พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒ หน้า 076-080

                                                            หน้าที่ ๗๖

                                                เรื่องเจ้าลิจฉวีชาวพระนครเวสาลี
                [๗๗] นางอัมพปาลีหญิงงามเมืองได้ทราบข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จมาโดยลำดับถึง
ตำบลบ้านโกฏิแล้ว จึงให้จัดยวดยานที่งามๆ แล้วขึ้นสู่ยวดยานที่งามๆ มียวดยานที่งามๆ ออก
ไปจากพระนครเวสาลี เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค ไปด้วยยวดยานตลอดพื้นที่ที่ยวดยานจะไปได้
แล้วลงจากยวดยานเดินด้วยเท้าเข้าไปถึงพุทธสำนัก ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้นั่งอยู่
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้นางเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วย
ธรรมีกถา ครั้นนางอัมพปาลีคณิกา อันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ
ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า ขอพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วย
พระสงฆ์ ทรงพระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของหม่อมฉันเพื่อเจริญบุญกุศลและปิติปราโมทย์ใน
วันพรุ่งนี้ พระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนาโดยดุษณีภาพ ครั้นนางทราบพระอาการที่ทรงรับอาราธนา
แล้ว ลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วกลับไป.
                พวกเจ้าลิจฉวีชาวพระนครเวสาลี ได้ทรงสดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จมาโดยลำดับ
ถึงตำบลบ้านโกฏิแล้ว จึงพากันจัดยวดยานที่งามๆ เสด็จขึ้นสู่ยวดยานที่งามๆ มียวดยานที่งามๆ
ออกไปจากพระนครเวสาลี เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค เจ้าลิจฉวีบางพวกเขียว คือ มีพระฉวีเขียว
ทรงวัตถาลังการเขียว บางพวกเหลือง คือ มีพระฉวีเหลือง ทรงวัตถาลังการเหลือง บางพวกแดง
คือ มีพระฉวีแดง ทรงวัตถาลังการแดง บางพวกขาว คือ มีพระฉวีขาว ทรงวัตถาลังการขาว
                ขณะนั้น นางอัมพปาลีคณิกา ทำให้งอนรถกระทบงอนรถ แอกกระทบแอก ล้อกระทบ
ล้อ เพลากระทบเพลา ของเจ้าลิจฉวีหนุ่มๆ จึงเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นได้ตรัสถามนางว่า แม่อัมพปาลี
เหตุไฉนเธอจึงได้ทำให้งอนรถกระทบงอนรถ แอกกระทบแอก ล้อกระทบล้อ เพลากระทบเพลา
ของเจ้าลิจฉวีหนุ่มๆ ของพวกเราเล่า?
                อัม. จริงอย่างนั้น พ่ะยะค่ะ เพราะหม่อมฉันได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
เพื่อเจริญบุญกุศลและปิติปราโมทย์ในวันพรุ่งนี้.
                ลิจ. แม่อัมพปาลี เธอจงให้ภัตตาหารมื้อนี้แก่พวกฉัน ด้วยราคาแสนกษาปณ์เถิด.


                                                            หน้าที่ ๗๗

                อัม. แม้ว่าฝ่าพระบาท จึงพึงประทาน พระนครเวสาลีพร้อมทั้งชนบทแก่หม่อมฉัน
หม่อมฉันก็ถวายภัตตาหารมื้อนั้นไม่ได้ พ่ะยะค่ะ.
                จึงเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นได้ทรงดีดพระองคุลีตรัสว่า ท่านทั้งหลาย พวกเราแพ้แม่อัมพปาลี
แล้ว ท่านทั้งหลาย พวกเราแพ้แม่อัมพปาลีแล้ว จึงพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค. พระผู้มี
พระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นกำลังเสด็จมาแต่ไกล ครั้นแล้วรับสั่งกะภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใดไม่เคยเห็นเทพเจ้าชั้นดาวดึงส์ก็จงแลดูพวกเจ้าลิจฉวี
พิจารณาดู เทียบเคียงดู พวกเจ้าลิจฉวีกับพวกเทพเจ้าชั้นดาวดึงส์เถิด จึงเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นได้
เสด็จไปด้วยยวดยาน ตลอดพื้นที่ที่ยวดยานจะไปได้ แล้วเสด็จลงจากยวดยานทรงดำเนินด้วย
พระบาท เข้าไปถึงพุทธสำนัก ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ประทับนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น ทรงเห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วย
ธรรมีกถา จึงเจ้าลิจฉวีเหล่านั้น อันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริง
ด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคว่า ขอพระองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ทรง
พระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของพวกข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเจริญบุญกุศล และปิติปราโมทย์ ใน
วันพรุ่งนี้ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
                พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรลิจฉวีทั้งหลาย อาตมารับนิมนต์ฉันภัตตาหารของนาง
อัมพปาลีคณิกา เพื่อเจริญบุญกุศล และปิติปราโมทย์ ในวันพรุ่งนี้แล้ว.
                เจ้าลิจฉวีเหล่านั้นทรงดีดองคุลีแล้วตรัสในทันใดนั้นว่า ท่านทั้งหลาย พวกเราแพ้นาง
อัมพปาลีคณิกาแล้ว ท่านทั้งหลาย พวกเราแพ้นางอัมพปาลีคณิกาแล้ว และได้ทรงเพลิดเพลิน
ยินดีตามภาษิตของพระผู้มีพระภาค เสด็จลุกจากที่ประทับถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทรงทำ
ประทักษิณ แล้วเสด็จกลับ.
                                                นางอัมพปาลี ถวายอัมพปาลีวัน
                ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ตำบลบ้านโกฏิตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จพระ
พุทธดำเนินไปทางเมืองนาทิกา ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ที่พระตำหนักตึก เขตเมืองนาทิกานั้น.
                ส่วนนางอัมพปาลีคณิกา สั่งให้ตกแต่งของเคี้ยวของฉันอันประณีต ในสวนของตนโดย
ผ่านราตรีนั้น แล้วให้คนไปกราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ถึงเวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
ภัตตาหารเสร็จแล้ว.


                                                            หน้าที่ ๗๘

                ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเสด็จ
พระพุทธดำเนินไปสู่สถานที่อังคาสของนางอัมพปาลีคณิกา ครั้นถึงแล้ว ประทับนั่งเหนือพระพุทธ-
อาสน์ที่เขาจัดถวาย พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จึงนางอัมพปาลีคณิกา อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้า
เป็นประมุข ด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วยมือของตน จนพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จ
แล้ว ทรงนำพระหัตถ์ออกจากบาตร ห้ามภัตรแล้ว ได้นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง นางได้
กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า หม่อมฉันขอถวายสวนอัมพปาลีวันนี้ แก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้า
เป็นประมุข พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคทรงรับเป็นสังฆารามแล้ว ครั้นแล้วพระองค์ทรง
ชี้แจงให้นางอัมพปาลีเห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา เสร็จลุกจากพระพุทธอาสน์
แล้ว เสด็จพระพุทธดำเนินไปทางป่ามหาวัน ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่า
มหาวัน เขตพระนครเวสาลีนั้น.
                                                เรื่องเจ้าลิจฉวีชาวพระนครเวสาลี จบ.
                                                                ลิจฉวีภาณวาร จบ.
                                                                _________________
                                                                เรื่องสีหะเสนาบดี
                                                ดำริเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค
                [๗๘] ก็โดยสมัยนั้นแล เจ้าลิจฉวีบรรดาที่มีชื่อเสียง มีคนรู้จัก นั่งประชุมพร้อมกัน
ณ ท้องพระโรง ต่างพากันตรัสสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ โดยอเนก
ปริยาย และเวลานั้น สีหะเสนาบดีสาวกของนิครนถ์ นั่งอยู่ในที่ประชุมนั้นด้วย จึงคิดว่า
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นจักเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยไม่ต้องสงสัยเลย คงเป็น
ความจริง เจ้าลิจฉวีบรรดาที่มีชื่อเสียง มีคนรู้จักเหล่านี้จึงได้นั่งประชุมพร้อมกัน ณ ท้องพระโรง
ต่างพากันตรัสสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณโดยอเนกปริยาย ถ้ากระไร
เราพึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น แล้วจึงได้เข้าไปหานิครนถ์


                                                            หน้าที่ ๗๙

นาฏบุตรถึงสำนัก ครั้นแล้วให้นิครนถ์นาฏบุตร นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งและได้แจ้งความ
ประสงค์นี้ แก่นิครนถ์นาฏบุตรว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าอยากจะไปเฝ้าพระสมณโคดม.
                                                                อกิริยวาทกถา
                นิครนถ์นาฏบุตรพูดค้านว่า ท่านสีหะ ก็ท่านเป็นคนกล่าวการทำ ไฉนจึงจักไปเฝ้า
พระสมณโคดมผู้เป็นคนกล่าวการไม่ทำเล่า เพราะพระสมณโคดมเป็นผู้กล่าวการไม่ทำ ทรงแสดง
ธรรมเพื่อการไม่ทำ และทรงแนะนำสาวกตามแนวนั้น.
                ขณะนั้น ความตระเตรียมในอันจะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคของสีหะเสนาบดีได้เลิกล้มไป.
                แม้ครั้งที่สอง ....
                แม้ครั้งที่สาม เจ้าลิจฉวีบรรดาที่มีชื่อเสียง มีคนรู้จักได้นั่งประชุมพร้อมกัน ณ ท้อง
พระโรง ต่างพากันตรัสสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ โดยอเนกปริยาย
ท่านสีหะเสนาบดีก็ได้คิดเป็นครั้งที่สามว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น จักเป็นพระอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้า โดยไม่ต้องสงสัยเลย คงเป็นความจริง เจ้าลิจฉวีบรรดาที่มีชื่อเสียง มีคน
รู้จักเหล่านี้ จึงได้มานั่งประชุมพร้อมกัน ณ ท้องพระโรง ต่างพากันตรัสสรรเสริญพระพุทธคุณ
พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ โดยอเนกปริยาย ก็พวกนิครนถ์ เราจะบอกหรือไม่บอกจักทำอะไร
แก่เรา ผิฉะนั้น เราจะไม่บอกพวกนิครนถ์ ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์นั้นเลยทีเดียว จึงเวลาบ่าย สีหะเสนาบดีออกจากพระนครเวสาลีพร้อมด้วยรถ ๕๐๐ คัน
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคไปด้วยยวดยานตลอดพื้นที่ที่ยวดยานจะผ่านไปได้ แล้วลงจากยวดยานเดิน
เข้าไปถึงพุทธสำนัก ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง สีหะเสนาบดี
นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลเรื่องนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า
                พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าทราบมาว่า พระสมณโคดมกล่าวการไม่ทำ ทรงแสดง
ธรรมเพื่อการไม่ทำ และทรงแนะนำสาวกตามแนวนั้น บุคคลจำพวกที่กล่าวอย่างนี้ว่า พระ
สมณโคดมกล่าวการไม่ทำ ทรงแสดงธรรมเพื่อการไม่ทำ และทรงแนะนำสาวกตามแนวนั้น
ดังนี้นั้น ได้กล่าวตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว ไม่กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำอันไม่เป็นจริง
กล่าวอ้างเหตุสมควรแก่เหตุ และถ้อยคำที่สมควรพูดบางอย่างที่มีเหตุผล จะไม่มาถึงฐานะที่
วิญญูชนจะพึงติเตียนบ้างหรือ เพราะข้าพระพุทธเจ้าไม่ประสงค์จะกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเลย
พระพุทธเจ้าข้า.


                                                            หน้าที่ ๘๐

                                                                พระพุทธดำรัสตอบ
                [๗๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า มีอยู่จริง สีหะ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะ-
โคดมกล่าวการไม่ทำ แสดงธรรมเพื่อการไม่ทำ และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่า
กล่าวถูก.
                มีอยู่จริง สีหะ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม กล่าวการทำแสดงธรรมเพื่อ
การทำ และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก.
                มีอยู่จริง สีหะ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมกล่าวความขาดสูญ แสดง
ธรรมเพื่อความขาดสูญ และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก.
                มีอยู่จริง สีหะ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมช่างรังเกียจ แสดงธรรมเพื่อ
ความรังเกียจ และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก.
                มีอยู่จริง สีหะ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมช่างกำจัด แสดงธรรมเพื่อความ
กำจัด และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก.
                มีอยู่จริง สีหะ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมช่างเผาผลาญ แสดงธรรมเพื่อ
ความเผาผลาญ และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก.
                มีอยู่จริง สีหะ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมไม่ผุดเกิด แสดงธรรมเพื่อ
ความไม่ผุดเกิด และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก.
                มีอยู่จริง สีหะ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมกล่าวเป็นผู้เบาใจ แสดงธรรม
เพื่อความเบาใจ และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก.
                ดูกรสีหะ ก็เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมกล่าวการไม่ทำ แสดงธรรมเพื่อการ
ไม่ทำ และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูกนั้นเป็นอย่างไร ดูกรสีหะ เพราะ
เรากล่าวการไม่ทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เรากล่าวการไม่ทำสิ่งที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง
นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมกล่าวการไม่ทำ แสดงธรรมเพื่อการไม่ทำ และ
แนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก.
                ดูกรสีหะ อนึ่ง เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมกล่าวการทำแสดงธรรมเพื่อ
การทำ และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูกนั้น เป็นอย่างไร ดูกรสีหะ เพราะ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘