พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒ หน้า 376-380

                                                            หน้าที่ ๓๗๖

                                                ๒. ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๙
                                                เรื่องพระฉันนะ
                [๓๙๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตพระนคร
โกสัมพี. ครั้งนั้น มหาอำมาตย์อุปัฏฐากของท่านพระฉันนะสร้างวิหารถวายท่านพระฉันนะ. แต่
ท่านพระฉันนะสั่งให้มุงให้โบกฉาบวิหารที่ทำสำเร็จแล้วบ่อยครั้ง. วิหารหนักเกินไป ได้ทะลาย
ลงมา. จึงท่านพระฉันนะมัวสาละวนเก็บรวบรวมหญ้าและไม้ ได้ทำนาข้าวเหนียวของพราหมณ์
คนหนึ่งให้เสียหาย. พราหมณ์นั้นจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระคุณเจ้าทั้งหลายจึงได้
ทำนาข้าวเหนียวของข้าพเจ้าให้เสียหาย? ภิกษุทั้งหลายได้ยินพราหมณ์นั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพน-
ทะนาอยู่ บรรดาผู้ที่มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระฉันนะจึงได้ให้มุง
ให้โบกฉาบวิหารที่สำเร็จแล้วบ่อยครั้งเล่า? วิหารหนักเกินไป ได้ทะลายลงมา. แล้วกราบทูลเนื้อ
ความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค-.
                                                                ทรงสอบถาม
                พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระฉันนะว่า ดูกรฉันนะ ข่าวว่าเธอให้มุงให้โบกฉาบ
วิหารที่สำเร็จแล้วบ่อยครั้ง วิหารหนักเกินไปได้ทะลายลงมา จริงหรือ?
                ท่านพระฉันนะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
                                                                ทรงติเตียน
                พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉน เธอจึงได้ให้มุงให้โบกฉาบ
วิหารที่ทำเสร็จแล้วบ่อยครั้งเล่า? วิหารหนักเกินไปก็ทะลายลง การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็น
ไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใส
แล้ว-.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-


                                                            หน้าที่ ๓๗๗

                                                                พระบัญญัติ
                ๖๘. ๙. อนึ่ง ภิกษุผู้ให้ทำซึ่งวิหารใหญ่ จะวางเช็ดหน้าเพียงไรแต่กรอบ
แห่งประตู จะบริกรรมช่องหน้าต่าง พึงยืนในที่ปราศจากของสดเขียว อำนวยให้
พอกได้ ๒-๓ ชั้น ถ้าเธออำนวยยิ่งกว่านั้น แม้ยืนในที่ปราศจากของสดเขียว ก็เป็น
ปาจิตตีย์.
                                                เรื่องพระฉันนะ จบ.
                                                _______________
                                                                สิกขาบทวิภังค์
                [๓๙๘] วิหารที่ชื่อว่า ใหญ่ ท่านว่ามีเจ้าของ.
                ที่ชื่อว่า วิหาร ได้แก่ ตึกที่เขาโบกฉาบปูนไว้เฉพาะภายในก็ตาม ที่เขาโบกฉาบปูนไว้
เฉพาะภายนอกก็ตาม หรือที่เขาโบกฉาบปูนไว้ทั้งภายในทั้งภายนอกก็ตาม.
                บทว่า ผู้ให้ทำ คือ สร้างเองก็ดี ให้ผู้อื่นสร้างก็ดี.
                บทว่า เพียงไรแต่กรอบแห่งประตู คือ ชั่วหัตถบาสโดยรอบแห่งบานประตู.
                บทว่า จะวางเช็ดหน้า คือ จะวางประตู.
                บทว่า จะบริกรรมช่องหน้าต่าง คือ จะบริกรรมหน้าต่างให้มีสีเขียว สีดำ สียางไม้
ลายดอกไม้ เถาวัลย์ ฟันมังกร ดอกจอก.
                คำว่า พึงยืนในที่ปราศจากของสดเขียว อำนวยให้พอกได้ ๒-๓ ชั้น ความว่า
ที่ชื่อว่า ของสดเขียว ได้แก่ บุพพัณณชาติ อปรัณณชาติ.
                ถ้าภิกษุยืนสั่งการอยู่ในที่มีของสดเขียว ต้องอาบัติทุกกฏ.
                ให้มุงตามทางแถว พึงมุงเอง ๒ แถวๆ ที่ ๓ สั่งให้มุงแล้วพึงหลีกไป.
                ให้มุงเป็นชั้น พึงมุงเอง ๒ ชั้นๆ ที่  ๓ สั่งให้มุงแล้วพึงหลีกไป.
                [๓๙๙] คำว่า ถ้าเธออำนวยให้ยิ่งกว่านั้น แม้ยืนในที่ปราศจากของสดเขียว
ความว่า มุงด้วยอิฐ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ แผ่นอิฐ.
                มุงด้วยแผ่นศิลา ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ แผ่นศิลา.
                โบกฉาบด้วยปูนขาว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ ก้อนปูนขาว.


                                                            หน้าที่ ๓๗๘

                มุงด้วยหญ้า ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ กำหญ้า.
                มุงด้วยใบไม้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ ใบไม้.
                                                                บทภาชนีย์
                                                                ติกะปาจิตตีย์
                [๔๐๐] เกิน ๒-๓ ชั้น ภิกษุสำคัญว่าเกิน อำนวยการ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                เกิน ๒-๓ ชั้น ภิกษุสงสัย อำนวยการ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                เกิน ๒-๓ ชั้น ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ถึง อำนวยการ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                                                                ทุกกฏ
                หย่อนกว่า ๒-๓ ชั้น ภิกษุสำคัญว่าเกิน ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
                หย่อนกว่า ๒-๓ ชั้น ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
                หย่อนกว่า ๒-๓ ชั้น ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ถึง ... ไม่ต้องอาบัติ.
                                                                อนาปัตติวาร
                [๔๐๑] ภิกษุมุง ๒-๓ ชั้น ๑ ภิกษุมุงหย่อนกว่า ๒-๓ ชั้น ๑ ภิกษุสร้างถ้ำ ๑
คูหา ๑ กุฎีมุงหญ้า ๑ ภิกษุสร้างกุฎีเพื่อภิกษุอื่น ๑ ภิกษุสร้างด้วยทรัพย์ของตน ๑ ยกอาคาร
อันเป็นที่อยู่เสีย ภิกษุสร้างทุกอย่างไม่ต้องอาบัติ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑
ไม่ต้องอาบัติแล.
                                                ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.
                                                _______________


                                                            หน้าที่ ๓๗๙

                                                ๒. ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๑๐
                                                เรื่องภิกษุชาวรัฐอาฬวี
                [๔๐๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ อัคคาฬวเจดีย์ เขตรัฐ
อาฬวี. ครั้งนั้นพวกภิกษุชาวรัฐอาฬวี กำลังกระทำนวกรรม รู้อยู่ว่าน้ำมีตัวสัตว์ จึงรดเองบ้าง
ให้คนอื่นรดบ้าง ซึ่งหญ้าบ้าง ดินบ้าง. บรรดาภิกษุที่มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉน พวกภิกษุชาวรัฐอาฬวีรู้อยู่ว่าน้ำมีตัวสัตว์ จึงได้รดเองบ้าง ให้คนอื่นรดบ้าง ซึ่งหญ้าบ้าง
ดินบ้างเล่า? แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
                                                                ทรงสอบถาม
                พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุชาวรัฐอาฬวีว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอรู้อยู่
ว่าน้ำมีตัวสัตว์ รดเองบ้าง ให้คนอื่นรดบ้าง ซึ่งหญ้าบ้าง ดินบ้าง จริงหรือ?
                พวกภิกษุชาวรัฐอาฬวีทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
                                                                ทรงติเตียน
                พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย พวกเธอรู้อยู่ว่าน้ำมีตัวสัตว์
ไฉน จึงได้รดเองบ้าง ให้คนอื่นรดบ้าง ซึ่งหญ้าบ้าง ดินบ้าง?  การกระทำของพวกเธอนั่น
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่
เลื่อมใสแล้ว ...
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
                                                                พระบัญญัติ
                ๖๙. ๑๐. อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ว่าน้ำมีตัวสัตว์ รดก็ดี ให้รดก็ดี ซึ่งหญ้าก็ดี
ดินก็ดี, เป็นปาจิตตีย์.
                                                เรื่องภิกษุชาวรัฐอาฬวี จบ.
                                                ____________


                                                            หน้าที่ ๓๘๐

                                                                สิกขาบทวิภังค์
                [๔๐๓] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
                บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุ
ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
                ที่ชื่อว่า รู้อยู่ ได้แก่ รู้เอง หรือ คนอื่นบอกเธอ.
                [๔๐๔] บทว่า รด คือ รดเอง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                บทว่า ให้รด คือ ใช้คนอื่นรด ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                ใช้ครั้งเดียว แต่เขารดหลายครั้ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                                                                บทภาชนีย์
                น้ำมีตัวสัตว์ ภิกษุสำคัญว่าน้ำมีตัวสัตว์ รดเองก็ดี ให้คนอื่นรดก็ดี ซึ่งหญ้าก็ดี ซึ่งดิน
ก็ดี. ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                น้ำมีตัวสัตว์ ภิกษุสงสัย รดเองก็ดี ให้คนอื่นรดก็ดี ซึ่งหญ้าก็ดี ซึ่งดินก็ดี, ต้อง-
อาบัติทุกกฏ.
                น้ำมีตัวสัตว์ ภิกษุสำคัญว่าไม่มีตัวสัตว์ รดเองก็ดี ให้คนอื่นรดก็ดี ซึ่งหญ้าก็ดี ซึ่งดิน
ก็ดี, ไม่ต้องอาบัติ.
                น้ำไม่มีตัวสัตว์ ภิกษุสำคัญว่ามีตัวสัตว์ ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
                น้ำไม่มีตัวสัตว์ ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
                น้ำไม่มีตัวสัตว์ ภิกษุสำคัญว่าไม่มีตัวสัตว์ ... ไม่ต้องอาบัติ.
                                                                อนาปัตติวาร
                [๔๐๕] ภิกษุไม่แกล้ง ๑ ภิกษุไม่มีสติ ๑ ภิกษุไม่รู้ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุ
อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
                                                ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ.
                                                ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๒ จบ.
                                                _______________

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘