พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒ หน้า 296-300

                                                            หน้าที่ ๒๙๖

                                                ๑. มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๖
                                                เรื่องพระอนุรุทธเถระ
                [๒๙๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ
อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธะเดินทางไปพระนครสาวัตถี
ในโกศลชนบท ได้ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ณ เวลาเย็น ก็แลสมัยนั้น ในหมู่บ้านนั้นมีสตรีผู้หนึ่ง
จัดเรือนพักสำหรับอาคันตุกะไว้. จึงท่านพระอนุรุทธะเข้าไปหาสตรีนั้น แล้วได้กล่าวคำนี้กะสตรี
นั้นว่า ดูกรน้องหญิง ถ้าเธอไม่หนักใจ อาตมาขอพักแรมในเรือนพักสักคืนหนึ่ง.
                สตรีนั้นเรียนว่า นิมนต์พักแรมเถิด เจ้าข้า.
                พวกคนเดินทางแม้เหล่าอื่นก็เข้าไปหาสตรีนั้น แล้วได้กล่าวคำนี้กะสตรีนั้นว่า คุณนาย
ขอรับ ถ้าคุณนายไม่หนักใจ พวกข้าพเจ้าขอพักแรมในเรือนพักสักคืนหนึ่ง.
                นางกล่าวว่า พระคุณเจ้าสมณะนั่นเข้าไปพักแรมอยู่ก่อนแล้ว ถ้าท่านอนุญาตก็เชิญ
พักแรมได้.
                จึงคนเดินทางพวกนั้น พากันเข้าไปหาท่านพระอนุรุทธะแล้ว ได้กล่าวคำนี้กะท่านพระ-
อนุรุทธะว่า ท่านขอรับ ถ้าท่านไม่หนักใจ พวกกระผมขอพักแรมคืนในเรือนพักสักคืนหนึ่ง
                ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า เชิญพักเถิดจ้ะ.
                อันที่จริง สตรีนั้นได้มีจิตปฏิพัทธ์ในท่านพระอนุรุทธะพร้อมกับขณะที่ได้เห็น ดังนั้น.
นางจึงเข้าไปหาท่านพระอนุรุทธะ แล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านเจ้าข้า พระคุณเจ้าปะปนกับคนพวกนี้
จักพักผ่อนไม่สบาย ทางที่ดีดิฉันควรจัดเตียงที่มีอยู่ข้างในถวายพระคุณเจ้า.
                ท่านพระอนุรุทธะรับด้วยดุษณีภาพ.
                ครั้งนั้น นางได้จัดเตียงที่มีอยู่ข้างในด้วยตนเองถวายท่านพระอนุรุทธะ แล้วประดับ
ตกแต่งร่างกายมีกลิ่นแห่งเครื่องหอม เข้าไปหาท่านพระอนุรุทธะ แล้วได้กล่าวคำนี้กะท่าน
พระอนุรุทธะว่า ท่านเจ้าข้า พระคุณเจ้ามีรูปงามนัก น่าดูน่าชม ส่วนดิฉันก็มีรูปงามยิ่ง น่าดู
น่าชม, ทางที่ดีดิฉันควรจะเป็นภรรยาของพระคุณเจ้า.
                เมื่อนางพูดอย่างนี้ ท่านพระอนุรุทธะได้นิ่งเสีย.


                                                            หน้าที่ ๒๙๗

                แม้ครั้งที่ ๒ ... ๑-
                แม้ครั้งที่ ๓ นางก็ได้กล่าวคำนี้กะท่านพระอนุรุทธะว่า ท่านเจ้าข้า พระคุณเจ้ามี
รูปงามนัก น่าดู น่าชม, ส่วนดิฉันก็มีรูปงามยิ่ง น่าดู น่าชม, ทางที่เหมาะ ขอพระคุณเจ้า
จงรับปกครองดิฉันและทรัพย์สมบัติทั้งหมด.
                แม้ครั้งที่ ๓ ท่านพระอนุรุทธะก็ได้นิ่งเสีย.
                ลำดับนั้น นางได้เปลื้องผ้าออกแล้ว เดินบ้าง ยืนบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้าง เบื้องหน้า
ท่านพระอนุรุทธะ. ฝ่ายท่านพระอนุรุทธะ สำรวมอินทรีย์ ไม่แลดู ไม่ปราศรัยกะนาง. ดังนั้น
นางจึงอุทานว่า น่าอัศจรรย์นัก พ่อเอ๋ย ไม่น่าจะมีเลยหนอพ่อผู้จำเริญ คนเป็นอันมากยอมส่ง
ทรัพย์มาให้เรา ๑๐๐ กษาปณ์บ้าง ๑๐๐๐ กษาปณ์บ้าง. ส่วนพระสมณะรูปนี้ เราวิงวอนด้วยตนเอง
ยังไม่ปรารถนาจะรับปกครองเราและสมบัติทั้งหมด ดังนี้แล้วจึงนุ่งผ้าซบศีรษะลงที่เท้าของท่าน
พระอนุรุทธะ แล้วได้กล่าวคำขอขมาต่อท่านดังนี้ว่า ท่านเจ้าข้า โทษล่วงเกินได้เป็นไปล่วงดิฉัน
ตามคนโง่ ตามคนหลง ตามคนไม่ฉลาด ดิฉันผู้ใดได้ทำความผิดเห็นปานนั้นไปแล้ว ขอ
พระคุณเจ้าโปรดรับโทษที่เป็นไปล่วง โดยความเป็นโทษเป็นไปล่วงของดิฉันผู้นั้น เพื่อจะสำรวม
ต่อไปเถิดเจ้าข้า.
                ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า เชิญเถิดน้องหญิง โทษล่วงเกิน ได้เป็นไปล่วงเธอ
ตามคนโง่ ตามคนเขลา ตามคนไม่ฉลาด เธอได้ทำอย่างนี้แล้ว เพราะเล็งเห็นโทษที่เป็นไปล่วง
โดยความเป็นโทษเป็นไปล่วงจริง แล้วทำคืนตามธรรม เราขอรับโทษที่ล่วงเกินนั้นของเธอไว้
ดูกรน้องหญิง ข้อที่บุคคลเล็งเห็นโทษที่เป็นไปล่วง โดยความเป็นโทษเป็นไปล่วงจริง แล้วยอมทำ
คืนตามธรรม ถึงความสำรวมต่อไป นี่แหละเป็นความเจริญในอริยวินัย.
                ครั้นราตรีนั้นผ่านพ้นไป นางได้อังคาสท่านพระอนุรุทธะด้วยขาทนียโภชียาหารอันประณีต
ด้วยมือของตนจนให้ห้ามภัตแล้ว กราบไหว้ท่านพระอนุรุทธะผู้ฉันเสร็จนำมือออกจากบาตรแล้ว
ได้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ท่านพระอนุรุทธะได้ชี้แจงให้สตรีผู้นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งนั้น
เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ครั้นแล้ว นางได้กล่าวคำนี้กะท่านพระ-
อนุรุทธะว่า ท่านเจ้าข้า ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งนัก ภาษิตของท่านไพเราะนัก พระคุณเจ้าข้า
อนุรุทธะได้ประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของ
#๑. หมายความว่านางได้กล่าวและท่านพระอนุรุทธะได้นิ่งเหมือนครั้งที่ ๑


                                                            หน้าที่ ๒๙๘

ที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยประสงค์ว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป
ดังนี้, ดิฉันนี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทั้งพระธรรม และภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ
ขอพระคุณเจ้าจงจำดิฉันว่าเป็นอุบาสิกาผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป. ต่อ
จากนั้น ท่านพระอนุรุทธะเดินทางไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้แจ้งความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย
บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระอนุรุทธะจึงได้สำเร็จการนอนร่วมกับมาตุคามเล่า ครั้นแล้ว
ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ...
                                                                ทรงสอบถาม
                พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระอนุรุทธะว่า ดูกรอนุรุทธะ ข่าวว่า เธอสำเร็จการ
นอนร่วมกับมาตุคาม จริงหรือ?
                ท่านพระอนุรุทธะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
                                                ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
                พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรอนุรุทธะ ไฉนเธอจึงได้สำเร็จการนอนร่วม
กับมาตุคามเล่า การกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือ
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
                                                                พระบัญญัติ
                ๕๕. ๖. อนึ่ง ภิกษุใดสำเร็จการนอนร่วมกับมาตุคาม เป็นปาจิตตีย์.
                                                เรื่องพระอนุรุทธะเถระ จบ.
                                                                สิกขาบทวิภังค์
                [๒๙๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
                บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุ
ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
                ที่ชื่อว่า มาตุคาม ได้แก่หญิงมนุษย์ ไม่ใช่หญิงยักษ์ ไม่ใช่หญิงเปรต ไม่ใช่
สัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย โดยที่สุดแม้เด็กหญิงที่เกิดในวันนั้น ไม่ต้องกล่าวถึงสตรีผู้ใหญ่.


                                                            หน้าที่ ๒๙๙

                บทว่า ร่วม คือ ด้วยกัน
                ที่ชื่อว่า การนอน ได้แก่ ภูมิสถานเป็นที่นอน อันเขามุงทั้งหมด บังทั้งหมด
มุงโดยมาก บังโดยมาก.
                คำว่า สำเร็จการนอน ความว่า เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว มาตุคามนอนแล้ว
ภิกษุนอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                ภิกษุนอนแล้ว มาตุคามนอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                หรือนอนทั้งสอง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                ลุกขึ้นแล้ว กลับนอนอีก ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                                                                บทภาชนีย์
                                                                ติกปาจิตตีย์
                [๒๙๖] มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่ามาตุคาม สำเร็จการนอนร่วม ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                มาตุคาม ภิกษุสงสัย สำเร็จการนอนร่วม ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่ามิใช่มาตุคาม สำเร็จการนอนร่วม ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                                                                จตุกกทุกกฏ
                ในสถานที่มุงกึ่ง บังกึ่ง ภิกษุสำเร็จการนอนร่วม ต้องอาบัติทุกกฏ.
                ภิกษุสำเร็จการนอนร่วม กับหญิงยักษ์ก็ดี หญิงเปรตก็ดี บัณเฑาะก์ก็ดี สัตว์ดิรัจฉาน
ตัวเมียก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
                มิใช่มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่ามาตุคาม สำเร็จการนอนร่วม ต้องอาบัติทุกกฏ.
                มิใช่มาตุคาม ภิกษุสงสัย สำเร็จการนอนร่วม ต้องอาบัติทุกกฏ.
                                                                ไม่ต้องอาบัติ
                มิใช่มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่ามิใช่มาตุคาม สำเร็จการนอนร่วม ไม่ต้องอาบัติ.
                                                                อนาปัตติวาร
                [๒๙๗] ในสถานที่มุ่งทั้งหมด ไม่บังทั้งหมด ๑ ในสถานที่บังทั้งหมด ไม่มุง
ทั้งหมด ๑ ในสถานที่ไม่มุ่งโดยมาก ไม่บังโดยมาก ๑ มาตุคามนอน ภิกษุนั่ง ๑ ภิกษุนอน
มาตุคามนั่ง ๑ นั่งทั้งสอง ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
                                                มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ.
                                                                ___________


                                                            หน้าที่ ๓๐๐

                                                ๑. มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๗
                                                เรื่องพระอุทายี
                [๒๙๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถ-
บิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ท่านพระอุทายีเป็นพระกุลุปกะในพระนครสาวัตถี
เข้าไปสู่สกุลเป็นอันมาก. ครั้งหนึ่งเวลาเช้า ท่านพระอุทายีครองอัตรวาสก แล้วถือบาตรจีวร
เข้าไปสู่สกุลแห่งหนึ่ง. เวลานั้นหญิงแม่เรือนนั่งอยู่ที่ประตูเรือน. หญิงสะใภ้ในเรือนนั่งอยู่ที่
ประตูห้องนอน. จึงท่านพระอุทายีเดินผ่านไปทางหญิงแม่เรือน แล้วแสดงธรรม ณ ที่ใกล้หูหญิง
แม่เรือน. ขณะนั้น หญิงสะใภ้ในเรือนมีความสงสัยว่า พระสมณะนั้นเป็นชายชู้ของแม่ผัว
หรือพูดเกี้ยว, ครั้นท่านพระอุทายีแสดงธรรม ณ ที่ใกล้หูหญิงแม่เรือนแล้ว, เดินผ่านไปทางหญิง
สะใภ้ในเรือนแล้วแสดงธรรมในที่ใกล้หูหญิงสะใภ้ในเรือน. ฝ่ายหญิงแม่เรือนมีความสงสัยว่า
พระสมณะนั้นเป็นชายชู้ของหญิงสะใภ้ในเรือน หรือพูดเกี้ยว, เมื่อท่านพระอุทายีแสดงธรรมใน
ที่ใกล้หูหญิงสะใภ้ในเรือนกลับไปแล้ว. จึงหญิงแม่เรือนได้ถามหญิงสะใภ้ในเรือนว่า นี่ นางหนู
พระสมณะนั้นได้พูดอะไรแก่เจ้า.
                หญิงสะใภ้ตอบว่า ท่านแสดงธรรมแก่ดิฉัน เจ้าค่ะ แล้วถามว่า ก็ท่านได้พูดอะไร
แก่คุณแม่ เจ้าคะ.
                แม่ผัวตอบว่า แม้แก่เรา ท่านก็แสดงธรรม.
                สตรีทั้งสองนั้นต่างเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระคุณเจ้าอุทายี จึงได้แสดงธรรม
ในที่ใกล้หูมาตุคามเล่า ธรรมดาพระธรรมกถึก ควรแสดงธรรมด้วยเสียงชัดเจนเปิดเผย
มิใช่หรือ.
                ภิกษุทั้งหลายได้ยินสตรีทั้งสองนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย
สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนท่านพระอุทายีจึงได้แสดงธรรมแก่มาตุคามเล่า แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ...
                                                                ทรงสอบถาม
                พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี ข่าวว่า เธอแสดงธรรม
แก่มาตุคาม จริงหรือ?
                ท่านพระอุทายีรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘