คุณลุงล่ะคะ เห็นเป็นยังไง ไปไหน...?"
ศิษย์ : "ไปเป็นเทวดาครับ"
ครู : "คนอื่น ๆ รู้สึกว่ายังไงคะ...?"
ศิษย์ : "เหมือนกันค่ะ"
ครู : "ถูกแล้ว ภาพอทิสสมานกายที่ซ้อนอยู่ในกายเนื้อของแต่ละคนบ่งบอกถึงความดีความชั่วของ คนนั้นได้เลย ต่อไปสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านสอนไว้อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ นอกจากจะเห็นอทิสสมานกายของเราหรือใครแล้ว ก็สามารถเห็นกำลังใจหรือกระแสจิตเป็นดวงกลม ๆ แล้วดูสีของจิตในขณะนั้นได้ด้วย ให้ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงโปรดเนรมิตให้เห็นจิตของข้าพระ พุทธเจ้าด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า เห็นภาพหรือยัง...?"
ศิษย์ : "เห็นแล้ว ขาวสว่างดี มีแสงออกด้วย"
ครู : "ใช่ เราอยู่ที่วิมานพระพุทธเจ้านี่ จิตสะอาดที่สุดก็จะมีลักษณะแบบนี้แหละ ตอนนี้ให้ขอบารมีพระพุทธองค์ และท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหมดช่วย ขอดูภาพกระแสจิตของข้าพระพุทธเจ้าเองในสมัยที่เป็นปุถุชนคนธรรมดายังมี อารมณ์หนาแน่นด้วยกิเลสยามที่มีความทุกข์ใจ กลุ้มใจ กำลังใจจะมีสีอะไรพระพุทธเจ้าข้า ขอพระพุทธองค์ช่วย"
ศิษย์ : "เห็นเป็นวงกลมทึบ สีดำ"
ศิษย์ : "ทึบ สีเทา ๆ"
ครู : "คนอื่น ๆ เห็นเป็นยังไคะ...?"
ศิษย์ : "สีดำ มืด มัว"
ครู : "ถูกแล้ว ยามกลุ้มใจ กังวลใจ มีความทุกข์จิตจะมีสีอย่างที่เห็นอยู่นี่ ถ้าดำมากก็กลุ้มมาก ถ้าสีเทา ๆ ก็กลุ้มน้อยหน่อย ต่อไปยามที่ปุถุชนดีใจ เพราะได้ลาภ ได้ของขวัญที่เป็นวัตถุ สีของ       จิตจะมีสีเป็นอย่างไร ขอดูภาพ"
ศิษย์ : "แดง ทึบ"
ศิษย์ : "สีเลือดหมู สีเหมือนน้ำล้างเนื้อ"
ศิษย์ : "สีชมพู"
ครู : "ใช้ได้ เวลาดีใจ จะมีสีแดง ถ้าดีใจน้อยก็ชมพู ถ้าขณะที่ปุถุชนมีอารมณ์เฉย ๆ สบาย ๆ ไม่ได้กลุ้ม และไม่ทุกข์ใจอะไร กำลังใจจะมีสีอะไร...?"
ศิษย์ : "สีขาว"
ครู : "ถูกต้อง สีขาวเหมือนผ้าขาว ต่อไปขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพกระแสจิตของข้าพระ พุทธเจ้าสมัยที่มีศีลบริสุทธิ์ดูซิ...?"
ศิษย์ : "สีขาวขุ่น แต่ขอบ ๆ เริ่มมีสีใส ๆ"
ครู : "สีใส ๆ คืออะไรคะ ความรู้สึกของจิตว่าเป็นอะไร...?"
ศิษย์ : "ใสเหมือนแก้ว นิดหน่อย บาง ๆ"
ครู : "ตกลงมีแก้วเคลือบอยู่นะคะ ถ้าเริ่มเจริญสมาธิถึงอุปจารสมาธิล่ะคะ"
ศิษย์ : "ก็ใสมากขึ้นอีกหน่อย"
ครู : "ถ้าจิตเข้าถึงฌานที่ ๑ ล่ะ"
ศิษย์ : "เป็นแก้วลึกเข้าไปอีกหน่อย"
ครู : "ถึงครึ่งดวงหรือยัง...?"
ศิษย์ : "ยัง ครึ่งของครึ่งดวงได้"
ครู : "ถูกต้อง ถ้าจิตเข้าถึงฌาน ๒ จะมีลักษณะเป็นยังไง ขอดูภาพต่อไปซิคะ"
ศิษย์ : "แก้วใสถึงครึ่งดวงแล้ว"
ครู : "คนอื่นเห็นเป็นยังไงคะ...?"
ศิษย์ : "เหมือนกัน"
ครู : "ถ้าจิตเข้าถึงฌานที่ ๓ ล่ะคะ สภาพอารมณ์จิตจะเป็นเช่นไร ขอบารมีสมเด็จพระจอมไตรช่วยให้เห็นภาพตามความเป็นจริง"
ศิษย์ : "เป็นแก้วลึกเข้าไปอีก เลยครึ่งแล้ว"
ครู : "ถ้าจิตเข้าถึงฌานที่ ๔ ซึ่งเป็นฌานโลกีย์"
ศิษย์ : "เป็นแก้วใสหมดดวง"
ครู : "ต่อไปขอทุกคนเข้าไปกราบนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขอบารมีพระ พุทธองค์ช่วยให้เห็นสีของจิตของข้าพระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระโสดาบันพระเจ้า ข้า ข้างหน้า แล้วดูภาพที่ปรากฏข้างหน้า...?"
ศิษย์ : "สว่างมากขึ้นจากเดิม มีแสงออกรอบ ๆ"
ครู : "แสงที่ออกมารอบ ๆ เป็นประกายนั่นแหละค่ะ แสดงถึงความเป็นพระอริยเจ้า ที่กำลังเห็นอยู่เวลานี้เป็นพระโสดาบัน มีประกายขนาดไหนคะ ดูภาพ...?"
ศิษย์ : "ไม่ถึงครึ่งดวง"
ครู : "สัก ๑ ใน ๔ ของดวงได้ไหมคะ...?"
ศิษย์ : "ได้ครับ"
ครู : "ดูไว้ให้ติดใจว่า ความเป็นพระอริยเจ้า เขาดูกันที่จิตมีประกายหรือไม่ เขาไม่ได้ดูที่การแต่งกาย ไม่ได้ดูความรู้ ฐานะ จริยา ซึ่งเป็นสิ่งภายนอก ถ้าเราได้เจโตปริยญาณก็ดูกันที่จิตหรือ    อทิสสมานกายนี่ละ ต่อไปขอบารมีสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงโปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นกระแส จิตของข้าพระพุทธเจ้าเองเมื่อเป็นพระสกิทาคามี"
ศิษย์ : "สว่างมากขึ้นจากเดิม มีประกายมากขึ้น"
ครู : "ถึงครึ่งได้หรือยังคะ...?"
ศิษย์ : "ได้แล้วค่ะ"
ครู : "นี่เป็นพระสกิทาคามี ต่อไปขอองค์สมเด็จพระชินสีห์ช่วยให้เห็นกระแสขจิตของข้าพระพุทธเจ้าเองยามที่เป็นพระอนาคามีพระพุทธเจ้าข้า"
ศิษย์ : "มีประกายเพิ่มขึ้นอีก"
ครู : "มีประกายหมดดวงหรือยังคะ...?"
ศิษย์ : "ยังค่ะ ยังเหลืออีกนิดหน่อยตรงกลางดวง"
ครู : "ใช้ได้นะคะ ต่อไปขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นกำลังจิต ของข้าพระพุทธเจ้ายามเมื่อตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน มีกำลังใจเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ ขอดูกำลังใจขณะนั้นชัด ๆ พระพุทธเจ้าข้า"
ศิษย์ : "สว่างหมดทั้งดวง เหมือนดวงประกายพรึกแล้ว"
ครู : "คนอื่น ๆ เห็นเป็นยังไงบ้างคะ...?"
ศิษย์ : "สว่างหมดดวง มีประกายออกมากที่สุดครับ"
ครู : "จำภาพไว้นะคะ หลวงพ่อท่านแนะนำพวกเราให้ดูกำลังจิตของเรา ตื่นเช้าขึ้นมาดูว่าสว่างเท่านี้หรือยังถ้ายังไม่เท่าก็ขับกำลังใจ ตัดสินใจว่าเราไม่ต้องการเกิดอีกต่อไปแล้ว ตัดจริง ๆ นะ การเกิดเป็นคน เป็นเทวดา เป็นพรหม ไม่เอา ขอไปพระนิพพานแห่งเดียว แล้วดูกระแสจิตของตัวเองสว่างถึงที่สุดแบบนี้หรือยัง ถ้าได้แล้วก็ทรงกำลังใจแบบนี้สักครู่ จิตจะสะอาดทีละน้อย ๆ ทุกวันจะทรงตัว สังเกตใจของเราเวลานี้ รู้สึกเป็นยังไงบ้างคะ...?"
ศิษย์ : "สบาย เบา โปร่ง ไม่ห่วงอะไรทั้งนั้น"
ครู : "ถ้าร่างกายที่นั่งอยู่ข้างล่างมันเกิดตายเดี๋ยวนี้ล่ะ...?"
ศิษย์ : "เฉย ๆ มันจะตายก็ช่างมัน ไม่เสียดาย"
ครู : "เป็นอารมณ์ที่จะต้องทำให้เกิดขึ้นบ่อย ๆ นะคะ วันละ ๑ นาที ก็ยังดี ต่อไปนึกถึงบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และท่านผู้มีพระคุณช่วยให้เห็นภาพกำลังใจของข้าพระพุทธเจ้าเมื่อยามที่ลงไป อยู่ในร่างกายตามปกติ กำลังใจจะเป็นเช่นไรขอดูภาพตามความเป็นจริงพระเจ้าข้า"
ศิษย์ (พระ) : "พอจะมีประกายอยู่บ้าง"
ครู : "แสงสว่างเรือง ๆ น้อย ๆ พอสว่าง ๆ"
ศิษย์ : "แต่ละคนดูกระแสจิตของตัวเอง แล้วเทียบกับที่เราดูภาพผ่านมาสักครู่นี้ กระแสจิตของเราเทียบได้กับปุถุชนหรือผู้ทรงฌานโลกีย์ หรือพระอริยเจ้าดูเอาเอง และก็ควรจะขับกำลังใจให้สว่างถึงที่สุดไว้ทุกวัน วันละเล็กน้อยก็ยังดี ตอนนี้ทุกคน ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วยให้เห็นอทิสสมานกายของข้าพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าข้า...?"
ศิษย์ : "เห็นแล้ว"
ครู : "สวยเท่าเดิมหรือยัง...?"
ศิษย์ : "เกือบเท่า"
ครู : "เข้าไปกราบนมัสการองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ขอบารมีพระพุทธองค์ช่วยให้อทิสสมานกายของข้าพระพุทธเจ้าสว่างไสว เทียบเท่ากับพระอรหันต์ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า แล้วดูซิสว่างขึ้นไหม...?"
ศิษย์ : "สว่างมากขึ้นแล้ว สวยกว่าคนเดิม"
ครู : "นี่เราอาศัยบารมีพระพุทธเจ้าช่วยนะคะ จำเอาไว้เลยว่า ยามที่เรามีปัญหาขัดข้องอันใด ก็ขึ้นมากราบขอบารมีพระพุทธองค์ช่วย ขอบารมีท่านพ่อ ท่านแม่ช่วย ถ้าเราทำจนคล่องคนเดินผ่านไปหรือได้ยินชื่อก็ดูจิตได้เลย เป็นการดูเพื่อซ้อมอารมณ์เท่านั้น ส่วนใหญ่เขาดูจิตตัวเองมากกว่า"

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘