พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ หน้า 271-275

                                                            หน้าที่ ๒๗๑

                ท่าน  ผมมีความสงสัยในอาบัติมีชื่อนี้  จักหมดสงสัยเมื่อใด  จักทำคืนอาบัตินั้น
เมื่อนั้น  ครั้นแล้วพึงปวารณา  แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา  เพราะข้อที่สงสัยนั้นเป็นปัจจัย
                                                                กำลังปวารณาระลึกอาบัติได้
                ก็โดยสมัยนั้นแล  ภิกษุรูปหนึ่งกำลังปวารณา  ระลึกอาบัติได้  จึงภิกษุนั้นได้มีความ
ปริวิตกว่า  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า  ภิกษุมีอาบัติติดตัว ไม่พึงปวารณา ดังนี้ ก็เราเป็น
ผู้ต้องอาบัติแล้ว  จะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ.  ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้  กำลังปวารณา
ระลึกอาบัติได้. เธอพึงบอกภิกษุใกล้เคียงอย่างนี้ว่า
                อาวุโส ผมต้องอาบัติมีชื่อนี้   ลุกจากที่นี้แล้ว จักทำคืนอาบัตินั้น ครั้นแล้วพึงปวารณา
แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา เพราะข้อที่ระลึกอาบัติได้นั้นเป็นปัจจัย.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ กำลังปวารณา มีความสงสัยในอาบัติ.
เธอพึงบอกภิกษุใกล้เคียงอย่างนี้ว่า
                อาวุโส ผมมีความสงสัยในอาบัติมีชื่อนี้ จักหมดสงสัยเมื่อใด จักทำคืนอาบัตินั้นเมื่อนั้น
ครั้นแล้ว พึงปวารณา แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา   เพราะข้อที่มีความสงสัยนั้นเป็นปัจจัย.
                                                                สงฆ์ต้องสภาคาบัติ
                ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันปวารณา สงฆ์ทั้งหมดต้องสภาคาบัติ จึงภิกษุ
เหล่านั้นได้มีความปริวิตกว่า  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า  ภิกษุจะแสดงสภาคาบัติไม่ได้ จะรับ
แสดงสภาคาบัติก็ไม่ได้  ก็สงฆ์หมู่นี้ทั้งหมดต้องสภาคาบัติ  พวกเราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ
แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค  พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย  ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา สงฆ์ทั้งหมดในศาสนานี้ต้องสภาคาบัติ.  พวกเธอ
พึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปสู่อาวาสใกล้เคียงพอจะกลับมาทัน ในวันนั้น ด้วยสั่งว่า  อาวุโส คุณจงไป
ทำคืนอาบัตินั้นแล้วมา   พวกเราจักทำคืนอาบัตินั้นในสำนักคุณ.  ถ้าได้ภิกษุเช่นนั้น  อย่างนี้
นั่นเป็นการดี  หากไม่ได้ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา
ว่าดังนี้:-


                                                            หน้าที่ ๒๗๒

                                                                ญัตติกรรมวาจา
                ท่านเจ้าข้า  ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  สงฆ์ทั้งหมดนี้ต้องสภาคาบัติ  เมื่อใดพบภิกษุ
รูปอื่นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีอาบัติ  เมื่อนั้นสงฆ์จักทำคืนอาบัตินั้นในสำนักภิกษุรูปนั้น
                ครั้นแล้วพึงปวารณา  แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา  เพราะข้อที่ต้องสภาคาบัตินั้น
เป็นปัจจัย.
                                                                สงสัยในสภาคาบัติ
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันปวารณา  สงฆ์ทั้งหมดในศาสนานี้
มีความสงสัยในสภาคาบัติ  ภิกษุผู้ฉลาด  ผู้สามารถ  พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา
ว่าดังนี้:-
                                                                ญัตติกรรมวาจา
                ท่านเจ้าข้า  ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  สงฆ์ทั้งหมดนี้มีความสงสัยในสภาคาบัติ จักหมด
ความสงสัยเมื่อใด จักทำคืนอาบัตินั้นเมื่อนั้น.
                ครั้นแล้วพึงปวารณา  แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา  เพราะข้อที่มีความสงสัยนั้น
เป็นปัจจัย.
                                                                ปฐมภาณวาร  จบ.
                                                                _____________


                                                            หน้าที่ ๒๗๓

                                                                ปวารณาไม่ต้องอาบัติ ๑๕ ข้อ
                [๒๓๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นมากรูป
ด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่ายังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยัง
ไม่มา.  พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัย  เป็นหมู่  มีความสำคัญว่า
พร้อมกัน ปวารณา.  เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา  ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวน
มากกว่า. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย
ว่าดังนี้:-
                ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้
มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า  ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น
พวกอื่นที่ยังไม่มา.  พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่ มีความ
สำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา  ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
มีจำนวนมากกว่า. พวกเธอต้องปวารณาใหม่  ภิกษุที่ปวารณาแล้ว  ไม่ต้องอาบัติ.
                ๒.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น
ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า ยังมี
ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.  พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม  มีความสำคัญว่าเป็นวินัย
เป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา.  เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่น
พวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน.  ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว.  พวกที่เหลือ
พึงปวารณาต่อไป.  พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
                ๓.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น
ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า ยังมี
ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.  พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม  มีความสำคัญว่าเป็นวินัย
เป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่น
พวกอื่นมาถึงมีจำนวนน้อยกว่า.  ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว.  พวกที่เหลือ
พึงปวารณาต่อไป.  พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.


                                                            หน้าที่ ๒๗๔

                ๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น
ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า ยังมี
ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.  พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม  มีความสำคัญว่าเป็นวินัย
เป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา.  เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา ขณะนั้น มีภิกษุ
เจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่. ภิกษุที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้อง
อาบัติ.
                ๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน.  ภิกษุ
พวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว. ภิกษุพวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ
พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
                ๖. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนน้อยกว่า.  ภิกษุ
ที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว.  ภิกษุพวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ. พวกที่
ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
                ๗. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น
ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า ยังมี
ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.  พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม  มีความสำคัญว่าเป็นวินัย
เป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา.  เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จพอดี แต่บริษัทยังไม่ทัน
ลุกไป  ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่
ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
                ๘. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน ....
                ๙. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า.
ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว. พวกที่มาทีหลัง พึงปวารณาในสำนักพวกเธอ
พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
                ๑๐. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น
ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า ยังมี
ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรมมีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่


                                                            หน้าที่ ๒๗๕

มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา.  เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จ บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว
ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า.  ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่. พวกที่
ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
                ๑๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน ....
                ๑๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า
ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว. พวกที่มาทีหลัง พึงปวารณาในสำนักพวกเธอ.
พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
                ๑๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น
ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า ยังมี
ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม  มีความสำคัญว่าเป็นวินัย
เป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา.  เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จ บริษัทลุกไปหมดแล้ว
ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า.  ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่.  พวกที่
ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
                ๑๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน ....
                ๑๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า.
ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว. พวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ.
พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
                                                ปวารณาไม่ต้องอาบัติ ๑๕ ข้อ จบ.
                                                                __________________

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘