พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๓ ภิกขุนีวิภังค์ หน้า 206-210

                                                            หน้าที่ ๒๐๖

                                อารามวรรค สิกขาบทที่ ๖
                                เรื่องภิกษุณีหลายรูป
                [๓๔๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถ-
บิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุณีหลายรูปจำพรรษาอยู่ในอาวาสใกล้หมู่บ้าน
แล้วได้พากันไปสู่พระนครสาวัตถี. ภิกษุณีทั้งหลายได้รุมกันถามภิกษุณีพวกนั้นว่า แม่เจ้าทั้งหลาย
จำพรรษาอยู่ ณ ที่ไหน โอวาทการกล่าวสอนได้มีสมบูรณ์แล้วหรือ?
                ภิกษุณีเหล่านั้นตอบว่า แม่เจ้า ในอาวาสที่พวกดิฉันจำพรรษาอยู่นั้นไม่มีภิกษุเลย การ
กล่าวสอนจักสมบูรณ์ได้จากไหน.
                บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลาย
จึงได้จำพรรษาอยู่ในอาวาสที่ไม่มีภิกษุเล่า ...
                                ทรงสอบถาม
                พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีทั้งหลาย
จำพรรษาอยู่ในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ จริงหรือ?
                ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
                                ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
                พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้จำพรรษา
อยู่ในอาวาสที่ไม่มีภิกษุเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยัง
ไม่เลื่อมใส ...
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:
                                พระบัญญัติ
                ๑๑๑. ๖. อนึ่ง ภิกษุณีใด จำพรรษาอยู่ในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ เป็นปาจิตตีย์.
                                เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ.
                                สิกขาบทวิภังค์
                [๓๕๐] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
                บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณี
ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.


                                                            หน้าที่ ๒๐๗

                อาวาสที่ชื่อว่า ไม่มีภิกษุ ได้แก่ อาวาสที่ภิกษุณีไม่สามารถจะไปเพื่อรับครุธรรมอันเป็น
โอวาท หรือเพื่อประสงค์จะถามอุโบสถและปวารณาได้.
                ตั้งใจว่าจักอยู่จำพรรษา แล้วจัดแจงเสนาสนะ จัดตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ ต้อง
อาบัติทุกกฏ พออรุณขึ้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                                อนาปัตติวาร
                [๓๕๑] มีภิกษุที่อยู่จำพรรษา หลีกไป สึก มรณภาพ หรือไปเข้ารีดเดียรถีย์ ๑ มี
อันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
                                อารามวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ.
                                __________________________


                                                            หน้าที่ ๒๐๘

                                อารามวรรค สิกขาบทที่ ๗
                                เรื่องภิกษุณีหลายรูป
                [๓๕๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถ-
บิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุณีหลายรูปจำพรรษาอยู่ในอาวาสใกล้หมู่บ้าน
แล้วได้พากันไปสู่พระนครสาวัตถี. ภิกษุณีทั้งหลายได้พากันถามภิกษุณีพวกนั้นว่า แม่เจ้าทั้งหลาย
จำพรรษาอยู่ ณ ที่ไหน ได้ปวารณาต่อภิกษุสงฆ์แล้วหรือ?
                ภิกษุณีเหล่านั้นตอบว่า พวกดิฉันยังมิได้ปวารณาตัวต่อภิกษุสงฆ์ เจ้าข้า.
                บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลาย
อยู่จำพรรษาแล้ว จึงได้ไม่ปวารณาต่อภิกษุสงฆ์เล่า ...
                                ทรงสอบถาม
                พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีทั้งหลาย
จำพรรษาแล้วไม่ปวารณาต่อภิกษุสงฆ์ จริงหรือ?
                ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
                                ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
                พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจำพรรษาแล้วจึงได้
ไม่ปวารณาต่อภิกษุสงฆ์เล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยัง
ไม่เลื่อมใส ...
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:
                                พระบัญญัติ
                ๑๑๒. ๗. อนึ่ง ภิกษุณีใด จำพรรษาแล้ว ไม่ปวารณาต่อสงฆ์สองฝ่าย ด้วยสถาน
๓ คือ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ยินก็ดี ด้วยรังเกียจก็ดี เป็นปาจิตตีย์.
                                เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ.
                                สิกขาบทวิภังค์
                [๓๕๓] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
                บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่
ทรงประสงค์ในอรรถนี้.


                                                            หน้าที่ ๒๐๙

                ที่ชื่อว่า จำพรรษาแล้ว คือ อยู่ตลอดไตรมาสต้น หรือไตรมาสหลัง.
                พอทอดธุระว่า จักไม่ปวารณาต่อสงฆ์สองฝ่าย ด้วยสถาน ๓ คือ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วย
ได้ยินก็ดี ด้วยรังเกียจก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                                อนาปัตติวาร
                [๓๕๔] ในเมื่ออันตรายมี ๑ แสวงหาแล้วไม่ได้ ๑ อาพาธ ๑ มีเหตุขัดข้อง ๑ วิกลจริต ๑
อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
                                อารามวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ.
                                __________________________


                                                            หน้าที่ ๒๑๐

                                อารามวรรค สิกขาบทที่ ๘
                                เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์
                [๓๕๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขตพระนคร
กบิลพัสดุ์ สักกชนบท. ครั้งนั้น ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ เข้าไปสู่สำนักของภิกษุณีแล้ว จะกล่าวสอน
ภิกษุณีฉัพพัคคีย์. ภิกษุณีทั้งหลายได้กล่าวชวนภิกษุณีฉัพพัคคีย์ว่า มาเถิดแม่เจ้า ไปรับโอวาทกัน
เถิดเจ้าข้า.
                ภิกษุณีฉัพพัคคีย์กล่าวว่า แม่เจ้าทั้งหลาย พวกเราจะชวนกันไปแม้เพราะเหตุแห่งโอวาท
อันใด พระคุณเจ้าฉัพพัคคีย์ก็จะมากล่าวสอนพวกเราด้วยโอวาทนั้น ณ สถานที่นี้แล้ว.
                บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีฉัพพัคคีย์
จึงได้ไม่ไปรับโอวาทเล่า ...
                                ทรงสอบถาม
                พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีฉัพพัคคีย์
ไม่ไปรับโอวาท จริงหรือ?
                ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
                                ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
                พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้ไม่ไป
รับโอวาทเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ...
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:
                                พระบัญญัติ
                ๑๑๓. ๘. อนึ่ง ภิกษุณีใด ไม่ไปเพื่อโอวาทก็ดี เพื่อธรรมเป็นเหตุอยู่ร่วมก็ดี เป็น
ปาจิตตีย์.
                                เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ.
                                สิกขาบทวิภังค์
                [๓๕๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘