พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒ หน้า 206-210

                                                            หน้าที่ ๒๐๖

                [๑๘๔] บุคคลกล่าวควรแต่ถ้อยคำเป็นที่จำเริญใจ,
                ไม่ควรกล่าวถ้อยคำอันไม่เป็นที่จำเริญใจ ในกาลไหน ๆ.
                เพราะเมื่อพราหมณ์กล่าวถ้อยคำเป็นที่จำเริญใจ,
                โคถึกนันทิวิสาลได้ลากเกวียนหนักไป,
                ยังพราหมณ์นั้นให้ได้ทรัพย์, และได้ดีใจเพราะพราหมณ์
                ได้ทรัพย์โดยการกระทำของตนนั้นแล.
                [๑๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งนั้น คำด่า คำสบประมาทก็มิได้เป็นที่พอใจของเรา
ไฉน ในบัดนี้ คำด่า คำสบประมาท จักเป็นที่พอใจเล่า? การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไป
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
                                                                พระบัญญัติ
                ๕๑. ๒. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะโอมสวาท.
                                                เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ.
                                                                สิกขาบทวิภังค์
                [๑๘๖] ที่ชื่อว่า โอมสวาท ได้แก่คำพูดเสียดแทงให้เจ็บใจด้วยอาการ ๑๐ อย่าง คือ
ชาติ ๑ ชื่อ ๑ โคตร ๑ การงาน ๑ ศิลป ๑ โรค ๑ รูปพรรณ ๑ กิเลส ๑ อาบัติ ๑
คำด่า ๑.
                                                                บทภาชนีย์
                [๑๘๗] ที่ชื่อว่า ชาติ ได้แก่ชาติ ๒ คือ ชาติทราม ๑ ชาติอุกฤษฏ์ ๑.
                ที่ชื่อว่า ชาติทราม ได้แก่ชาติคนจัณฑาล ชาติคนจักสาน ชาติพราน ชาติคน
ช่างหนัง ชาติคนเทดอกไม้ นี้ชื่อว่าชาติทราม.
                ที่ชื่อว่า ชาติอุกฤษฏ์ ได้แก่ชาติกษัตริย์ ชาติพราหมณ์ นี้ชื่อว่าชาติอุกฤษฏ์.
                [๑๘๘] ที่ชื่อว่า ชื่อ ได้แก่ชื่อ ๒ คือ ชื่อทราม ๑ ชื่ออุกฤษฏ์ ๑.


                                                            หน้าที่ ๒๐๗

                ที่ชื่อว่า ชื่อทราม ได้แก่ ชื่ออวกัณณกะ  ชวกัณณกะ ธนิฏฐกะ สวิฏฐกะ
กุลวัฑฒกะ, ก็หรือชื่อที่เขาเย้ยหยัน เหยียดหยาม เกลียดชัง ดูหมิ่น ไม่นับถือกันในชนบท
นั้นๆ นี้ชื่อว่าชื่อทราม.
                ชื่อว่า ชื่ออุกฤษฏ์ ได้แก่ชื่อที่เกี่ยวเนื่องด้วยพุทธะ ธัมมะ สังฆะ, ก็หรือชื่อที่เขา
ไม่เย้ยหยัน ไม่เหยียดหยาม ไม่เกลียดชัง ไม่ดูหมิ่น นับถือกันในชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่า
ชื่ออุกฤษฏ์.
                [๑๘๙] ที่ชื่อว่า โคตร ได้แก่วงศ์ตระกูล มี ๒ คือ วงศ์ตระกูลทราม ๑ วงศ์ตระกูล
อุกฤษฏ์ ๑.
                ที่ชื่อว่า วงศ์ตระกูลทราม ได้แก่วงศ์ตระกูลภารทวาชะ, ก็หรือวงศ์ตระกูลที่เขา
เย้ยหยัน เหยียดหยาม เกลียดชัง ดูหมิ่น ไม่นับถือกันในชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่าวงศ์ตระกูล
ทราม.
                ที่ชื่อว่า วงศ์ตระกูลอุกฤษฏ์ ได้แก่วงศ์ตระกูลโคตมะ วงศ์ตระกูลโมคคัลลานะ
วงศ์ตระกูลกัจจายนะ วงศ์ตระกูลวาเสฏฐะ, ก็หรือวงศ์ตระกูลที่เขาไม่เย้ยหยัน ไม่เหยียดหยาม
ไม่เกลียดชัง ไม่ดูหมิ่น นับถือกันในชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่า วงศ์ตระกูลอุกฤษฏ์.
                [๑๙๐] ที่ชื่อว่า การงาน ได้แก่งานที่ทำ มี ๒ คือ งานทราม ๑ งานอุกฤษฏ์ ๑.
                ที่ชื่อว่า งานทราม ได้แก่งานช่างไม้ งานเทดอกไม้, ก็หรืองานที่เขาเย้ยหยัน
เหยียดหยาม เกลียดชัง ดูหมิ่น ไม่นับถือกัน ในชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่างานทราม.
                ที่ชื่อว่า งานอุกฤษฏ์ ได้แก่ งานทำนา งานค้าขาย งานเลี้ยงโค, ก็หรืองานที่เขา
ไม่เย้ยหยัน ไม่เหยียดหยาม ไม่เกลียดชัง ไม่ดูหมิ่น นับถือกันในชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่า งาน
อุกฤษฏ์.
                [๑๙๑] ที่ชื่อว่า ศิลปะ ได้แก่วิชาการช่าง มี ๒ คือ วิชาการช่างทราม ๑ วิชาการ
ช่างอุกฤษฏ์ ๑.
                ที่ชื่อว่า วิชาการช่างทราม ได้แก่ วิชาการช่างจักสาน, วิชาการช่างหม้อ วิชาการ
ช่างหูก วิชาการช่างหนัง วิชาการช่างกัลบก, ก็หรือวิชาการช่างที่เขาเย้ยหยัน เหยียดหยาม
เกลียดชัง ดูหมิ่น ไม่นับถือกันในชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่าวิชาการช่างทราม.


                                                            หน้าที่ ๒๐๘

                ที่ชื่อว่า วิชาการช่างอุกฤษฏ์ ได้แก่วิชาการช่างนับ วิชาการช่างคำนวณ วิชาการ
ช่างเขียน, ก็หรือวิชาการช่างที่เขาไม่เย้ยหยัน ไม่เหยียดหยาม ไม่เกลียดชัง ไม่ดูหมิ่น
นับถือกันในชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่าวิชาการช่างอุกฤษฏ์.
                [๑๙๒] โรค แม้ทั้งปวง ชื่อว่าทราม, แต่โรคเบาหวาน ชื่อว่าโรคอุกฤษฏ์.
                [๑๙๓] ที่ชื่อว่า รูปพรรณ ได้แก่รูปพรรณมี ๒ คือ รูปพรรณทราม ๑ รูปพรรณ
อุกฤษฏ์ ๑.
                ที่ชื่อว่า รูปพรรณทราม คือ สูงเกินไป ต่ำเกินไป, ดำเกินไป ขาวเกินไป
นี้ชื่อว่ารูปพรรณทราม.
                ที่ชื่อว่า รูปพรรณอุกฤษฏ์ คือไม่สูงนัก ไม่ต่ำนัก ไม่ดำนัก ไม่ขาวนัก นี้ชื่อว่า
รูปพรรณอุกฤษฏ์.
                [๑๙๔] กิเลส แม้ทั้งปวง ชื่อว่าทราม.
                [๑๙๕] อาบัติ แม้ทั้งปวง ชื่อว่าทราม, แต่โสดาบัติ สมาบัติ ชื่อว่า อาบัติอุกฤษฏ์
                [๑๙๖] ที่ชื่อว่า คำด่า ได้แก่คำด่า มี ๒ คือ คำด่าทราม ๑ คำด่าอุกฤษฏ์ ๑.
                ที่ชื่อว่า คำด่าทราม ได้แก่คำด่าว่า เป็นอูฐ, เป็นแพะ, เป็นโค, เป็นลา, เป็น
สัตว์ดิรัจฉาน, เป็นสัตว์นรก, สุคติของท่านไม่มี, ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ, คำด่าว่าที่เกี่ยวด้วย
ยะอักษร ภะอักษร, หรือนิมิตของชายและนิมิตของหญิง นี้ชื่อว่าคำด่าทราม.
                ที่ชื่อว่า คำด่าอุกฤษฏ์ ได้แก่ คำด่าว่า เป็นบัณฑิต เป็นคนฉลาด เป็นนักปราชญ์
เป็นพหูสูต เป็นธรรมกถึก, ทุคติของท่านไม่มี, ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ, นี้ชื่อว่าคำด่าอุกฤษฏ์.
                                                อุปสัมบันด่าอุปสัมบัน
                                                พูดกดกระทบชาติ
                [๑๙๗] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้
อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติทรามคือ พูดกะอุปสัมบันชาติคน
จัณฑาล, ชาติคนจักสาน, ชาติพราน, ชาติคนช่างหนัง, ชาติคนเทดอกไม้, ว่าเป็น
ชาติคนจัณฑาล, ว่าเป็นชาติคนจักสาน, ว่าเป็นชาติพราน, ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง, ว่าเป็น
ชาติคนเทดอกไม้, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.


                                                            หน้าที่ ๒๐๙

                [๑๙๘] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้
อัปยศ พูดกะอุปสัมบันกำเนิดอุกฤษฏ์ด้วยกล่าวกระทบชาติทราม คือ พูดกะอุปสัมบันกำเนิด
กษัตริย์, กำเนิดพราหมณ์, ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล, ว่าเป็นชาติคนจักสาน, ว่าเป็นชาติพราน,
ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง, ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
                                                พูดประชดกระทบชาติ
                [๑๙๙] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้
อัปยศ พูดกะอุปสัมบันกำเนิดทรามด้วยกล่าวกระทบชาติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันกำเนิดคน
จัณฑาล, กำเนิดคนจักสาน, กำเนิดพราน, กำเนิดคนช่างหนัง กำเนิดคนเทดอกไม้
ว่าเป็นชาติกษัตริย์, ว่าเป็นชาติพราหมณ์, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
                                                พูดยกยอกระทบชาติ
                [๒๐๐] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้
อัปยศ พูดกะอุปสัมบันกำเนิดอุกฤษฏ์ด้วยกล่าวกระทบชาติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันกำเนิด
กษัตริย์ กำเนิดพราหมณ์ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น
ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
                                                พูดกดกระทบชื่อ
                [๒๐๑] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้
อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีชื่อทรามด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือ พูดกะอุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ
ชวกัณณกะ ชื่อธนิฏฐกะ ...  ชื่อสวิฏฐกะ ...  ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่านอวกัณณะ ว่าท่าน
ชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฏฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ทุกๆ คำพูด
                                                พูดกดให้เลวกระทบชื่อ
                [๒๐๒] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้
อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีชื่ออุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือ พูดกะอุปสัมบันชื่อ
พุทธรักขิต ...  ชื่อธัมมรักขิต ...  ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านอวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ
ว่าท่านธนิฏฐกะ สวิฏฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.


                                                            หน้าที่ ๒๑๐

                                                พูดประชดกระทบชื่อ
                [๒๐๓] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้
อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่ออุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันชื่อ
อวกัณณกะ ...  ชื่อชววัณณกะ ...  ชื่อธนิฏฐกะ ...  ชื่อสวิฏฐกะ ...  ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่านพุทธ
รักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
                                                พูดยกยอกระทบชื่อ
                [๒๐๔]  อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้
อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีชื่ออุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่ออุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันชื่อ
พุทธรักขิต ...  ชื่อธัมมรักขิต ...  ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่าน
สังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์  ทุกๆ คำพูด.
                                                พูดกดกระทบโคตร
                [๒๐๕] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้
อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีโคตรทรามด้วยกล่าวกระทบโคตรทราม คือพูดกะอุปสัมบันโกสิยโคตร,
ภารทวาชโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ทุกๆ คำพูด.
                                                พูดกดให้เลวกระทบโคตร
                [๒๐๖] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้
อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีโคตรอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโคตรทราม คือ พูดกะอุปสัมบัน-
โคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร
ว่าท่านภารทวาชโคตร, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
                                                พูดประชดกระทบโคตร
                [๒๐๗] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้
อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีโคตรทรามด้วยกล่าวกระทบโคตรอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบัน
โกสิยโคตร ...  ภารทวาชโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่านโมคคัลลานโคตร ว่าท่าน
กัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘