พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๓ ภิกขุนีวิภังค์ หน้า 131-135

                                                            หน้าที่ ๑๓๑

                                อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๙
                                เรื่องภิกษุณีจัณฑกาลี
                [๒๑๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถ
บิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุณีทั้งหลายหาบริขารของตนไม่พบ ต่างก็ถาม
ภิกษุณีจัณฑกาลีดังนี้ว่า แม่เจ้า ท่านเห็นบริขารของพวกดิฉันบ้างไหม?
                ภิกษุณีจัณฑกาลีเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ข้าพเจ้าคนเดียวเป็นโจรแน่ละ ข้าพเจ้า
คนเดียวเป็นคนไม่ละอายแน่ละ เพราะแม่เจ้าพวกที่หาบริขารของตนไม่พบ ต่างก็มากล่าวอย่างนี้
กะข้าพเจ้าว่า แม่เจ้า ท่านเห็นบริขารของพวกดิฉันบ้างไหม แม่เจ้าทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้าถือเอา
บริขารของพวกท่านไป ข้าพเจ้าก็มิใช่สมณะ ย่อมเคลื่อนจากพรหมจรรย์ ต้องตกนรก แม้แม่เจ้า
ที่กล่าวอย่างนั้นกะข้าพเจ้าด้วยคำไม่จริง ก็ขอให้เป็นไม่ใช่สมณะ ต้องเคลื่อนจากพรหมจรรย์ต้อง
ตกนรก.
                บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ...  ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้า
จัณฑกาลีจึงได้แช่งตนและคนอื่นด้วยนรกบ้าง ด้วยพรหมจรรย์บ้างเล่า ...
                                ทรงสอบถาม
                พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีจัณฑกาลี
แช่งตนและคนอื่น ด้วยนรกบ้าง ด้วยพรหมจรรย์บ้าง จริงหรือ?
                ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
                                ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
                พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจัณฑกาลีจึงได้แช่งตน
และคนอื่น ด้วยนรกบ้าง ด้วยพรหมจรรย์บ้างเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความ
เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ...
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:
                                พระบัญญัติ
                ๗๔. ๙. อนึ่ง ภิกษุณีใด แช่งตนก็ดี ตนอื่นก็ดี ด้วยนรก หรือด้วยพรหมจรรย์
เป็นปาจิตตีย์.
                                เรื่องภิกษุณีจัณฑกาลี จบ.


                                                            หน้าที่ ๑๓๒

                                สิกขาบทวิภังค์
                [๒๑๔] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
                บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ...  นี้ชื่อว่า ภิกษุณี
ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
                บทว่า ตน คือ ตัวของตัวเอง.
                บทว่า คนอื่น ได้แก่ อุปสัมบัน แช่ง ด้วยคำว่านรกก็ดี ด้วยคำว่า พรหมจรรย์ก็ดี
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                                บทภาชนีย์
                                ติกะปาจิตตีย์
                [๒๑๕] อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน แช่งด้วยนรกก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                อุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย แช่งด้วยนรกก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์.
                อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน แช่งด้วยนรกก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์.
                                ปัญจกะทุกกฏ
                ภิกษุณีแช่งด้วยคำว่ากำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็ดี ด้วยคำว่าเปรตวิสัยก็ดี ด้วยคำว่าเป็นคน
โชคร้ายก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
                แช่งอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
                อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
                อนุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.
                อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
                                อนาปัตติวาร
                [๒๑๖] มุ่งอรรถ ๑ มุ่งธรรม ๑ มุ่งสั่งสอน ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
                                อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.


                                                            หน้าที่ ๑๓๓

                                อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๑๐
                                เรื่องภิกษุณีจัณฑกาลี
                [๒๑๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถ
บิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุณีจัณฑกาลีทะเลาะกับภิกษุณีทั้งหลาย แล้ว
ร้องไห้ประหารตนเอง.
                บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้า
จัณฑกาลีจึงได้พร่ำตีตนแล้วร้องไห้เล่า.
                                ทรงสอบถาม
                พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีจัณฑกาลี
พร่ำตีตนแล้วร้องไห้ จริงหรือ?
                ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
                                ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
                พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจัณฑกาลีจึงได้พร่ำตี
ตนแล้วร้องไห้เล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ...
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:
                                พระบัญญัติ
                ๗๕. ๑๐. อนึ่ง ภิกษุณีใด พร่ำตีตนแล้วร้องไห้ เป็นปาจิตตีย์.
                                เรื่องภิกษุณีจัณฑกาลี จบ.
                                สิกขาบทวิภังค์
                [๒๑๘] บทว่า อนึ่ง  ...  ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
                บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่
ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
                บทว่า ตน คือ ร่างกายของตน.
                พร่ำตี แล้วร้องไห้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                ตี ไม่ร้องไห้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
                ร้องไห้ ไม่ตี ต้องอาบัติทุกกฏ


                                                            หน้าที่ ๑๓๔

                                อนาปัตติวาร
                [๒๑๙] อันความเสื่อมแห่งญาติ อันความวอดวายแห่งโภคะ หรืออันความเบียดเบียน
แห่งโรคกระทบกระทั่ง จึงร้องไห้ ไม่ตีตน ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
                                อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ.
                                ปาจิตตีย์วรรค ๒ จบ.
                                ______________


                                                            หน้าที่ ๑๓๕

                                ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๓
                                นัคควรรค สิกขาบทที่ ๑
                                เรื่องภิกษุณีหลายรูป
                [๒๒๐] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของ
อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุณีหลายรูปเปลือยกายอาบน้ำในแม่น้ำอจิรวดี
ท่าเดียวกันกับพวกหญิงแพศยา. พวกหญิงแพศยาได้พูดยั่วเย้าภิกษุณีเหล่านั้นว่า แม่เจ้าทั้งหลาย
พวกท่านยังเป็นสาว จะประพฤติพรหมจรรย์ไปทำไมกัน ธรรมดาบุคคลต้องบริโภคกามมิใช่หรือ
ต่อภายแก่พวกท่านจึงค่อยประพฤติพรหมจรรย์เถิด อย่างนี้พวกท่านจักได้รับประโยชน์ทั้งสองประการ
พวกภิกษุณีถูกพวกหญิงแพศยาพูดยั่วเย้าอยู่ ได้เป็นผู้เก้อเขิน ครั้นกลับไปสู่สำนักแล้ว ได้เล่าเรื่อง
นั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย ภิกษุณีทั้งหลายได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาค.
                                ทรงบัญญัติสิกขาบท
                ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุ
แรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติ
สิกขาบทแก่ภิกษุณีทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ ...
เพื่อถือตามพระวินัย ๑.
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:
                                พระบัญญัติ
                ๗๖. ๑. อนึ่ง ภิกษุณีใด เปลือยกายอาบน้ำ เป็นปาจิตตีย์.
                                เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ.
                                สิกขาบทวิภังค์
                [๒๒๑] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
                บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณี
ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘