พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒ หน้า 351-355

                                                            หน้าที่ ๓๕๑

                                                กรรมวาจาลงอัญญวาทกกรรม
                ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบ ด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
                ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. ภิกษุฉันนะนี้ถูกไต่สวนด้วยอาบัติในท่าม-
กลางสงฆ์ กลับเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อน. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว.
สงฆ์พึงยกอัญญวาทกกรรมแก่ภิกษุฉันนะ นี่เป็นญัตติ.
                ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. ภิกษุฉันนะนี้ถูกไต่สวนด้วยอาบัติในท่าม
กลางสงฆ์ กลับเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อน. สงฆ์ยกอัญญวาทกกรรมแก่ภิกษุฉันนะ.
การยกอัญญวาทกกรรมแก่ภิกษุฉันนะ ชอบแก่ท่านผู้ใด, ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง. ไม่
ชอบแก่ท่านผู้ใด, ท่านผู้นั้นพึงพูด.
                อัญญวาทกกรรมอันสงฆ์ยกแล้วแก่ภิกษุฉันนะ ชอบแก่สงฆ์, เหตุนั้นจึงนิ่ง,
ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
                                                ทรงบัญญัติสิกขาบท
                [๓๕๙] พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระฉันนะ โดยอเนกปริยายดั่งนี้แล้ว ตรัสโทษ
แห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ... แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ...
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
                                                                พระบัญญัติ
                ๖๑. ๒. ก. เป็นปาจิตตีย์ในเพราะความเป็นผู้กล่าวคำอื่น.
                ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการ
ฉะนี้.
                                                เรื่องพระฉันนะ จบ.
                                                _______________
                                                เรื่องพระฉันนะ
                [๓๖๐] อนึ่ง โดยสมัยนั้นแล ท่านพระฉันนะถูกไต่สวนเพราะต้องอาบัติในท่ามกลาง
สงฆ์ คิดว่า เมื่อเราเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อนจักต้องอาบัติ จึงนิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบาก.
บรรดาภิกษุผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระฉันนะถูกไต่สวน


                                                            หน้าที่ ๓๕๒

เพราะต้องอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ จึงนิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบากเล่า? แล้วกราบทูลเนื้อความนั้น
แด่พระผู้มีพระภาค-.
                                                                ทรงสอบถาม
                พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระฉันนะว่า ดูกรฉันนะ ข่าวว่า เธอเมื่อถูกไต่สวน
เพราะต้องอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ ได้นิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบาก จริงหรือ?
                ท่านพระฉันนะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
                                                                ทรงติเตียน
                พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉน เธอเมื่อถูกไต่สวนเพราะ
ต้องอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ จึงได้นิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบาก? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไป
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ... ครั้นทรงติเตียนแล้ว ทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะ-
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ากระนั้นสงฆ์จงยกวิเหสกกรรมแก่ภิกษุฉันนะ.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงยกวิเหสกกรรมอย่างนี้:-
                                                กรรมวาจาลงวิเหสกกรรม
                ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจาว่าดังนี้:-
                ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. ภิกษุฉันนะนี้ถูกไต่สวนด้วยอาบัติในท่าม
กลางสงฆ์ ได้นิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบาก. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว. สงฆ์
พึงยกวิเหสกกรรมแก่ภิกษุฉันนะ นี่เป็นญัตติ.
                ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. ภิกษุฉันนะนี้ถูกไต่สวนด้วยอาบัติในท่าม
กลางสงฆ์ ได้นิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบาก. สงฆ์ยกวิเหสกกรรมแก่ภิกษุฉันนะ. การยก
วิเหสกกรรมแก่ภิกษุฉันนะ ชอบแก่ท่านผู้ใด, ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง. ไม่ชอบแก่ท่าน
ผู้ใด, ท่านผู้นั้นพึงพูด.
                วิเหสกกรรมอันสงฆ์ยกแล้วแก่ภิกษุฉันนะ ชอบแก่สงฆ์, เหตุนั้นจึงนิ่ง,
ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
                [๓๖๑] พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระฉันนะ โดยอเนกปริยายดั่งนี้แล้ว ตรัสโทษ
แห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ...
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-


                                                            หน้าที่ ๓๕๓

                                                                พระอนุบัญญัติ
                ๖๑. ๒. ข. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้กล่าวคำอื่น ในเพราะความ
เป็นผู้ให้ลำบาก.
                                                เรื่องพระฉันนะ จบ.
                                                                สิกขาบทวิภังค์
                [๓๖๒] ที่ชื่อว่า เป็นผู้กล่าวคำอื่น คือ ภิกษุเมื่อถูกไต่สวนในเพราะวัตถุหรืออาบัติ
ณ ท่ามกลางสงฆ์ ไม่ปรารถนาจะบอกเรื่องนั้น ไม่ปรารถนาจะเปิดเผยเรื่องนั้น จึงเอาเรื่องอื่น
มาพูดกลบเกลื่อนว่า ใครต้อง ต้องอะไร ต้องในเพราะเรื่องอะไร ต้องอย่างไร ท่านทั้งหลาย
ว่าใคร ว่าเรื่องอะไร, ดังนี้ นี่ชื่อว่า เป็นผู้กล่าวคำอื่น.
                [๓๖๓] ที่ชื่อว่า เป็นผู้ให้ลำบาก คือ ภิกษุเมื่อถูกไต่สวนในเพราะวัตถุหรืออาบัติ
ณ ท่ามกลางสงฆ์ ไม่ปรารถนาจะบอกเรื่องนั้น ไม่ปรารถนาจะเปิดเผยเรื่องนั้น จึงนิ่งเสีย
ทำให้สงฆ์ลำบาก นี่ชื่อว่า เป็นผู้ให้ลำบาก.
                                                                บทภาชนีย์
                [๓๖๔] เมื่อสงฆ์ยังไม่ยกอัญญวาทกกรรม ภิกษุถูกไต่สวนในเพราะวัตถุหรืออาบัติ ณ
ท่ามกลางสงฆ์ ไม่ปรารถนาจะบอกเรื่องนั้น ไม่ปรารถนาจะเปิดเผยเรื่องนั้น จึงเอาเรื่องอื่นมา
พูดกลบเกลื่อนว่า ใครต้อง ต้องอะไร ต้องในเพราะเรื่องอะไร ต้องอย่างไร ท่านทั้งหลายว่า
ใคร ว่าเรื่องอะไร ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
                เมื่อสงฆ์ยังไม่ยกวิเหสกกรรม ภิกษุถูกไต่สวนในเพราะวัตถุหรืออาบัติ ณ ท่ามกลางสงฆ์
ไม่ปรารถนาจะบอกเรื่องนั้น ไม่ปรารถนาจะเปิดเผยเรื่องนั้น จึงนิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบาก
ต้องอาบัติทุกกฏ.
                [๓๖๕] เมื่อสงฆ์ยกอัญญวาทกกรรมแล้ว ภิกษุถูกไต่สวนในเพราะวัตถุหรืออาบัติ ณ
ท่ามกลางสงฆ์ ไม่ปรารถนาจะบอกเรื่องนั้น ไม่ปรารถนาจะเปิดเผยเรื่องนั้น จึงเอาเรื่องอื่นมา
พูดกลบเกลื่อนว่า ใครต้อง ... ว่าเรื่องอะไร ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.


                                                            หน้าที่ ๓๕๔

                เมื่อสงฆ์ยกวิเหสกกรรมแล้ว ภิกษุถูกไต่สวนในเพราะวัตถุหรืออาบัติ ณ ท่ามกลางสงฆ์
ไม่ปรารถนาจะบอกเรื่องนั้น ไม่ปรารถนาจะเปิดเผยเรื่องนั้น จึงนิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบาก
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                                                                ติกะปาจิตตีย์
                [๓๖๖] กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ในเพราะ
ความเป็นผู้กล่าวคำอื่น ในเพราะความเป็นผู้ให้ลำบาก.
                กรรมเป็นธรรม ภิกษุสงสัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้กล่าวคำอื่น ใน
เพราะความเป็นผู้ให้ลำบาก.
                กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะความ
เป็นผู้กล่าวคำอื่น ในเพราะความเป็นผู้ให้ลำบาก.
                                                                ติกะทุกกฏ
                กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ-.
                กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ-.
                กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ-.
                                                                อนาปัตติวาร
                [๓๖๗] ภิกษุไม่เข้าใจจึงถาม ๑ ภิกษุอาพาธให้การไม่ได้ ๑ ภิกษุไม่ให้การด้วยคิดว่า
ความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง หรือความวิวาทจักมีแก่สงฆ์ ๑ ภิกษุไม่ให้การ
ด้วยคิดว่า จักเป็นสังฆเภท หรือสังฆราชี ๑ ภิกษุไม่ให้การด้วยคิดว่า สงฆ์จักทำกรรมโดยไม่-
ชอบธรรม โดยเป็นวรรค หรือจักไม่ทำกรรมแก่ภิกษุผู้ควรแก่กรรม ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุ
อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
                                                ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.
                                                __________________


                                                            หน้าที่ ๓๕๕

                                                ๒. ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๓
                                                เรื่องพระทัพพมัลลบุตร
                [๓๖๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน อันเป็น
สถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์. ครั้งนั้นท่านพระทัพพมัลลบุตรจัดแจง
เสนาสนะและแจกภัตรแก่สงฆ์. สมัยนั้น พระเมตติยะและพระภุมมชกะเป็นผู้บวชใหม่ และมี
บุญน้อย. เสนาสนะของสงฆ์ที่เลวและอาหารที่ทรามย่อมตกมาถึงเธอทั้งสอง. เธอทั้งสองจึงให้
ภิกษุทั้งหลายเพ่งโทษท่านพระทัพพมัลลบุตรว่า จัดเสนาสนะตามความพอใจ และแจกภัตรตาม
ความพอใจ. บรรดาภิกษุผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระเมตติยะ
และพระภุมมชกะจึงได้ให้ภิกษุทั้งหลายโพนทะนาท่านพระทัพพมัลลบุตรเล่า? แล้วกราบทูลเนื้อ
ความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
                                                                ทรงสอบถาม
                ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ... ทรงสอบถามพระเมตติยะและพระภุมมชกะว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอให้ภิกษุทั้งหลายโพนทะนาภิกษุทัพพมัลลบุตร จริงหรือ?
                พระเมตติยะและพระภุมมชกะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้า.
                                                ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
                พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงให้ภิกษุ
ทั้งหลายเพ่งโทษภิกษุทัพพมัลลบุตร? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของ
ชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
                                                                พระบัญญัติ
                ๖๒. ๓. ก. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้ให้โพนทะนา.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘