พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ หน้า 296-300

                                                            หน้าที่ ๒๙๖

อาบัติทุกกฏ .... อาบัติทุพภาสิตหรือ?  คุณฟังมาจากภิกษุแล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากภิกษุณี
แล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากสิกขมานาแล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากสามเณรแล้วสงสัยหรือ?
คุณฟังมาจากสามเณรีแล้วสงสัยหรือ?  คุณฟังมาจากอุบาสกแล้วสงสัยหรือ?  คุณฟังมาจากอุบาสิกา
แล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากพระราชาแล้วสงสัยหรือ?  คุณฟังมาจากราชมหาอำมาตย์แล้วสงสัย
หรือ? คุณฟังมาจากพวกเดียรถีย์แล้วสงสัยหรือ?  คุณฟังมาจากพวกสาวกเดียรถีย์แล้วสงสัย
หรือ?  หากเธอจะพึงตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้งดปวารณาของภิกษุนี้ด้วย
สงสัย ความจริงแม้ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบว่า เรางดปวารณาของภิกษุนี้เสียด้วยเหตุไรเล่า?.
                                                ฟังคำปฏิญาณของโจทก์และจำเลย
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุโจทก์นั้นตอบข้อซักถามไม่เป็นที่พอใจของสพรหมจารีผู้รู้
ทั้งหลาย สงฆ์ควรบอกว่า  คุณไม่ควรฟ้องภิกษุจำเลย.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุโจทก์นั้นตอบข้อซักถามเป็นที่พอใจของสพรหมจารีผู้รู้
ทั้งหลาย สงฆ์ควรบอกว่า  คุณควรฟ้องภิกษุจำเลย.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุโจทก์นั้นปฏิญาณว่า  ตนตามกำจัดด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล
สงฆ์พึงปรับอาบัติสังฆาทิเสสแล้วจึงปวารณา.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุโจทก์นั้นปฏิญาณว่า ตนตามกำจัดด้วยอาบัติสังฆาทิเสสไม่มี
มูล สงฆ์พึงปรับอาบัติตามธรรมแล้วจึงปวารณา.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุโจทก์นั้นปฏิญาณว่า ตนตามกำจัดด้วยอาบัติถุลลัจจัยไม่มีมูล
.... ด้วยอาบัติปาจิตติยะ .... ด้วยอาบัติปาฏิเทสนียะ .... ด้วยอาบัติทุกกฏ .... ด้วยอาบัติทุพภาสิตไม่มีมูล
สงฆ์พึงปรับอาบัติตามธรรม แล้วจึงปวารณา.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุจำเลยนั้นปฏิญาณว่า ตนต้องอาบัติปาราชิก สงฆ์พึงนาสนะ
เสีย แล้วจึงปวารณา.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุจำเลยนั้นปฏิญาณว่า ตนต้องอาบัติสังฆาทิเสส สงฆ์พึง
ปรับอาบัติสังฆาทิเสส แล้วจึงปวารณา.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุจำเลยนั้นปฏิญาณว่า ตนต้องอาบัติถุลลัจจัย .... อาบัติปาจิตติยะ
.... อาบัติปาฏิเทสนียะ .... อาบัติทุกกฏ .... อาบัติทุพภาสิต สงฆ์พึงปรับอาบัติตามธรรม แล้วปวารณา
เถิด.


                                                            หน้าที่ ๒๙๗

                                                มีความเห็นไม่ตรงกันในอาบัติที่ต้อง
                [๒๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ในวันปวารณา.
ภิกษุบางพวกมีความเห็นว่า  ต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่า ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่มีความเห็นว่า ต้องอาบัติถุลลัจจัย พึงนำภิกษุรูปนั้น
ออกไปในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ปรับอาบัติตามธรรม  แล้วเข้าไปหาสงฆ์กล่าวอย่างนี้ว่า  อาวุโส
ทั้งหลาย ภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติใดแล อาบัตินั้นเธอทำคืนตามธรรมแล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของ
สงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ในวันปวารณา. ภิกษุ
บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติปาจิตติยะ บางพวก
มีความเห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ บางพวกมีความ
เห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุกกฏ บางพวกมีความเห็นว่าต้อง
อาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุพวกที่มีความเห็นว่า ต้องอาบัติถุลลัจจัย  พึงนำภิกษุรูปนั้น
ออกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ปรับอาบัติตามธรรมแล้ว เข้าไปหาสงฆ์กล่าวอย่างนี้ว่า  อาวุโส
ทั้งหลาย  ภิกษุนั้นต้องอาบัติใดแล  อาบัตินั้นเธอทำคืนตามธรรมแล้ว  ถ้าความพร้อมพรั่งของ
สงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติปาจิตติยะ .... ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ
.... ต้องอาบัติทุกกฏ .... ต้องอาบัติทุพภาสิต ในวันปวารณา.  ภิกษุบางพวกมีความเห็นว่าต้อง
อาบัติทุพภาสิต บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่มีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต พึงนำภิกษุรูปนั้นออกไปใน
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ปรับอาบัติตามธรรมแล้ว เข้าไปหาสงฆ์กล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย
ภิกษุนั้นต้องอาบัติใดแล อาบัตินั้นเธอทำคืนตามธรรมแล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว
สงฆ์พึงปวารณา.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติทุพภาสิตในวันปวารณา. ภิกษุ
บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวก


                                                            หน้าที่ ๒๙๘

มีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต   บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติปาจิตติยะ บางพวกมีความ
เห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต  บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ  บางพวกมีความเห็นว่า
ต้องอาบัติทุพภาสิต   บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุกกฏ.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่มีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต พึงนำภิกษุรูปนั้นออก
ไปในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ปรับอาบัติตามธรรมแล้ว เข้าไปหาสงฆ์กล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย
ภิกษุนั้นต้องอาบัติใดแล อาบัตินั้นเธอทำคืนตามธรรมแล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว
สงฆ์พึงปวารณา.
                                                                วัตถุและบุคคลปรากฏ
                [๒๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ภิกษุในศาสนานี้  พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ในวัน
ปวารณาว่า
                ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า วัตถุนี้ปรากฏ บุคคลไม่ปรากฏ  ถ้าความ
พร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงงดวัตถุ แล้วปวารณาเถิด.
                ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติปวารณาไว้สำหรับ
ภิกษุทั้งหลายผู้บริสุทธิ์  ถ้าวัตถุปรากฏ บุคคลไม่ปรากฏ เธอจงระบุคคลนั้นมาเดี๋ยวนี้.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ในวันปวารณาว่า
                ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลนี้ปรากฏ วัตถุไม่ปรากฏ  ถ้าความพร้อม
พรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงงดบุคคล แล้วปวารณาเถิด.
                ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติปวารณาไว้สำหรับ
ภิกษุทั้งหลายผู้พร้อมเพรียงกัน ถ้าบุคคลปรากฏ วัตถุไม่ปรากฏ เธอจงระบุวัตถุนั้นมาเดี๋ยวนี้.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ในวันปวารณาว่า
                ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า วัตถุและบุคคลนี้ปรากฏ  ถ้าความพร้อมพรั่ง
ของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงงดวัตถุและบุคคลแล้ว ปวารณาเถิด.
                ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติปวารณาไว้
สำหรับภิกษุทั้งหลายผู้บริสุทธิ์ และพร้อมเพรียงกัน  ถ้าวัตถุและบุคคลปรากฏ เธอจงระบุวัตถุ
และบุคคลนั้นมาเดี๋ยวนี้.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากวัตถุปรากฏก่อนปวารณา ภายหลังบุคคลจึงปรากฏ ควรพูดขึ้น.
หากบุคคลปรากฏก่อนปวารณา ภายหลังวัตถุจึงปรากฏ ก็ควรพูดขึ้น. หากวัตถุและบุคคลปรากฏ
ก่อนปวารณา. ถ้าเมื่อทำปวารณาแล้ว ฟื้นเรื่องนั้นขึ้นเป็นปาจิตติยะ เพราะฟื้นเรื่องขึ้น.


                                                            หน้าที่ ๒๙๙

                                                                ภิกษุก่อความบาดหมางเป็นต้น
                [๒๕๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกันที่เคยเห็นร่วมคบหากันมา จำพรรษาอยู่
ในอาวาสแห่งหนึ่ง  ในโกศลชนบท ณ สถานที่ใกล้เคียงของภิกษุเหล่านั้น มีภิกษุเหล่าอื่นที่ก่อ
ความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท  ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ จำพรรษา
อยู่ด้วยประสงค์ว่า  ในวันปวารณา  พวกเราจักงดปวารณาของภิกษุที่อยู่จำพรรษาเหล่านั้นเสีย.
ภิกษุเหล่านั้นได้ทราบข่าวว่า ณ สถานที่ใกล้เคียงของพวกเรา  มีภิกษุเหล่าอื่นที่ก่อความบาดหมาง
ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท  ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ จำพรรษาอยู่  ด้วยมุ่งหมายว่า
ในวันปวารณา พวกเราจักงดปวารณาของภิกษุที่อยู่จำพรรษาเหล่านั้นเสีย ดังนี้ พวกเราจะพึง
ปฏิบัติอย่างไรหนอ  จึงกราบทูลเรื่องแด่พระผู้มีพระภาค.
                พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ภิกษุในศาสนานี้  มากรูปด้วยกัน  ซึ่งเคยเห็นร่วมคบหากันมา
จำพรรษาอยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง. ณ สถานที่ใกล้เคียงของภิกษุเหล่านั้น มีภิกษุเหล่าอื่นที่ก่อความ
บาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท  ทำความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์  จำพรรษาอยู่
ด้วยมุ่งหมายว่า  ในวันปวารณา  พวกเราจักงดปวารณาของพวกภิกษุที่อยู่จำพรรษาเหล่านั้นเสีย
ดังนี้.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราอนุญาตให้ภิกษุเหล่านั้นทำอุโบสถ ๒ คือ ที่ ๓ ที่ ๔ หรือ ๓
อุโบสถ คือ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕  ให้เป็นอุโบสถ ๑๔ ค่ำ ด้วยประสงค์ว่า ไฉนพวกเราพึงปวารณา
ก่อนภิกษุเหล่านั้น.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท
ทำความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น  มาสู่อาวาส  ภิกษุพวกเจ้าถิ่นเหล่านั้น พึงรีบประชุม
ปวารณาเสียโดยเร็ว  ครั้นแล้วพึงแจ้งว่า  อาวุโสทั้งหลาย  พวกเราปวารณากันเสร็จแล้ว
ท่านทั้งหลายจะสำคัญสถานใด  ก็จงทำสถานนั้นเถิด.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท
ทำความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น  ไม่แจ้งให้ทราบก่อนมาสู่อาวาสนั้น พวกภิกษุ
เจ้าถิ่นเหล่านั้น พึงปูอาสนะ จัดหาน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้าไว้  พึงลุกขึ้นแล้ว
รับบาตรจีวร  พึงต้อนรับด้วยน้ำดื่ม.  พึงเสแสร้งกล่าวแก่ภิกษุเหล่านั้น แล้วไปปวารณานอกสีมา.
ครั้นแล้วพึงแจ้งว่า  อาวุโสทั้งหลาย  พวกเราปวารณากันเสร็จแล้ว ท่านทั้งหลายจะสำคัญสถานใด


                                                            หน้าที่ ๓๐๐

ก็จงทำสถานนั้นเถิด.  ถ้าได้วิธีการนั้นอย่างนี้  การได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี  หากไม่ได้ภิกษุ
เจ้าถิ่นผู้ฉลาด ผู้สามารถ  พึงประกาศให้ภิกษุเจ้าถิ่นทั้งหลายทราบว่า
                ขอท่านเจ้าถิ่นทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้า  ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว
พวกเราพึงทำอุโบสถ  พึงสวดปาติโมกข์ในบัดนี้ พึงปวารณาในวันกาฬปักที่จะมาถึงเถิด.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท
ทำความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น  จะพึงกล่าวกะภิกษุเหล่านั้น  อย่างนี้ว่า  ดีแล้ว
อาวุโสทั้งหลาย  ขอพวกท่านจงปวารณาต่อพวกเราในบัดนี้เถิด.  พวกเธออันภิกษุทั้งหลาย
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า  อาวุโสทั้งหลาย  พวกท่านไม่เป็นใหญ่ในปวารณาของพวกเรา พวกเราจะ
ยังไม่ปวารณาก่อนละ.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุที่ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท
ทำความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น  จะพึงอยู่คอยไปถึงวันกาฬปักษ์นั้น  ภิกษุเจ้าถิ่น
ผู้ฉลาด  ผู้สามารถ  พึงประกาศให้พวกภิกษุเจ้าถิ่นทราบว่า
                ท่านเจ้าถิ่นทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้า  ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว
พวกเราพึงทำอุโบสถ  พึงสวดปาติโมกข์ในบัดนี้เถิด พวกเราพึงปวารณาในวันชุณหปักษ์ที่จะ
มาถึงเถิด.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท
ทำความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น  จะพึงกล่าวกะภิกษุเหล่านั้น  อย่างนี้ว่า  ดีแล้ว อาวุโส
ทั้งหลาย  ขอพวกท่านจงปวารณาต่อพวกเราในบัดนี้เถิด.  พวกเธออันภิกษุทั้งหลายพึงกล่าว
อย่างนี้ว่า  อาวุโสทั้งหลาย  พวกท่านไม่เป็นใหญ่ในปวารณาของพวกเรา พวกเราจะยังไม่ปวารณา
ก่อนละ.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท
ทำความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น จะพึงอยู่คอยไปถึงวันชุณหปักษ์แม้นั้น ภิกษุ
เหล่านั้นทุกรูปไม่ปวารณา  ก็ต้องปวารณาในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นที่ครบ ๔ เดือนที่จะมาถึง.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ถ้าเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังปวารณากัน ภิกษุอาพาธงดปวารณาของภิกษุ
ผู้ไม่อาพาธ  ภิกษุอาพาธนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า  ท่านกำลังอาพาธ อันผู้อาพาธ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่สู้จะอดทนต่อการซักถาม อาวุโส ขอท่านจงรออยู่จนกว่าจะหายอาพาธ
หายอาพาธแล้ว เมื่อจำนงจึงค่อยโจท. หากภิกษุอาพาธถูกว่ากล่าวอย่างนี้ ยังขืนโจท เป็นปาจิตติยะ
เพราะไม่เอื้อเฟื้อ.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘