พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๓ ภิกขุนีวิภังค์ หน้า 236-240

                                                            หน้าที่ ๒๓๖

                ที่ชื่อว่า สหชีวินี ได้แก่ ภิกษุณีที่เรียกกันว่าสัทธิวิหารินี.
                บทว่า ให้บวชแล้ว คือ ให้อุปสมบทแล้ว.
                บทว่า สิ้นสองฝน คือ ตลอด ๒ ปี.
                บทว่า ไม่อนุเคราะห์ คือ ไม่อนุเคราะห์เอง ด้วยอุเทศ ปริปุจฉา โอวาท อนุศาสนี.
                บทว่า ไม่ให้ผู้อื่นอนุเคราะห์ คือ ไม่บังคับภิกษุณีอื่น.
                พอทอดธุระว่า จักไม่อนุเคราะห์เอง จักไม่ให้ผู้อื่นอนุเคราะห์ ๒ ปี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                                อนาปัตติวาร
                [๓๙๔] มีอันตราย ๑ แสวงหาแล้วไม่ได้ ๑ อาพาธ ๑ มีเหตุขัดข้อง ๑ วิกลจริต ๑ อาทิ
กัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
                                คัพภินีวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ.
                                ________________________


                                                            หน้าที่ ๒๓๗

                                คัพภินีวรรค สิกขาบทที่ ๙
                                เรื่องภิกษุณีหลายรูป
                [๓๙๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถ-
บิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุณีทั้งหลายไม่ติดตามปวัตตินีผู้ให้บวชถึง ๒ ปี.
เธอจึงเป็นคนเขลา ไม่ฉลาด ไม่รู้จักสิ่งที่ควรหรือไม่ควร.
                บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลาย
จึงไม่ติดตามปวัตตินีผู้ให้บวชตลอด ๒ ปีเล่า ...
                                ทรงสอบถาม
                พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีทั้งหลายไม่
ติดตามปวัตตินีผู้ให้บวชถึง ๒ ปี จริงหรือ?
                ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
                                ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
                พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ไม่ติด
ตามปวัตตินีผู้ให้บวชถึง ๒ ปีเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน
ที่ยังไม่เลื่อมใส ...
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:
                                พระบัญญัติ
                ๑๒๔. ๙. อนึ่ง ภิกษุณีใด ไม่ติดตามปวัตตินีผู้ให้บวชสิ้นสองฝน เป็นปาจิตตีย์.
                                เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ.
                                สิกขาบทวิภังค์
                [๓๙๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
                บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณี
ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
                บทว่า ผู้ให้บวช คือ ผู้ให้อุปสมบท.


                                                            หน้าที่ ๒๓๘

                ที่ชื่อว่า ปวัตตินี ได้แก่ ภิกษุณีที่เขาเรียกกันว่าอุปัชฌาย์.
                บทว่า สิ้นสองฝน คือ ตลอด ๒ ปี.
                บทว่า ไม่ติดตาม คือ ไม่อุปัฏฐาก.
                พอทอดธุระว่า จักไม่ติดตามตลอด ๒ ปี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                                อนาปัตติวาร
                [๓๙๗] อุปัชฌาย์เป็นคนเขลา หรือ เป็นคนไม่ละอาย ๑ อาพาธ ๑ มีเหตุขัดข้อง ๑
วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
                                คัพภินีวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.
                                _______________________


                                                            หน้าที่ ๒๓๙

                                คัพภินีวรรค สิกขาบทที่ ๑๐
                                เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา
                [๓๙๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถ-
บิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุณีถุลลนันทาบวชสหชีวินีไว้แล้ว ไม่พาหลีกไป
เองด้วย ไม่ให้ผู้อื่นพาหลีกไปด้วย นายได้จับตัวไป.
                บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทา
บวชสหชีวินีไว้แล้ว จึงไม่พาหลีกไปเองด้วย ไม่ให้ผู้อื่นพาหลีกไปด้วยเล่า นายได้จับตัวไป ถ้า
ภิกษุณีนี้พึงไปด้วย นายก็จะไม่พึงจับตัวไปได้ ...
                                ทรงสอบถาม
                พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีถุลลนันทา
บวชสหชีวินีไว้แล้ว ไม่พาหลีกไปเอง ไม่ให้ผู้อื่นพาหลีกไป นายได้จับตัวไปแล้ว จริงหรือ?
                ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
                                ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
                พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทาบวชสหชีวินี
ไว้แล้ว จึงได้ไม่พาหลีกไปเอง ไม่ให้ผู้อื่นพาหลีกไป นายจึงได้จับตัวไป การกระทำของนางนั่น
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ...
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:
                                พระบัญญัติ
                ๑๒๕. ๑๐. อนึ่ง ภิกษุณีใด ยังสหชีวินีให้บวชแล้ว ไม่พาหลีกไปเอง ไม่ให้พาหลีก
ไป โดยที่สุดแม้สิ้นระยะทาง ๕-๖ โยชน์ เป็นปาจิตตีย์.
                                เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา จบ.
                                สิกขาบทวิภังค์
                [๓๙๙] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
                บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณี
ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.


                                                            หน้าที่ ๒๔๐

                ที่ชื่อว่า สหชีวินี ได้แก่ ภิกษุณีที่เขาเรียกกันว่าสัทธิวิหารินี.
                บทว่า ให้บวชแล้ว คือ ให้อุปสมบทแล้ว.
                บทว่า ไม่พาหลีกไปเอง คือ ตนเองไม่พาหลีกไป.
                บทว่า ไม่ให้พาหลีกไป คือ ไม่สั่งผู้อื่น.
                พอทอดธุระว่า จักไม่พาหลีกไปเอง จักไม่ให้พาหลีกไป โดยที่สุดแม้สิ้นระยะทาง ๕-๖
โยชน์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                                อนาปัตติวาร
                [๔๐๐] มีอันตราย ๑ แสวงหาแล้วไม่ได้ภิกษุณีผู้สหาย ๑ มีเหตุขัดข้อง ๑ วิกลจริต ๑
อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
                                คัพภินีวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ.
                                ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๗ จบ.
                                __________________

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘