คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร


คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ
โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร

ต่อไปนี้จะขอแนะนำเนื่องในการเจริญมโนมยิทธิ คำว่า มโนมยิทธิ นี่เป็นกรรมฐานอย่างหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ เพราะกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้มี ๔๐ แบบ แล้วก็ ๔๐ แบบ ถ้าแบ่งเป็นหมวดก็ ๔ หมวด คือ หมวดที่ ๑ สุกขวิปัสสโก หมวดที่ ๒ เตวิชโช หมวดที่ ๓ ฉฬภิญโญ หมวดที่ ๔ ปฏิสัมภิทัปปัตโต
หมวดที่ ๑ ที่เรียกว่า สุกขวิปัสสโก ท่านแปลว่า บรรลุมรรคผลได้อย่างแบบง่าย ๆ แต่ความจริงแล้วไม่ง่าย ยากมากแบบสุกขวิปัสสโก นี่เวลาเจริญสมาธิตามที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำอยู่ตามปกติ เป็นการทำจิตให้เป็นสมาธิเข้าถึงฌานสมาธิ แล้วก็ตัดกิเลส ไม่สามารถจะเห็นผี เห็นนรก เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ได้ คือไม่มีทิพจักขุญาณ
สำหรับเตวิโช นั้น มีความสามารถพิเศษอยู่ ๒ อย่าง คือว่า มีทิพจักขุญาณด้วย สามารถระลึกชาติด้วย และก็
ฉฬภิญโญ (อภิญญาหก) แสดงฤทธิ์ได้ มีหูเป็นทิพย์ มีตาเป็นทิพย์
ปฏิสัมภิทัปปัตโต มีความสามารถคลุมวิชชาสาม และอภิญญาหก มีความฉลาดกว่า
หมวด ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ไม่เหมือนกัน แต่วิธีปฏิบัติคล้ายคลึงกัน เอาในกรรมฐานทั้ง ๔๐ มาแยกปฏิบัติเป็นหมวดหมู่ ทีนี้สำหรับการปฏิบัติ ถ้าจะถามว่าอย่างไหนเข้าถึงมรรคผลง่ายกว่ากัน ก็ต้องเป็นไปตามอัธยาศัยของบรรดาท่านพุทธบริษัท
สำหรับ สุกขวิปัสสโก พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับผู้ที่ต้องการเรียบ ๆ ไม่ต้องการฤทธิ์เดช ทำแบบสบาย ๆ จิตใจไม่ชอบจุกจิก สำหรับ เตวิโช นั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับคนที่อยากรู้อยากเห็น ถ้ามีสิ่งปิดบังลี้ลับอยู่ ทนไม่ไหว ต้องหาให้พบ ค้นให้เห็น สำหรับ ฉพภิญโญ นั้น สำหรับคนที่ต้องการมีฤทธิ์เดช พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนไว้ สำหรับ ปฏิสัมภิทาญาณ หรือปฏิสัมภิทัปปัตโต ท่านมีทั้งฤทธิ์ด้วย มีทั้งความเป็นทิพย์ของจิตด้วย มีความฉลาดด้วย สอนไว้เพื่อคนที่ต้องการรอบรู้ทุกอย่าง
ฉะนั้นการที่พระพุทธเจ้าทรงสอนจึงเป็นไปตามอัธยาศัยของคน
สำหรับวันนี้จะนำเอาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่วนหนึ่งที่เรียกว่า มโนมยิทธิ มาแนะนำแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท
มโนมยิทธิ นี่คล้ายคลึงกับ เตวิชโช แต่ว่ามีกำลังสูงกว่า เป็นกรรมฐานเพื่อเตรียมตัวที่จะปฏิบัติเพื่อ อภิญญาหก ต่อไปข้างหน้า สำหรับ เตวิชโช ก็ได้แก่ วิชชาสาม ก็มีทิพจักขุญาณ ซึ่งต่างกับ มโนมยิทธิ คือว่า ท่านที่ได้ทิพจักขุญาณแล้วนั่งอยู่ตรงนี้สามารถจะเห็นเทวดาหรือพรหมได้ สามารถจะคุยได้ แต่ไปหาไม่ได้ สามารถจะเห็นสัตว์นรก เห็นเปรต เห็นอสุรกายได้ แต่ว่าไม่สามารถจะไปหากันได้ เห็นอย่างเดียว
สำ หรับมโนมยิทธิ ใช้กำลังของจิตเคลื่อนออกจากกายไปสวรรค์ก็ได้ ไปพรหมโลกก็ได้ ไปนิพพานก็ได้ ซึ่งมีกำลังสูงกว่า ทั้งนี้เพราะว่าถือเป็นส่วนหนึ่งของอภิญญาสมาบัติ
สำหรับ ประโยชน์ที่จะฝึกพระกรรมฐาน นอกจากที่บรรดาท่านพุทธบริษัทจะเข้าใจว่าการเจริญกรรมฐานนี้ต้องการสวรรค์ ต้องการพรหมโลก ต้องการนิพพานอย่างเดียว ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น มีประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม
ถ้าทุกท่านได้มโนมยิทธิแล้วก็ไปฝึกฝนให้คล่อง เมื่อฝึกฝนคล่องแล้ว นอกจากจะยกจิตขึ้นไปสู่ภพต่าง ๆ ก็ยังมีคุณสมบัติ ๘ ประการ คือ
. ทิพจักขุญาณ สามารถที่จะเห็นสิ่งของที่อยู่ในที่ลี้ลับได้ เห็นผีได้ เห็นเทวดาได้ เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ ของที่เราเก็บไว้ในที่ลี้ลับหาไม่พบเราก็สามารถเอาจิตเข้าไปกำหนดรู้ได้ หรือว่าใครจะแอบแฝงอยู่ที่ไหนเราก็ทราบได้ ถ้าเราต้องการจะรู้ ความความว่าไม่มีอะไรเป็นความลับสำหรับพวกที่มีทิพจักขุญาณ
และถ้าหากว่าจะใช้ทิพจักขุญาณนี้ประกอบอาชีพ ถ้าทิพจักขุญาณมีความเข้มข้นขึ้น เข้าถึงฌาน ๔ และก็ได้ อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ มันจะได้ไปเอง ถ้าเราจะประกอบอาชีพเราก็สามารถจะรู้ได้ว่า อาชีพที่เราประกอบข้างหน้ามันขาดทุนหรือกำไร จะทำอะไรก็ได้
ถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษา ถ้ามีกำลังจิตเข้มข้นจริง ๆ สามารถจะเดาข้อสอบ (ไม่ต้องเดาละดูเลย ดูข้อสอบเลย ก่อนที่ครูจะเขียนน่ะ) อนาคตังสญาณ จะสามารถรู้ข้อสอบที่ครูจะออกมาได้ ถ้าหากว่าจิตยังคล่องไม่ถึง มีความเข้มข้นไม่ถึงเวลาจะสอบ ถ้าตอบไม่ได้ตัดสินใจใช้กำลังสมาธิช่วยสัก ๒ นาที คิดว่าถ้าจะตอบยังไงถึงจะถูก ขอให้ตัดสินใจไปตามนั้น มันตัดสินใจเองแล้วก็ถูกต้อง
อย่างนี้นักเรียนนักศึกษาในกรุงเทพฯ ใช้มาหลายพันคนแล้ว เวลาเข้ามหาวิทยาลัยเธอตอบไม่ได้เธอก็เดาอย่างนี้ แต่ไม่ใช่เดานะ เดาเฉย ๆ ไม่ได้นะ ต้องใช้กำลังใจที่เขาเรียกว่าทำจิตเข้าไปถึงนิพพานก่อน และก็นั่งอยู่ที่นั่น ขอพระพุทธเจ้าว่าจะตอบอย่างไร ตัดสินใจไปตามนั้น อย่าถามท่านไม่ได้นะ ถามท่านไม่บอก แต่ว่าจะรู้ด้วยกำลังของจิตนี่เป็นทิพย์
แบบ นี้เขาใช้กันเยอะแล้ว ถ้าจะถามว่าทำได้หรือ นี่มันสายไปแล้ว เขาทำได้มากแล้ว อันนี้เป็นประโยชน์ในทางโลกใช้ได้มากกว่านี้ เมื่อกี้พูดถึงทิพจักขุญาณ และก็ญาณที่ ๒ ที่จะได้จากมโนยิทธิ ก็คือ จุตูปปาตญาณ
จุตูปปาตญาณ ที่เขาบอกว่าจะรู้เห็นคนหรือสัตว์ หรือว่าได้ยินชื่อคนหรือสัตว์ เราสามารถรู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้ก่อนเกิดมาจากไหน ถ้ารู้ว่าใครเขาตายเขาแจ้งว่าคนนั้นตาย สัตว์ตัวนี้ตายเราก็จะทราบได้ว่าผู้ตายผู้นี้เวลานี้ไปอยู่ที่ไหน อันนี้เขาเรียกว่า จุตูปปาตญาณ
แล้วก็ต่อมาเป็น ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติสามารถจะทบทวนชาติต่าง ๆ ที่เราเกิดมาได้ทั้งหมดว่าเราเคยเกิดมาแล้วกี่ชาติ แต่กี่ชาตินี่นับไม่ไหวนะ ว่าเคยเกิดมาแล้วกี่แสนชาติดีกว่า เคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง เราสามารถจะรู้
แล้วก็ต่อไป เจโตปริยญาณ เจโตปริยญาณ เขาแปลว่า สามารถรู้อารมณ์จิตของบุคคลอื่น หมายความว่าคนที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ดี ถ้ายังไม่มาก็ดี เราจะรู้ว่าเขาคิดอะไร เราสามารถจะรู้ได้ทันที
และต่อไป อตีตังสญาณ สามารถรู้เหตุการณ์ในอดีตของคน และสัตว์และสถานที่ได้ ว่าก่อนนั้นเขาทำอะไรมาหรือมีสภาพเป็นอย่างไร
อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอนาคต
ปัจจุปันนังสญาณ ญาณนี้สำคัญมาก รู้กฎของกรรมที่ทำให้คนมีความสุขหรือความทุกข์ เราก็ดี บุคคลอื่นก็ดี ซึ่งกำลังมีความสุขอยู่เพราะผลความดีอะไรให้ผล ที่มีความทุกข์อยู่เพราะความชั่วอะไรให้ผลทำมาแล้วในอดีต ถ้าหากว่ารู้ญาณนี้ได้ความหนักใจความกลุ้มใจไม่มี
รวมความว่า มโนมยิทธิ นอกจากจะยกจิตไปสู่ภพต่าง ๆ แล้ว ยังมีคุณสมบัติอีก ๘ ประการ และก็พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อุทุมพริกสูตร เฉพาะอย่างยิ่งท่านกล่าวถึง วิชชาสาม ท่านบอกว่า ท่านผู้ใดสามารถกระทำจิตไปสู่ภพต่าง ๆ คือว่าไปสวรรค์ก็ได้ ไปนรกก็ได้ ไปพรหมก็ได้ ไปนรก เปรต อสรุกายได้ ชื่อว่าถึงแก่นของพระศาสนา
เมื่อบุคคลปฏิบัติกิจเข้าถึงแก่นของพระศาสนาแบบนี้ ถ้าปฏิบัติด้านวิปัสสนาญาณ ท่านบอกว่า ถ้า มีบารมีแก่กล้า จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ วัน ถ้ามีบารมีอย่างกลางจะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ เดือน ถ้ามีบารมีอย่างอ่อน จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ ปี
คำว่า บารมี ก็หมายถึง กำลังใจ กำลังใจที่เราจะเอาจริงหรือไม่เอาจริง ถ้าเราใช้กำลังส่วนนี้ไปช่วยวิปัสสนาญาณ หรือนำวิปัสสนาญาณมาใช้ก็จะเป็น พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ และก็เป็นที่น่าเสียดายที่มีกำลังพอแต่ไปใช้กำลังอย่างอื่นอยู่ ถ้ามุ่งต้องการความเป็นพระอริยเจ้าจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าต้องการพระโสดาบันละก็ อย่างช้าก็ไม่เกิน ๑ เดือน ช้ามากเกินไป แต่ว่าคนขี้เกียจก็เร็วมากเกินไป ใช่ไหม ถ้าขี้เกียจ ๑ เดือนนี่ เร็วมากเกินไป ถ้าขยัน ๑ เดือน ช้าเกินไป เร็วมากเกินไป
พระพุทธเจ้าไม่ได้หมายถึงว่าเป็นพระโสดาบัน ท่านพูดถึงอรหันต์เลย ถ้า มีความเข้มข้นในการปฏิบัติที่เรียกว่ามีบารมีแก่กล้าจะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ วัน ถ้ามีกำลังใจอย่างที่เรียกว่า อุปบารมี คือกำลังใจอย่างกลาง จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ เดือน ถ้าขี้เกียจมากหน่อย แต่ว่าทำไม่เลิก ทำบ้างไม่ทำบ้างวันหนึ่งก็ไม่เว้นละ ทำมากทำน้อย นอนน้อยทำมาก สลับกันไปอย่างนี้ไม่เกิน ๗ ปี
แต่ว่าก็มีเยอะเหมือนกันที่ ได้ไปแล้วไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ ใช้เฉพาะกิจส่วนนี้ก็ยังดีกว่า เพราะหายสงสัย ที่พระพุทธเจ้าสอนวิชานี้ไว้เป็นวิชาขั้นต้นของ อภิญญา ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงเทศน์บอกว่า คน เราตายไปแล้วมีสภาพไม่สูญ ถ้าสร้างผลของความชั่ว ผลของความชั่วจะให้ผล คือ ไปนรก จากนรกก็ต้องมาเป็นเปรต จากเปรตแล้วก็มาอสุรกาย จากอสุรกายมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานนี่เป็นนานหน่อย ต้องเสวยบารมีมากฆ่าสัตว์กี่ตัว สัตว์ประเภทใดบ้าง ต้องเกิดเป็นสัตว์ประเภทนั้นเท่าชีวิตที่เราฆ่า ฆ่ายุงไปเท่าไร เอาแค่ยุงอย่างเดียวก็พอมั้ง
หลังจากเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ กรรมชั่วที่เราทำไว้จะให้ผลเพียงเศษ เช่น ทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือทรมานสัตว์ เป็นปัจจัยให้คนมีอายุสั้น เพราะทำเขาไว้มาก หรือว่าป่วยไข้ไม่สบาย มีร่างกายทุพพลภาพ สุดแท้แต่กฎของกรรม กรรมของอทินนาทาน ลักขโมยยื้อแย่งทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่น เป็นเหตุให้ทรัพย์เสียหายจากไฟไหม้บ้าง ลมพัดบ้าง น้ำท่วมบ้าง ถูกโจรลักขโมยบ้าง
กรรมของกาเมสุมิจฉาจารที่เราละเมิด เป็นเหตุให้คนในปกครองว่ายากสอนยาก คนที่มีลูกดื้อ ๆ จำให้ดีนะ เคยทำกรรมนี้มาแล้วจะให้พระช่วยได้อย่างไร และกรรมของมุสาวาท เราพูดจริงแต่ไม่มีใครเขาอยากฟัง เศษกรรมของการดื่มสุราเมรัย ทำให้เป็นโรคเส้นประสาทหรือโรคบ้า
ทีนี้ถ้าอาการทั้ง ๕ อย่างนี้เกิดขึ้น อย่าไปโทษใคร ถ้าเราได้ ยถากรรมมุตาญาณ เราจะทราบ ว่ากรรมประเภทนี้ที่ทำให้เราลำบากเราทำไว้ตั้งแต่เมื่อไร และก่อนที่จะได้รับเศษของกรรมเราได้รับโทษของกรรมใหญ่ที่ไหนบ้าง ลงนรกมากี่ขุม ท่องเที่ยวนรกแสนสบาย มีความสุขมีที่อยู่อาศัย พญายมเอาอกเอาใจ ไม่ต้องการให้พ้นจากนรกนี่ดีมีวาสนาบารมีสูง ออกจากขุมนรกใหญ่ ออกจากบริวาร ผ่านยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม ออกจากยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม ผ่านเปรตอีก ๑๒ ลำดับ จากเปรตมาผ่านอสุรกาย จากอสุรกายมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน กว่าจะเกิดมาเป็นคนที่มีความสมบูรณ์มาก พระพุทธเจ้าตรัสแล้วหลายสิบองค์ อันนี้เป็นกฎของความชั่วที่เราพึงจะรู้ได้ด้วยกำลัง มโนมยิทธิ ที่ญาติโยมพุทธบริษัทปฏิบัติกัน
ด้านของความดีที่เราพึงทราบจาก ปุพเพนิวาสานุสสติกรรมฐาน เราจะทราบว่าเราเคยเป็นเทวดามาแล้วกี่ครั้ง เคยเกิดเป็นคนมาแล้วเท่าไร แล้วเคยเกิดมาเป็นมนุษย์มาแล้วเท่าไร ความเป็นมนุษย์ชาติไหนมีความสุขมาก ชาติไหนมีความทุกข์มาก ชาติไหนมีฐานะอย่างไร อย่างนี้เราทราบได้ ทีนี้ถ้าอยากจะทราบว่าบุญที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้ บุญประเภทนี้จะให้ผลเราขนาดไหน สมมติว่าถ้าเราตายขณะนี้เราจะเป็นเทวดาหรือจะไปเป็นพรหมหรือจะไปนิพพาน เราพิสูจน์ได้เลย บุญทำวันนี้พิสูจน์วันนี้ได้ว่าบุญจะส่งผลไปถึงไหน
ถ้า จะถามว่า ถ้าปุบปับตายจะมีวิมานอยู่ไหม ถ้าเคยทำบุญก่อสร้างเกี่ยวกับการสร้างวัดสร้างศาลา สร้างสาธารณประโยชน์ แม้แต่เขาสร้างโบสถ์ ๑ หลัง เราทำบุญไป ๑ บาท และทำด้วยความเต็มใจวิมานก็ปรากฏแล้ว คือว่าทำในทันทีวิมานจะปรากฏทันที
ที่ กล้าพูดอย่างนี้ เพราะว่าทุกท่านหรือหลาย ๆ ท่านกำลังเจริญมโนมยิทธิ และก็หลายท่านที่ได้แล้วสามารถพิสูจน์ได้ทันที ก็มาตัดสินใจทำบุญไว้ตั้งแต่เมื่อไรก็ตามเถอะไม่สนใจ วันนี้ก่อนหรือวันนี้ทำบุญเนื่องในการก่อสร้างสาธารณประโยชน์ วิมานจะปรากฏก่อน เราสามารถจะไปดูวิมานได้ทันทีว่าวิมานเราอยู่ที่ไหน
ทีนี้วิมานที่อยู่ตามกำลังของบารมีหรือตามกำลังของบุญที่ทำ ถ้ากำลังบุญของท่านถึงขั้น กามาวจรสวรรค์ วิมานก็จะตั้งอยู่ที่สวรรค์ กำลังบุญของท่านถึงขั้นของพรหม วิมานจะตั้งอยู่ที่พรหม กำลังบุญความดีของท่านถึงขั้นนิพพาน วิมานก็อยู่ที่นิพพาน คอยอยู่แล้ว ตายเมื่อไรถึงเมื่อนั้นอันนี้พูดถึงผลที่จะพึงได้
ต่อไปก็ขออธิบายถึงวิธีการปฏิบัติกรรมฐาน ที่บอกไว้แล้ว ๔ หมวด คือ สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต อันนี้ใช้แนวสมาธิเหมือนกันแต่ใช้กำลังไม่เท่ากัน อันนี้ต้องระวังให้มากนะ กำลังขึ้นต้นไม่เท่ากัน ถ้าใช้กำลังขึ้นต้นผิดไม่มีผล
สำหรับ สุกขวิปัสสโก นี่ท่านเริ่มเจริญสมาธิเล็กน้อยควบคู่กับวิปัสสนาญาณ แต่ว่าเรื่องศีลมีความสำคัญมาก ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์สมาธิไม่มีผล อย่างวันนี้ท่านฝึกมโนมยิทธิ หากว่าศีลของท่านไม่บริสุทธิ์มาก่อนหรือว่าท่านไม่แน่ใจในความบริสุทธิ์ของ ศีล เวลาสมาทานศีลก็ขอให้ตั้งใจสมาทานด้วยความเคารพจริง ๆ ว่าเราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ถ้าหากว่าท่านไม่มั่นใจในศีล พอไปถึงพระจุฬามณี เขาไม่เปิดประตูให้เข้า อย่างนี้ครูฝึกเขาจับได้แน่ ศีลดีพอสมควร แต่ไม่มั่นใจ คือศีลบกพร่อง ทางจุฬามณีเขาไม่เปิดประตูให้เข้าเด็ดขาด ทำยังไงเขาก็ไม่ยอมให้เข้า ถ้าเราไม่สามารถจะผ่านจุฬามณีได้ก็ไปที่อื่นไม่ได้เหมือนกัน
ถ้า หากว่าท่านผู้ใดไม่มั่นใจในศีลของท่านว่าที่ผ่านมาแล้วศีลจะดีพอควรไหม เวลาสมาทานศีลก็จงคิดว่าเวลานี้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ว่านับตั้งแต่เวลาสมาทานไปจนกว่าจะไปจากที่นี้ศีล ๕ เราไม่มีโอกาสจะขาด ใช่ไหม เราฆ่าใครเขาได้เล่า ลักขโมย ใครเขานี้ไม่แน่นะ อย่าไปล้วงกระเป๋าเขานะ บอกว่าผมไม่ลัก แต่ผมล้วงกระเป๋าเขาอย่างเดียว
เป็นอันว่าทุกคนต้องถือว่าศีลบริสุทธิ์ นี่เป็นพื้นฐานใหญ่
แล้ว เวลาทางสมาธิ สำหรับสุกขวิปัสสโก ก็ใช้สมาธิเล็กน้อยเริ่มต้นควบกับวิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิจริง ๆ เขาเริ่มต้นด้วยฌาน ๔ แต่ว่าการเริ่มต้นด้วยฌาน ๔ นี่ลำบาก จึงลดลงเหลือกำลังอุปจารสมาธิเท่าวิชชาสาม
ฉะนั้น เวลาเริ่มต้นขอทุกท่านใช้กำลังสมาธิแค่อุปจารสมาธิ ถ้าถึงฌานสมาบัติ กำลังสูงเกินไปเลยความเป็นทิพย์ ถ้าต่ำไปก็ไม่ถึงความเป็นทิพย์ เหมือนกับกำแพงที่มีช่องน้อย ๆ อยู่ช่องหนึ่ง ถ้าเรามองตาสูงกว่าช่องเราก็มองไม่เห็น ต่ำกว่าช่องเราก็มองไม่เห็น เราต้องมองให้พอดี ๆ จึงเห็น
สำหรับทิพจักขุญาณก็ เหมือนกัน จิตจะเกิดเป็นทิพย์ตอนจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิเท่านั้น ถ้าจิตเลยไปถึงฌานความเป็นทิพย์ก็ดับ ถ้าต่ำกว่าฌานความเป็นทิพย์ก็ดับ
ถ้าจะถามว่า อุปจารสมาธิทำอารมณ์ขนาดไหน ก็ขอตอบแบบตรงไปตรงมาว่าใช้อารมณ์แบบปกติธรรมดา เวลาภาวนาอยู่ การภาวนานี่ต้องคู่กับลมหายใจเข้าออก เพราะว่าลมหายใจเข้าออกทำให้จิตเป็นสมาธิ ทำให้จิตมีกำลัง สมาธิ เขาแปลว่า ตั้งใจ
สำหรับคำภาวนาใช้ภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ คำภาวนา นะ มะ พะ ธะ ทำให้กำลังจิตเป็นทิพย์ แต่ว่าคำภาวนาทำให้จิตนี่เป็นทิพย์มีหลายสิบแบบ ไม่เฉพาะแค่ นะ มะ พะ ธะ อย่างเดียวนะ แต่ว่าที่เลือกเอา นะ มะ พะ ธะ มาใช้ก็เพราะว่าแบบอื่น ถ้าเราสามารถจะรู้ได้ เห็นได้ ไปได้ ไปท่องเที่ยวในภพต่าง ๆ ได้ แต่คนข้าง ๆ ถามไม่ได้ ต้องจบกิจเรื่องนั้นแล้วก็กลับมาจึงจะคุยกับคนข้าง ๆ ได้
สำหรับ นะ มะ พะ ธะ นี่ ขณะที่เราไปพบอะไรที่ข้างบน หรือที่ไหนก็ตาม นรกก็ตาม สวรรค์ก็ตาม พรหมโลกก็ตาม คนข้าง ๆ จะถามได้ทันทีแล้วจะตอบได้เลย ทางโน้นตอนมา ฝ่ายนี้ก็พูด พูดรู้เรื่องกันได้ตลอด แบบนี้ควานหามา ๒๓ ปี กว่าจะพบ และแบบอื่น ๆ เป็นของไม่ยาก แต่ว่าเป็นเรื่องสงสัยของคน ผู้ถามอยู่ข้าง ๆ ต้องการจะรู้ว่าพ่อฉันตายแม่ฉันตายไปอยู่ที่ไหน หลับตาปี๋อยู่นานลืมตาก็บอก ทีนี้คนข้าง ๆ อาจจะสงสัย หมอนี่อาจจะโกหกก็ได้
สำหรับ นโนมยิทธิแบบนี้ ปัจจุบันใช้ นะ มะ พะ ธะ คนข้าง ๆ จะถามได้ทันที และก็เราผู้ไม่รู้ ถ้าไปพบคนตาย จะต้องถามก่อนที่ท่านจะตายรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร แสดงให้ดูก่อน ขณะที่ป่วยลงเปลี่ยนแปลงไปแบบไหนแสดงให้ดูก่อน ร่างกายจะตายอาการแบบไหน ชี้ให้ชัดว่าคนที่ถามเขารู้เวลานั้นเอาเฉพาะอาการที่รู้ เราก็จะบอกได้ตามปกติว่ามันชัดเจนดี เขามีโอกาสซัก ซักได้ทั้งที่ยังไม่ถอนจากฌานแบบนี้มีประโยชน์มาก
ฉะนั้นเวลา ปฏิบัติของบรรดาท่านพุทธบริษัททำอารมณ์ตามแบบปกติ ไม่ต้องทำจิตให้มันเครียดเป็นฌานอย่าลืมนะ ถ้าเป็นฌานไม่มีผล คือใช้คำภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ
ถ้าจะควบคู่กับลมหายใจเข้าออก เวลา หายใจเข้าก็นึกว่า นะ มะ เวลาหายใจออกก็นึกว่า พะ ธะ เอาแบบสบาย ๆ นะ อย่าให้เหนื่อย อย่าไปเร่งรัดลมหายใจ อย่าบังคับลมหายใจ อย่าให้เร็วเกินไป อย่าให้ช้าเกินไป ปล่อยลมหายใจไปตามปกติ แค่นึกตามเวลาหายใจเข้าตึกว่า นะ มะ เวลาหายใจออกนึกว่า พะ ธะ เอาแค่นี้นะ
แล้ว เวลาที่ยังไม่มีใครเข้าไปแนะนำ จงอย่าไปนึกอยากรู้อยากเห็นอะไรเป็นอันขาด เพราะว่าถ้านึกอยากรู้อยากเห็นตอนนั้นจิตซ่านไม่เป็นสมาธิ และก็มีปัญหาอันหนึ่งที่บรรดาท่านพุทธบริษัทยังสงสัยเวลาที่ผู้แนะนำเขา ปล่อยให้นั่งภาวนาประมาณ ๑๕ นาที ตอนนี้เราก็รู้ลมหายใจเข้าออกด้วย รู้คำภาวนาด้วย จิตก็อดซ่านไม่ได้เป็นของธรรมดา ภาวนาไปรู้ลมหายใจเข้าออกไปสัก ๒-๓ นาที ก็เผลอไปคิดเรื่องอื่นเข้ามาแทน ถ้านึกขึ้นมาได้ก็กลับดึงเข้ามาใหม่
ถ้าอาการจิตเป็นอย่างนี้ละก็ขอ บรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าเพิ่งคิดว่าเราชั่ว ถือว่าที่ทำไปนั้นไม่ชั่วแล้วก็ไม่ผิด มันเป็นเรื่องธรรมดาของจิตมันชอบคิดเรื่องอื่น แต่ว่าถ้าไปคิดเรื่องอื่นแทนที่ ถ้าเรารู้ตัวก็ดึงกลับมาใหม่ ถ้าจิตอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ มันเป็นแบบนี้แหละ เพราะยังไม่ได้ฌานสมาบัติ ถ้าจิตจะทรงตัวจริง ๆ ต้องเป็น ฌานสมาบัติ
ที นี้พอได้เวลาก็จะมีผู้เข้าไปแนะนำโดยตรง วิธีนี้ถ้าปล่อยให้ปฏิบัติธรรมดานะ พระเคยทำมาแล้ว ๓๐ ปีบ้าง ๔๐ ปีบ้าง บางองค์ ๔๐ ปีไม่ได้ ตายไปเลย ตายไปเยอะ ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ เป็นเรื่องใหญ่มากเดิมทีเดียวต้องขึ้นต้นด้วยฌาน ๔ ทีนี้กว่าจะได้ฌาน ๔ เขี้ยวเหี้ยน กินหญ้าต่อไปไม่ได้แล้ว
ต่อมาท่านเจ้าของท่านมาแนะนำบอกว่า ปฏิบัติอย่างนี้ (แบบเก่า) มันไม่มีผล เพราะว่ากำลังของคนไม่พอ ท่านก็แนะนำบอกว่า ให้ขึ้นต้นด้วยอุปจารสมาธิ ใช้กำลังของวิชชาสามแทน การใช้กำลังของวิชชาสามแทนนี้ก็อ่อนไปหน่อย การเคลื่อนไหวตัวรู้สึกตัวน้อย ๆ เป็นที่น่าสงสัย
ถ้า หากว่าใช้กำลังเดิม คือกำลังของฌาน ๔ เวลามันออกมันรู้ตัวเหมือนออกจากกระบอกไม้ มันพุ่งตรงออกจากโพรงไม้หรือออกจากถ้ำ มันรู้ตัวเลย ก็จะปรากฏชัดเป็นแสงสว่างในอากาศ แสงสว่างเป็นลำบ้าง เป็นแสงทั่วไปไปในอากาศบ้าง จะปรากฏเห็นกายข้างในมันพุ่งตรงออกไปไหนก็มีความรู้สึกเหมือนเราไปเอง
แต่ ว่ากำลังแบบนี้เวลานี้ท่านพุทธบริษัทยังรับไม่ได้กว่าจะรับได้ก็ใช้เวลาเป็น เดือนหรืออาจจะเป็นปี ที่สอนมาแล้วระยะต้นเมื่อปี ๒๕๐๘ ได้มาประมาณ ๘๐ คน หลังจากนั้นมาอีก ๑๐ ปี ไม่มีใครได้เลย เพราะกำลังไม่พอ ต่อมาท่านเจ้าของจึงแนะนำบอกว่า ให้ลดกำลังลงเหลือกำลังของวิชชาสาม
ที นี้กำลังของวิชชาสามมีสภาพคล้ายความฝัน เป็นที่น่าสงสัย กำลังของวิชชาสามก็คือใช้กำลังของอุปจารสมาธิแทนฌานสมาบัติ ทีนี้มาจุดหนึ่งที่บรรดาท่านพุทธบริษัทยังสงสัยคือว่า ทิพจักขุญาณ คำว่า ทิพจักขุญาณ นี่ไม่ใช่แปลว่า ลูกตาเนื้อเป็นทิพย์ ญาณ เขาแปลว่า รู้ ทิพจักขุญาณ เขาแปลว่า มีความรู้ทางใจคล้ายตาทิพย์ อย่าลืมนะว่าความรู้สึกทางใจคล้ายตาทิพย์ เพราะว่าเรายังไม่ได้ใช้ฌาน ๔ ถ้าใช้ฌาน ๔ ตัวนี้ไม่ต้องอธิบายเพราะมันออกไม่รู้ตัว เมื่อใช้กำลังของวิชชาสามจิตกำลังอ่อนลง ไม่สามารถจะมีความเข้มแข็งแบบนั้นได้ ต้องใช้ความสังเกตเป็นเกณฑ์
ถ้า หากว่าศีลดี สมาธิดีพอสมควร ไม่มากนักการตัดสินใจด้านพระนิพพานน้อยเกินไป อย่างนี้ทิพจักขุญาณจะเกิดอย่างอ่อน เกิดจากความรู้สึกของใจ ความรู้สึกทางใจนี่มันจะมีความรู้สึกอันดับแรกว่าเป็นอะไรต้องตอบทันที ตัวแรกเป็นตัวแท้ก็แน่นอน และเวลาที่ท่านทั้งหลายจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าทำใจให้สบายคิดว่างานที่เราทำจะมีผลดีหรือผลชั่ว อารมณ์แรก มันบอกปั๊บต้องเชื่ออารมณ์นั้นทันที
ทีนี้ถ้าหากว่าอารมณ์มันอ่อน เมื่อเวลามีผู้เข้าไปแนะนำ หลังจากภาวนาไปแล้วประมาณ ๑๕ นาที เขาจะให้สัญญาณบอกว่าพักได้ แล้วต้องสังเกตนะ ถ้าท่านผู้ใดมีคนไปนั่งข้างหลังเขาจะแนะนำ ขอให้ท่านผู้นั้นเลิกภาวนาเสียเลย อย่าภาวนา แล้วก็เลิกรู้ลมหายใจเข้าออก ปล่อยใจสบาย ๆ เพราะตอนนั้นไปภาวนาไม่ได้ขวางกัน ให้ฟังคำแนะนำของผู้แนะนำ
ถ้า ผู้แนะนำเขาแนะนำว่ายังไงให้ตัดสินใจไปตามนั้น ถ้าเห็นว่ากำลังใจเริ่มเป็นทิพย์พอสมควร เขาจะถามว่า "มีความรู้สึกว่ามีผู้ใดอยู่ข้างหน้าบ้าง...?" ไม่ใช่หมายถึงตัวเขา ถ้าสมาธิอ่อน ความรู้สึกมันว่ามี ก็ตอบว่ามี อย่ายั้งตัวนะ ถ้ายั้งตัวแน่หรือไม่แน่ ตรงนี้ตัวกิเลสคือนิวรณ์ ตัวสงสัยจะขวางทันที คือ ผิดหมด ถ้าเราเกิดความรู้สึกครั้งแรกว่ามีต้องตอบว่ามี
ถ้าเขาถามว่า "ผู้ที่มาอยู่ข้างหน้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย" ความรู้สึกมันว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตอบทันที อย่ายั้งตัว ถ้ายั้งถอยหลังไม่ได้ ผิด ถ้าเขาถามว่าแต่งตัวสีอะไร ก็ตอบตามความรู้สึกถ้าคนข้าง ๆ เขาสีแดง ของเราเขียวก็ตอบเขียวอย่าตามเขานะ เพราะความเป็นทิพย์ของเทวดา พรหม หรือพระอรหันต์ ย่อมสามารถจะทำให้คนเห็นสีต่างกันในขณะเดียวกัน ถ้าเป็นอย่างนี้สัก ๒-๓ วาระ ครูเขารับรองว่าถูกต้อง กำลังใจจะดีขึ้น ตอนนี้อารมณ์จิตจะเป็นฌานเอง คำว่าเป็นฌาน อย่าไปบังคับมันนะ มันจะเป็นของมันเอง เมื่ออารมณ์จิตเริ่มเป็นฌาน ความสว่างไสวจะปรากฏขึ้นบ้างตามพอสมควร
ตอน นี้ภาพที่เรามองไม่เห็นจะมีความรู้สึกว่ามีว่าเห็นเป็นผู้หญิงผู้ชายนั่น แหละ มันไม่ปรากฏภาพมาก่อน แต่ความรู้สึกจะเกิดขึ้นกับใจ เมื่อจิตเริ่มเป็นฌานภาพจึงปรากฏขึ้นกับใจ หลังจากนั้น ไปครูเขาจะแนะนำในการตัดขันธ์ ๕ การตัดขันธ์ ๕ มีความสำคัญมาก คือ เอาจิตมุ่งพระนิพพานโดยเฉพาะ คิดว่าถ้าตายชาตินี้ เมื่อตายเมื่อไรขอไปนิพพานจุดเดียว ตัดสินใจแน่นอนละก็ไปถึงนิพพานแน่
หลังจากนั้นเขาจะพาไปพระจุฬามณี ซึ่งตั้งอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถ้าขั้นถึงจุฬามณีพึงทราบได้เลยว่าขณะนั้นจิตเป็นฌาน ๔ ภาพจะเกิดความสว่างไสวมาก เขาจะพาไปมนัสการพระ ให้เห็นเทวดาหรือพรหม หลังจากผ่านพระจุฬามณีแล้วเขาจะพาตรงไปพระนิพพาน ที่เราว่านิพพานสูญนั้นน่ะ เราจะได้ทราบว่านิพพานไม่สูญ ถ้านิพพานสูญก็ไม่มีพระอรหันต์องค์ไหนไปนิพพาน
นี่พูดถึงว่าสำหรับจิต ที่มีกำลังอ่อน แต่ว่ามีมากท่านด้วยกันที่มีความเข้มแข็งทางจิต จิตสะอาดจริง ๆ พอเริ่มได้รับคำแนะนำจากครูไม่กี่คำจิตจะสว่างจ้า เห็นภาพชัดเจนแจ่มใสมากเหมือนกับเห็นคนในเวลากลางวัน เครื่องแต่งกายละเอียดละออเพียงใดก็ตาม ก็สามารถจะเห็นได้
ฉะนั้น ผู้จะปฏิบัติมโนมยิทธิ ขอให้ตั้งใจ ถ้าสมาทานศีล ขอให้สมาทานศีลด้วยความเคารพ คิดว่าเวลานี้เราเป็นผู้มีศีลแล้วก็การภาวนา อย่าลืมใช้คำว่า นะ มะ พะ ธะ ควบคู่กับลมหายใจ เวลาหายใจเข้านึกว่า นะ มะ เวลาหายใจออกนึกว่า พะ ธะ เวลาภาวนาอยู่จงอย่าอยากรู้อยากเห็นอะไรทั้งหมด จนกว่าจะมีครูเข้าไปแนะนำ

การฝึกมโนมยิทธิ
หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร - ครูฝึก
คุณสมพร บุณยเกียรติ (เปี๊ยก) -ผู้รับการฝึก
ฝึกที่บ้านซอยสายลม
เมื่อวันที่ ๑๑ พ.ย.๒๕๒๑

(หลังจากหลวงพ่อแนะนำวิธีปฏิบัติและให้ภาวนาสัก ๑๐ นาทีแล้ว จึงเข้ามาสอบถาม)
  
หลวงพ่อ :"เปี๊ยก สว่างไหม...?"
เปี๊ยก :"แสงสว่างทั่ว ๆ ไป แต่ไม่เป็นดวงนะคะ"
หลวงพ่อ :"ไม่เป็นดวงหรือ...พิจารณาขันธ์ ๕ ตัดขันธ์ ๕ รูป เป็นสุขหรือเป็นทุกข์...?"
เปี๊ยก :"ทุกข์ค่ะ"
หลวงพ่อ :"เป็นทุกข์หรือ ทำไมเป็นทุกข์ล่ะ...?"
เปี๊ยก :"เพราะหนูได้รับการกระทบกระทั่งทางใจ ทุกข์อันนี้ของหนูมากค่ะ" 
หลวงพ่อ :"การ รับกระทบกระทั่งทางอารมณ์ เพราะเรามีรูปเป็นสำคัญใช่ไหม...ทุกข์นะ การที่เราเป็นทุกข์ก็เพราะอาศัยมีรูปเป็นสำคัญนะ ถ้าเราไม่มีรูป มันก็ไม่ทุกข์ แล้วทุกคนเวลานี้ได้โปรดทราบว่า เวลานี้ทั้งพระก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดีกำลังควบคุมทุกท่านอยู่ ลองพิจารณาดูซิว่า เวลานี้มีแสงสีอะไรพิเศษเกิดขึ้นบ้างไหม...? มีไหม...?"
เปี๊ยก :"มีแสงเป็นลำขวาง"
  หลวงพ่อ :"เป็นลำขวาง ๆ เป็นแสง สีอะไร...?"
เปี๊ยก :"บอกไม่ถูก คล้ายเป็นสีเหลือง"
หลวงพ่อ :"สีเหลืองต้องนึกว่านั่นพระพุทธเจ้านะ ตั้งใจนมัสการท่าน นึกว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่ในลักษณะไหน...?"
เปี๊ยก :"ท่านเสด็จประทับอยู่ข้างหน้าค่ะ"
หลวงพ่อ :"ข้าง หน้าหรือ...ต้องเชื่อจิตนะ นี่เป็นมโนมยิทธิ คำว่า มโนมยิทธิ หมายความว่าจิตเป็นทิพย์ และมีฤทธิ์ทางใจ พระองค์ยืนอยู่หรือนั่งอยู่...?"
เปี๊ยก :"ยืนค่ะ"
หลวงพ่อ :"ยืนหรือ ทรงเครื่องสีอะไร...? เป็นสีเหลืองธรรมดาหรือว่าเป็นเครื่องประดับของเทวดา ทรงเครื่องแบบไหน...?"
เปี๊ยก :"บอกไม่ถูกค่ะ"
หลวงพ่อ :"อารมณ์จิตบอกว่าอย่างไร...?"
เปี๊ยก :"บอกว่าเป็นพระค่ะ"
หลวงพ่อ  :"เป็นรูปพระสีเหลืองใช่ไหม...อันนี้ถูก พระที่ยืนอยู่ที่เห็นเวลานี้เป็นประจำอยู่ก็คือ พระพุทธเจ้าที่ทรงพระนามว่า "กุกุกสันโธ" ท่านมาในลักษณะของรูปพระธรรมดา ท่านยืนอยู่นะ"
เปี๊ยก :"ค่ะ"
หลวงพ่อ :"ขอนมัสการท่าน ขอท่านโปรดกรุณานำเราไปสู่พระจุฬามณี จิตพุ่งไปคิดว่าเวลานี้เราเข้าสู่เขตพระจุฬามณี จิตน้อมไปตามนั้นไหม...?"
เปี๊ยก :"ค่ะ"
หลวงพ่อ :"คิด ว่าเข้าไปนะ เข้าไปดูว่าข้างหน้าที่เราจะเห็นข้างหน้า ตรงเข้าไปที่ประทับสูงแล้วก็จะมีแสงปรากฏนั่นคือเป็นที่ประทับของสมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าที่อยู่ข้างหน้า"
ต่อไปนี้ตัดขันธ์ ๕ ขอว่าพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระรูปพระโฉมเป็นอย่าง ไร ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้มีโอกาสได้นมัสการได้เป็นรูปชัด
ตอนนี้ตัด ขันธ์ ๕ ขึ้นชื่อว่าขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ร่างกายเป็นทุกข์ ที่เราต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ขัดขวางอยู่ตลอดเวลา ก็เพราะอาศัยขันธ์ ๕ เป็นสำคัญ ถ้าเราไม่มีขันธ์ ๕ เสียอย่างเดียว เราก็จะหาคนด่าไม่ได้ หาคนว่าไม่ได้ หาคนกลั่นแกล้งไม่ได้ ที่เรายังมีคนด่าเรา มีคนว่าเราได้ มีคนกลั่นแกล้งเราได้หรือว่ามีอาการป่วยไข้ไม่สบายได้ ก็เพราะอาศัยที่เรามีร่างกายเป็นสำคัญ
ฉะนั้นนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้น ไปเราจะไม่เห็นว่าร่างกายมีความหมาย ไม่เห็นว่าร่างกายมีความสำคัญ ถือว่าร่างกายเป็นศัตรูใหญ่สำหรับเรานะ จิตคิดอย่างนั้นไหม...?"
เปี๊ยก :"คิดค่ะ"
หลวงพ่อ :"เวลานี้มีแสงสว่างขึ้นไหม...?"
เปี๊ยก :"สว่างแต่ยังไม่เห็นเป็นภาพค่ะ"
หลวงพ่อ :"เอ้า ! ไม่เป็นไร สว่างขึ้นกว่าเก่าใช่ไหม จิตคิดดูซิว่าพระองค์เสด็จประทับอยู่ตรงไหน มีที่ประทับเฉพาะหรือว่ายืนอยู่"
เปี๊ยก :"มีที่ประทับเป็นที่สูง ๆ ค่ะ"
หลวงพ่อ :"สูง  ๆ หรือ จิตบอกว่าเป็นแท่นหรือเป็นเก้าอี้ เอาจิตเวลานี้บอก ตอบตามเรื่องของจิต"
เปี๊ยก : "เป็นแท่นค่ะ"
หลวงพ่อ :"เป็น แท่นเรอะ ตามความรู้สึกของจิตบอกว่าท่านเสด็จประทับนั่งขัดสมาธิหรือว่าห้อยพระบาท ทั้ง ๒ ข้าง ความจริงท่านยิ้มแล้วนะ น่าจะใสขึ้นแล้วนะ ใสขึ้นหน่อยไหม...?"
เปี๊ยก :"สว่างขึ้นค่ะ
หลวงพ่อ :"สว่างขึ้นแล้วนะ"
เปี๊ยก :"แล้วห้อยพระบาทค่ะ"
หลวงพ่อ :"เออ...ถูกต้อง ถูกต้องตามนั้น กราบท่านลูก"
เปี๊ยก :"ค่ะ"
หลวงพ่อ :"จำ ไว้นะ ถ้าทำจิตแบบนี้ไม่ช้าก็เห็นภาพ ปลงขันธ์ ๕ อีกสักครั้งหนึ่งซิ ตั้งใจปลงขันธ์ ๕ ว่า คนที่เกิดมาในโลกทั้งหมด แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อทรงขันธ์ ๕ อยู่ สมเด็จพระบรมครูก็ทรงเป็นอัจฉริยมนุษย์ เป็นผู้เลิศกว่ามนุษย์ทั้งหลาย เลิศกว่าเทวดาทั้งหมด เลิศกว่าพรหมทั้งหมด เพราะว่าทรงเป็นครูสอนทั้งคน ทั้งเทวดา และทั้งพรหม แต่ทว่าในที่สุดขันธ์ ๕ ของพระองค์ก็ต้องตกในสภาวะของธรรมดา คือ เมื่อมีความเกิดขึ้นแล้วก็แก่ไปทุกวัน
ในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระทรง ธรรม์ยังทรงชีวิตอยู่ สมเด็จพระบรมครูก็ยังทรงมีป่วยไข้ไม่สบายเหมือนกับเรานั่นคือขันธ์ ๕ นะ และในที่สุดขันธ์ ๕ ของพระองค์ก็ดับ คือเข้าสู่พระนิพพาน และเวลานี้เราก็มีสภาพเช่นเดียวกัน คือว่าองค์สมเด็จพระพิชิตมารพระองค์ทรงเป็นอัจฉริยมนุษย์ ในที่สุดขันธ์ ๕ ของพระองค์ก็ต้องพัง ร่างกายของเราก็มีสภาพเช่นเดียวกัน นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะไม่ขอยึดถือขันธ์ ๕ ที่เป็นสภาวะที่เป็นปัจจัยของความทุกข์ เราเลิกกันนะ
ความเป็นคนเราก็ไม่เอา
ความเป็นเทวดาเราก็ไม่ต้องการ
เป็นพรหมเราก็ไม่ต้องการ
ขึ้น ชื่อว่าวัตถุทั้งหลายที่เป็นทรัพย์สินทั้งหลายในโลกนี้ ทุกคนมักจะมัวเมาในชีวิตของตน คิดว่าร่างกายของตนจะไม่ตาย ร่างกายของตนจะไม่แก่ ในที่สุดร่างกายของตนก็ต้องตาย ต้องแก่ มีทรัพย์สินมากเท่าไรก็ไม่สามารถจะแบกไปชาติหน้าได้ ตายแล้วต่างคนต่างก็ปล่อยกันไป
ทีนี้ในเมื่อสภาพความจริงของโลกเป็น อย่างนี้ เราก็จะไม่ยึดถืออะไรทั้งหมด คือร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี วัตถุธาตุทั้งหมดก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะมีประโยชน์อยู่บ้าง เมื่อชีวิตของเรายังอาศัยร่างกายอยู่ เมื่อตายแล้วมันก็ไม่ตามไป เราขอตัดมันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่ต้องการมันนะ
ขอองค์สมเด็จพระ จอมไตรบรมศาสดาโปรดประทานพระมหากรุณาธิคุณให้ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นพระรูป พระโฉมของพระองค์ แม้ไม่ชัดก็ไม่เป็นไร ดูแสงสว่างขึ้นมากไหม...?"
เปี๊ยก :"ยังไม่มากค่ะ"
หลวงพ่อ :"มากกว่านิดไหม...?"
เปี๊ยก :"ค่ะ"
หลวงพ่อ :"ดี ขึ้นกว่าเก่านะ เอาละตอนนี้ก็ขอทูลขอพระโอวาทแล้ว ต้องเชื่อใจนะ เวลานี้จิตเป็นทิพย์มันถูกต้องทุกอย่างแล้ว ถามว่าข้าพระพุทธเจ้าจะปฏิบัติอย่างไรด้วยวิธีสั้น ๆ ให้ตรงกับอารมณ์เพื่อความเป็นอรหันต์ในชาตินี้เชื่อจิตที่รับสัมผัส จิตมีความรู้สึกบอกว่ายังไง...? บอกได้ไหม...?"
เปี๊ยก :"ยังไม่ได้ค่ะ"
หลวงพ่อ : "ยังไม่ได้นะ ก็ตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วลองนึกซิ ลองพิจารณาดูว่าเวลานี้นอกจากแสงสว่างของพระพุทธเจ้าแล้ว ยังมีแสงสว่างพิเศษอะไรบ้างไหม นอกจากแสงนั้น จุดอาจจะไม่เท่ากัน มีไหม...เอายังงี้ก็แล้วกัน ทางซ้ายเปี๊ยกน่ะ มีอะไรบ้าง...?"
เปี๊ยก :"มีแสงค่ะ"
หลวงพ่อ :"มีแสงหรือ...?"
เปี๊ยก :"ใจหนูมันยังสั่นอยู่ค่ะ"
หลวงพ่อ :"ใจสั่น กลัวเหรอ รวบรวมกำลังใจ"
เปี๊ยก :"แสงมากกว่าเมื้อกี้นี้ค่ะ"
หลวงพ่อ :"ทำ ใจให้สบายลูก คิดว่าเวลานี้เราพบพระพุทธเจ้าเป็นของยาก และแสงข้าง ๆ น่ะ ไม่ใช่แม่ศรีนะ เห็นแม่จันแม่ของเปี๊ยกเป็นแม่ระดับที่สองรองลงมา"
เปี๊ยก :"ท่านแม่ยืนใช่ไหมคะ...?"
หลวงพ่อ :"ใช่...ยืน"
เปี๊ยก :"ทางซ้ายค่ะ"
หลวงพ่อ : "ใช่ทางซ้ายมือ ลองนึกดูซิว่าแม่แต่งเครื่องแบบสีอะไร...?"
เปี๊ยก : "สีเขียวค่ะ"
หลวงพ่อ:"สี เขียวเหรอ บอกแม่ขอให้เห็นชัดกว่านี้ ยกมือไหว้ท่าน ตั้งใจแสดงความเคารพนะ เขาคุมมานานแล้วนี่ ขอให้เห็นเครื่องแต่งกายเอาจุดใดจุดหนึ่ง ส่วนล่างหรือส่วนบนก็ได้ อย่าเพิ่งเห็นทั่วตัว เห็นท่านไหม...?"
เปี๊ยก :"เห็นแต่มือค่ะ ท่านประทับยืนค่ะ"
หลวงพ่อ:"เห็น ยืนใช่ไหม ...มัวใช่ไหม...เอ้าดีใจตัดขันธ์ ๕ บอกแม่ช่วย ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วย ขอบารมีท่านแม่ช่วย ขอให้มีอารมณ์จิตแจ่มใส ขอให้มีโอกาสได้ชัด ๆ ยิ่งกว่านี้ ทำใจให้สบาย อย่าให้ใจมันสั่น ทำอารมณ์ให้เป็นสุข ถือว่าแดนนี้เป็นแดนของความสุข เราถือว่า การขึ้นมาได้แค่นี้ถือว่าเราเป็นผู้ชนะ เห็นแสงสว่างขึ้นไหม...?"
เปี๊ยก :"ดีขึ้นแล้วค่ะ"
หลวงพ่อ :"เห็นแล้วลองบอกลักษณะรูปร่างของแม่ซิ"
เปี๊ยก : "ท่านผอมค่ะ องค์ท่านค่อนข้างสูงค่ะ"
หลวงพ่อ :"ค่อนข้างสูง อย่างนี้เขาไม่เรียกผอม ผอมมันก็เป็นเปรต เพรียวใช่ไหม...?"
เปี๊ยก  :"ค่ะ"
หลวงพ่อ :"อย่าไปเรียกผอมซี ค่อนข้างสูง พอมองเห็นใช่ไหมนี่ เห็นทั้งองค์ใช่ไหม...?"
เปี๊ยก :"เห็นผ้านุ่งค่ะ ท่านยืนหันหน้าเอียงไปทางหลวงพ่อ"
หลวงพ่อ :"ใช่ ๆ ยืนเฉียงนิด ๆ ดูตรงรองเท้าซิสวมอะไร...? มีเครื่องประดับข้อเท้าหรือเปล่า ? "
เปี๊ยก  :"ข้อเท้ามีกำไรค่ะ"
หลวงพ่อ :"กำไลทำด้วยแก้วหรือทองคำ...?"
เปี๊ยก :"ทองค่ะ"
หลวงพ่อ :"เป็นทองเหรอ ทองแท้ ๆ หรือผสมอะไรบ้าง...?"
เปี๊ยก :"ทองเหลืองมากนะคะ วาว นิด ๆ แต่ไม่ค่อยใสค่ะ"
หลวงพ่อ :"ถามแม่ซิ กำไลเท้าเป็นทองหรือเป็นแก้ว ถามเลย ถ้าจิตบอกยังไง ก็ตอบมา"
เปี๊ยก :"เป็นแก้วแล้วค่ะ"
หลวงพ่อ :"เป็นแก้วหรือใช่ ถูกต้อง ถามเขาตามนั้นนะ ต้องรักษาอารมณ์ นี่เกร็งเกินไป"
เปี๊ยก :"ใจมันสั่นค่ะ"
หลวงพ่อ :"ใจสั่นนี่มันเกร็งเกินไป ทีหลังทำใจสบาย ๆ นะ ไอ้แกไฟมันคอยจะดับอยู่เรื่อยนี่"
เปี๊ยก :"เมื่อกี้หลวงพ่อมาใจมันสั่นค่ะ"
หลวงพ่อ :"ที หลังทำใจสบาย ๆ ซิ พ่อไม่ได้มาฆ่าใช่ไหม พ่อมาช่วย ต้องนึกอย่างนั้นนะ ขอทุกท่านที่ไม่สามารถจะเห็นเองได้ ก็วาดภาพตามนั้น คิดว่าเราอยู่ในสถานที่นี้ ถ้าบังเอิญคนใดคนหนึ่งคิดว่าตนเองอยู่ในสถานที่ใดก็ขอให้เชื่อ เพราะวันนี้พระ และเทวดาพรหมคุมเต็มที่ ดูขึ้นมาตั้งแต่ผ้าของแม่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีอะไรหรือยัง...?"บอกว่า อยากจะต้องการเห็นชุดใหญ่ ให้แม่แต่งชุดใหญ่"
เปี๊ยก :"สีเริ่มสว่างขึ้นแล้วค่ะ"
หลวงพ่อ :"ชัดขึ้นไหมลูก...?"
เปี๊ยก :"มันออกทอง ๆ แต่ไม่ใช่สีทองเข้มนะคะ"
หลวงพ่อ :"ออกทอง ๆ นะ ทองเลื่อม ๆ ไช่ไหม...?"
เปี๊ยก :"ค่ะ"
หลวงพ่อ :"เอ้อดูซิ ลองดูไปตามอย่างที่แป๊วเขาดูซิ ดูขึ้นเรื่อย ๆ ลักษณะผ้านุ่งลักษณะไหน...?"
เปี๊ยก :"ผ้าเป็นชุดไทยค่ะ มีเข็มขัดค่ะ"
หลวงพ่อ :"เข็มขัดหนังหรือเข็มขัดเงิน...?"
เปี๊ยก :"เข็มขัดท่านเป็นทองวาว ๆ ค่ะ"
หลวงพ่อ :"เป็นทองวาว ๆ เฉย ๆ หรือว่าเป็นอะไร ...?" ลองถามแม่เขาดูซิ"
เปี๊ยก :"เป็นแก้วผสมค่ะ"
หลวงพ่อ :"แพรวพราวนะ"
เปี๊ยก :"แต่ยังไม่มากค่ะ เห็นแต่ว่าเริ่มใสขึ้นค่ะ"
หลวงพ่อ :"เอ้อ จิตเริ่มดีขึ้นแล้ว จิตตกใจมากเกินไป แล้วดูเสื้อซิ แขนสั้นหรือแขนยาว...? เอาจิตถาม มโนมยิทธิแปลว่ามีฤทธิ์ทางใจ"
เปี๊ยก :"แขนยาวค่ะ"
หลวงพ่อ :"แขนยาวเหรอ นอกจากแม่จันแล้ว ข้างหลังมีอะไรไหม...? มีความรู้สึกบอกว่ามีใครยืนอยู่สักคนไหม...?"
เปี๊ยก :"มีแสงแต่ว่าไม่ทราบค่ะ"
หลวงพ่อ :"มีแสง ถามว่าแม่ศรีใช่ไหม...? แกจะเขกหัวเอ็งแล้วนะน่ะ นี่เขาแม่ใหญ่ ถามแม่จัน แม่ศรีใช่ไหม...?"
เปี๊ยก :"ใช่ค่ะ ยืนถัดต่อไปค่ะ"
หลวงพ่อ :"ยืน ยิ้มอยู่นานแล้วแกจะเขกหัวเอ็งแล้วเมื่อกี้นี้เขาบอกว่าไม่รู้หรอ สองคนแต่งตัวคล้ายคลึงกันไหม...?" ขอบารมีท่านแม่ทั้ง ๒ องค์ ขอให้เห็นชัดกว่านี้ เห็นดีขึ้นไหม...?"
เปี๊ยก :"สว่างขึ้นเยอะเลยค่ะ"
หลวงพ่อ :"ทีหลังคุมอารมณ์สมาธิให้ดีนะ ตั้งใจปลงขันธ์ ๕ อีก ลองปลงซิมีความรู้สึกในร่างกายเป็นอย่างไร...?"
เปี๊ยก :"คิดว่าหนูไม่ห่วงใยในอะไรทั้งหมดแล้วต่อไปนี้"
หลวงพ่อ :"งั้นเหรอ มาอยู่บนนี้ อารมณ์ใจสบายดีกว่ามนุษย์หรือสบายเท่ามนุษย์"
เปี๊ยก :"ใจสบายกว่าค่ะ"
หลวงพ่อ :"ดี กว่านะ ถ้าอยู่กับแม่ดีกว่าอยู่มนุษย์ในโลกนะตัดสินใจว่าเราเลิกกัน ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไอ้กฎของกรรมใด ๆ ที่ทำให้เราเป็นทุกข์ เราถือว่านั่นเป็นกฎของอกุศล กรรมที่เราทำมาก่อน เราจะใช้หนี้มัน เราจะไม่เดือดร้อนต่ออารมณ์ใดทั้งหมดที่มากระทบกระทั่งนะ แล้ววางอารมณ์เสีย แล้วก็ตอนนี้สว่างขึ้นไหม...?"
เปี๊ยก :"สว่าง มีความรู้สึกว่าท่านแม่ศรียิ้ม หันหน้ามาทางหนู"
หลวงพ่อ :"เอ้อ เขายิ้มตลอดเวลา ท่านแม่จันล่ะยิ้มหรือเปล่า...? แม่ศรีแกยิ้มมานานแล้ว แกหลอกเอ็งน่ะ เอ้อถ้างั้นละก็นมัสการพระพุทธเจ้านะ ขอให้ท่านแม่ทั้งสองพาไปหาท่านปู่ ท่านย่า เดี๋ยวชนปู่ย่าตายนะนี่ เห็นแสงสว่างข้างหน้าไหม...?"
เปี๊ยก :"สว่างค่ะ"
หลวงพ่อ :"สว่าง ๒ จุดใช่ไหม"
เปี๊ยก :"เป็นทางยาว ๆ ค่ะ"
หลวงพ่อ :"เข้า ไปให้จุดว่าท่านปู่ ท่านย่าประทับอยู่ตรงไหน ขอให้ปรากฏพระพุทธรูปโฉมให้ชัดหรือไม่งั้นขอให้แสงสว่างขึ้น ถามแม่เขาก็แล้วกัน ถามซิว่าถึงหรือยัง...?"
เปี๊ยก :"ค่ะ ถึงแล้วค่ะ"
หลวงพ่อ :"ถึงแล้วเหรอ ท่านปู่ท่านย่านั่งตรงไหน ถาม ๒ แม่เลย อย่าไปถามแม่เดียว จิตบอกว่าอย่างไร...?"
เปี๊ยก :"จิตบอกว่าท่านปู่นั่งอยู่บนแท่น"
หลวงพ่อ :"บนแท่น ท่านนั่งยังไง...?"
เปี๊ยก :"นั่งห้อยขาค่ะ"
หลวงพ่อ:"ห้อยกี่ข้าง...?"
เปี๊ยก :"ห้อยข้างเดียวค่ะ"
หลวงพ่อ :"แล้วท่านย่าล่ะ...?"
เปี๊ยก :"ท่านย่าอยู่ทางซ้าย"
หลวงพ่อ :"ทางซ้ายมือของท่านปู่ใช่ไหม...?"
เปี๊ยก :"ใช่ค่ะ"
หลวงพ่อ :"ตั้งใจ ตัดขันธ์ ๕ ใหม่ ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วยบารมีท่านปู่ท่านย่าช่วย บารมีท่านแม่ช่วย แล้วก็บุญบารมีใด ๆ ที่เราบำเพ็ญกุศลมาแล้วนับเป็นเวลา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ขอบุญบารมีทั้งหมดจงรวมตัวให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเห็นท่านปู่ท่านย่าท่านแม่ ให้ชัดเจนแจ่มใส ดีขึ้นไหม...? จิตชักบอกว่าคล่องตัวขึ้นไหม...?"
เปี๊ยก :"จิตนิ่งกว่าเมื่อกี้นี้ค่ะ"
หลวงพ่อ :"จิตนิ่งเหรอ ความรู้สึกท่านปู่แต่งตัวอย่างไร...? ท่านแจ่มใสขึ้นไหม...? "
เปี๊ยก :"ท่านแต่งเป็นสีใส ๆ คล้าย ๆ สีทองค่ะ"
หลวงพ่อ :"เอ้อ..ถูก ท่านย่าล่ะ เอาจิตบอก รวบรวมกำลังใจให้เข้มแข็ง"
เปี๊ยก :"ท่านย่าก็แต่งสีทองละเอียด ๆ ค่ะ"
หลวงพ่อ :"เอ้อ...ดี แล้ว ทำใจให้สบาย ๆ นะ นึกถอยหลัง คำว่าถอยหลัง คิดว่ามองดูร่างกายขันธ์ ๕ ข้างล่างเราจะทิ้งมันนะ มันจะตายเมื่อไร่ก็เชิญตาย เราไม่เสียดาย อยู่บนนี้เราสุขกว่าใช่ไหม...? ในเมื่อเราอยู่บนนี้เราสุขกว่า และถ้าเรามีโอกาสที่จะอยู่ได้ ทำไม เราจำจะต้องไปห่วงร่างกาย แต่ทว่าถ้าร่างกายมันยังไม่ตาย ก็ต้องเลี้ยงดูมันเป็นธรรมดานะ เรียกว่าเราใช้หนี้ชั่วคราว ระยะไม่กี่ปีเราก็หมดหนี้แล้ว อย่างน้อยที่สุดเราก็มีโอกาสมาอยู่กับแม่ และท่านปู่ ท่านย่า ทีนี้กราบท่านซิ เข้าไปกราบท่าน ทำความเคารพท่าน นี่ไหว้แม่เขาหรือยังนี่...?"
เปี๊ยก :"กราบแล้วค่ะ หนูกราบที่เท้าค่ะ"
หลวงพ่อ :"เออ กราบท่านปู่ ท่านย่าหรือยัง...?"
เปี๊ยก :"ค่ะ กราบแล้วค่ะ"
หลวงพ่อ :"กราบท่านปู่ ดูความรู้สึกว่าท่านปู่ยิ้มหรือว่า ท่านเอามือมาทำอะไร ? กราบตักท่านซิ เราเป็นหลานนี่"
เปี๊ยก :"ท่านยิ้มค่ะ"
หลวงพ่อ :"เข้าไปหาท่านย่า ความรู้สึกบอกว่าไง...?"
เปี๊ยก :"ความรู้สึกว่าท่านเคยสอนหนูค่ะ"
หลวงพ่อ :"เออ...ว่าไงเหรอ"
เปี๊ยก :"ท่านเคยเตือนหนูว่ายังแย่อยู่มาก"
หลวงพ่อ :"เออ วันนี้ทำใจซิลูกนะ ทำใจให้เข้มแข็ง คำว่ากลัวอะไร ก็เลิกนึกถึงมันนะ นี่เพียงแค่หลวงพ่อเดินเข้ามา แกก็ลดวูบไปแล้ว นึกถึงว่าหลวงพ่อนะต้องการให้ลูกทุกคนได้ดี ไม่ใช่ว่าจะไปฆ่าลูกนะ ทำใจให้สบาย นึกถึงว่ายิ่งอยู่ใกล้ยิ่งดี เวลานี้ตัดสินใจทำใจให้เป็นสุข เราถือว่าเราอยู่ในแดนที่เป็นสุข และก็ลองถามแม่ซิว่าวิมานของเปี๊ยกเองที่นิพพานน่ะมีไหม ท่านว่าไง...?"
เปี๊ยก :"ความรู้สึกบอกไม่มีค่ะ"
หลวงพ่อ :"ยังไม่มี นี่แสดงว่าสมาธิมันโคลงเคลงมาก นี่เป็นอันว่าเวลานี้ใจมันยังสั่น ยังสั่นอยู่ไหม...?"
เปี๊ยก :"สั่นไม่มากเท่าเมื่อกี้นี้องค์ท่านปู่ท่านย่าสว่างมากเลยค่ะ"
หลวงพ่อ :"เออ งั้นเหรอ ถ้างั้นดูปู่ย่าดีกว่า สว่างขึ้นแล้วเหรอ เห็นตัวท่านไหม...?"
เปี๊ยก :"เห็นสว่างทั่วไปหมดเลยค่ะ"
หลวงพ่อ :"ใช่ ซี หากว่าท่านเปล่งรัศมี ถ้าเราจะสามารถเห็นได้ มันสว่างเลยสบายตา ที่เราจะมองไปได้ เพราะบารมีท่านมากนะ พอเห็นพระองค์ท่านไหมตอนนี้...?"
เปี๊ยก :"เห็นค่ะ ท่านสว่างแล้วก็ยิ้มค่ะ"
หลวงพ่อ :"ใช่ ๆ รักษากำลังใจนะ ทรงกำลังใจไว้ตอนนี้ เวลานี้เอากันแค่นี้นะ เอากันแค่ท่านปู่ท่านย่า ท่านแม่ทั้งสองนะ เวลานี้พูดถึงแม่ศรี แล้วก็ท่านปู่พระอินทร์ แล้วก็ชายาของท่าน และแม่จัน ถ้าบังเอิญใครคนใดคนหนึ่งจะไปเห็นภาพท่านนอกจากสถานที่นี้นะ ต้องถือว่าใช้ได้ เพราะเทวดานี่ใช้รัศมีกายแทนตัว หรือบางทีท่านนั่งอยู่ที่เดียว ท่านอาจจะสงเคราะห์คราวเดียว คนได้ทั้งโลก"

(
จบคำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ)

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘