จตุธาตุววัตถานะ

                  ศัพท์นี้  แปลว่า  กำหนดธาตุ  ๔  กัมมัฏฐานนี้  เป็นคู่ปรับแก่วิจิกิจฉา  วิจิกิจฉามีปกติให้ลังเลไม่แน่ใจลงได้  ส่วนกัมมัฏฐานนี้มีปกติให้กำหนดรู้โดยสภาวะ  คนผู้ไม่กำหนดรู้โดยสภาวะ  ไม่รู้จักสิ่งนั้น ๆ  โดยความเป็นจริงอย่างไร  จึงมีสงสัย  เมื่อเข้าใจตามจริงแล้ว  ก็สิ้นสงสัยไปได้อย่างหนึ่ง ๆ  พระอาจารย์เจ้าแสดงกัมมัฏฐานนี้ไว้  ก็เพื่อจะให้เข้าใจความเป็นจริงของร่างกาย  เป็นอุบายกำหนดรู้สภาวธรรมอย่างหนึ่ง  เป็นเหตุออกไปกำหนดสภาวธรรมอย่างอื่นได้อีก
                  สาธุชนผู้จะเจริญกัมมัฏฐานนี้  พึงกำหนดรู้จักธาตุและสังขารก่อน  สภาวะที่มีอยู่โดยธรรมดาอันจะแยกออกไปอีกไม่ได้  เรียกว่าธาตุ  ธาตุเหล่านั้น  คุมกันเข้าเองโดยธรรมดา      หรือมนุษย์ปรุงขึ้นเรียกว่าสังขาร  แสดงอุทาหรณ์พอเป็นตัวอย่าง  เช่นกระดูก  เนื้อ  เลือด    ความอุ่นและลมอากาศ  ถ้าไม่ประสงค์จะกล่าวให้ละเอียดต่อไป  เป็นธาตุละอย่าง ๆ  ร่างกายคือประชุมธาตุเหล่านี้  เป็นสังขาร  ฝ้ายและสีเป็นสัมภาระอันหนึ่ง ๆ  ดุจเดียวกับธาตุ  ผ้าที่คนเอาฝ้ายมาปั่นให้เป็นด้ายย้อมด้วยสีแล้วทอขึ้นนั้น  เป็นสังขาร  ธาตุหรือสัมภาระที่แสดงมาเป็นอุทาหรณ์นั้น  ยังเรี่ยราดกระจัดกระจายกำหนดรู้ยาก  นักปราชญ์จึงได้ย่นให้สั้นเข้า  เพื่อกำหนดรู้ง่าย    ครั้งโบราณท่านจัดธาตุที่เป็นส่วนรูป  ๔  กระดูกก็ดี  เนื้อก็ดี  ฝ้ายก็ดี  สีก็ดี  ดังกล่าวไว้ในอุทาหรณ์ข้างต้นนั้น  ท่านรวมเรียกเป็นธาตุอันเดียวว่าปฐวีหรือดิน  ด้วยเหตุว่าธาตุเหล่านั้น    แม้จะปรากฏว่าต่างกันโดยชนิด  ก็ยังจัดว่าเป็นอันเดียวกันเข้าได้โดยลักษณะ  คือ  ความเป็นของแข็ง  ส่วนเลือด  เหงื่อ  มัน  ท่านจัดเป็นธาตุอันเดียวกันกับน้ำ  เรียกอาโป  เพราะเป็นของเหลวเหมือนกัน  ไออุ่นแห่งร่างกาย  ความร้อนที่เกิดแต่ของเสียดสีกัน  เกิดแต่ไฟฟ้า  เกิดแต่แสงแดดแห่งดวงอาทิตย์  ท่านจัดเป็นธาตุอันเดียวกันกับไฟ  เรียกว่าเตโช  เพราะมีความร้อนเป็นลักษณะเหมือนกัน  ลมอันพัดมาแต่ทิศนั้น ๆ  ตามฤดู  พายุใหญ่อันตั้งขึ้นเป็นครั้งเป็นคราว  และลมอันเดินอยู่ในร่างกายของสัตว์  ท่านจัดรวมเข้าเป็นธาตุอันเดียวกัน  เรียกว่าวาโย  เพราะมีความพัดเป็นลักษณะเหมือนกัน
                  ครั้งโบราณนักปราชญ์จัดธาตุอันเป็นส่วนรูปเป็น  ๔  อย่างนี้  ดังมาในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน  หมวดธาตุในมหาสติปัฏฐานสูตร  ต่อนั้นมา  รู้จักธาตุขึ้นอีกอย่างหนึ่งซึ่งเรียกว่าอากาศ  ธาตุนี้กำหนดรู้ได้ยาก  เพราะเป็นของสุขุม  ไม่เห็นได้ด้วยจักษุ  อาจจะรู้ได้ด้วยสัมผัส    แต่ก็ยังรู้ได้ยากเหมือนกัน  ในที่ว่างเป็นช่อง  ไม่ว่าเล็กไม่ว่าใหญ่  อากาศย่อมเดินเข้าขังอยู่เต็มทั้งนั้น  แต่เพราะเป็นธาตุเบาและขยายตัว  คนเดินไม่รู้สึกปะทะ  ซ้ำเป็นอุปการะแก่ชีวิตของสัตว์ด้วย  ทั้งมนุษย์ทั้งสัตว์ดิรัจฉานหายใจสูดอากาศเข้าไปปรุงโลหิตสำเร็จเป็นไออุ่น ถ้าใครจะรู้จักธาตุนี้      พึงเอากระบอกกรองน้ำ  ลองกรองน้ำดูในห้องไว้น้ำที่สงัดลมในคราวแรกเอานิ้วมืออุดท่อข้างบนกระบอกเสีย  จุ่มปากกระบอกลงไปในน้ำ  คงจะรู้สึกว่าน้ำเข้าไปหน่อยหนึ่ง  แล้วมีอะไรปะทะอยู่    นั่นคือ  อากาศนี้เองอันเข้าขังอยู่ในกระบอก  น้ำเข้าไปได้หน่อยหนึ่งนั้นเพราะอากาศต้องปะทะน้ำ    อัดตัวเข้า  น้ำเข้าไปอีกไม่ได้นั้น  เพราะอากาศอัดตัวเต็มที่แล้วปะทะอยู่  คราวนี้เปิดนิ้วมือจากท่อข้างบนแต่วางไว้ตรงปากท่อ  จุ่มกระบอกลงไปอีก  คงรู้สึกว่าน้ำเข้าไปได้อีก  ในขณะเดียวกันนิ้วมือได้รับสัมผัสเย็นฉิว ๆ  ขึ้นมาจากท่อ  ธาตุที่ขึ้นมาถูกนิ้วมือนี้คืออากาศ  อีกอย่างหนึ่ง  ขณะที่ไปในยานที่แล่นโดยเร็วได้สัมผัสลมเป็นอันมาก  แต่ข้างทาง ต้นไม้นิ่งอยู่ ไม่ไหว  ลมที่กระทบวู่ ๆ   นั้น  อากาศนี้เอง  ยานเดินโดยเร็วปะทะอากาศโดยแรงจนรู้สึกสัมผัส  หากจะเดินด้วยเท้าก็ไม่รู้สึก     ท่านพบอากาศธาตุเข้าแล้วจึงได้เติมขึ้นอีกอย่างเป็นธาตุ  ๕  ดังแสดงไว้ในจุลลราหุโลวาทสูตร    แต่นักปราชญ์ในชั้นหลังกล่าวว่า  วาโยกับอากาศเป็นธาตุเดียวกัน  วาโยก็คืออากาศที่เดินกำลังแรงนั้นเอง  ข้อนี้เป็นความจริงอุดหนุนการจัดธาตุ  ๔  ของเดิม  ให้มั่นเข้า  ในที่นี้จักกล่าวเป็นธาตุ    ๔  พอสมแก่ชื่อของกัมมัฏฐานบทนี้
                  ธาตุ  ๔  คือ  ปฐวี  อาโป  เตโช  วาโย  นี้  มีทั้งภายนอกภายใน  ธาตุภายนอก    เช่น  ภูเขา  แม่น้ำ  กองไฟ  ลมพัด  โดยลำดับกัน  ธาตุเป็นภายในนั้น  คือ  ที่คุมเข้าเป็นร่างกายของสัตว์  ส่วนที่แข้นที่แข็งมี  ผม  ขน  เล็บ  ฟัน  หนัง  เนื้อ  เอ็น  กระดูก  เป็นต้น  เป็นปฐวีธาตุ  ส่วนที่เหลวไม่แข้นเหมือนปฐวี  เอิบอาบอยู่ในปฐวี  รักษาปฐวีให้สดอยู่  เช่น  โลหิต  มันข้น    มันเปลว  และเหงื่อเป็นต้น  เป็นอาโปธาตุ  ส่วนที่ร้อนอบอุ่นรักษาปฐวีไม่ให้เน่า  คือไออุ่นเกิดแต่หายใจสูดอากาศเข้าไปปรุงโลหิตที่เป็นไปโดยปกติ  หรือที่แรงจัดขึ้นในเวลาเป็นไข้  ความร้อนที่เกิดขึ้นเพราะร่างกายบดฝน  และแรงในอาโปธาตุสำหรับละลายอาหาร  เป็นเตโชธาตุ  ส่วนที่พัดไปมาเป็นเครื่องค้ำจุนปฐวี  มีลมพัดขึ้นพัดลง  และอากาศอันขังอยู่ในช่องว่างแห่งร่างกายแรงขับโลหิตให้เดินและแรงสูบอากาศเข้าไปและขับออก  (คือหายใจ)  เป็นวาโยธาตุ  ธาตุทั้ง  ๔  นี้คุมกันเป็นร่างกายฉันใด  ในส่วนอันหนึ่ง ๆ  แห่งร่างกายก็มีธาตุเหล่านี้เจือกันอยู่ฉันนั้น  เช่น  น้ำย่อมมีอยู่ในเนื้อ  น้ำมันมีอยู่ในกระดูก  แต่เพราะเป็นของมีอยู่น้อยไม่ถึงซึ่งอันนับ  จึงเรียกแต่ธาตุที่มีมาก
              มีคำถามสอดเข้ามาว่า  อย่างไรร่างกายนี้จึงเดินได้พูดได้  ทำอะไรได้ต่าง  ๆ  แปลกจากรูปตุ๊กตาที่เขาปั้นไว้  มีคำแก้ว่า  จะอธิบายละเอียดก็จะยืดยาว  ขอกล่าวแต่เพียงว่า  เกิดเพราะความพร้อมมูลปรองดองกัน  ตุ๊กตากลยังรู้จักเดินได้  หีบเสียงยังรู้จักพูดได้  เครื่องจักรยังเลื่อยไม้หรือสีข้าวได้  เป็นอะไรสังขารมีวิญญาณครองจะทำไม่ได้  ความพร้อมมูลปรองดองแห่งธาตุทั้ง   นั้น  เกิดกำลังหรืออำนาจอันสำคัญขึ้นอย่างหนึ่ง  ซึ่งเรียกว่า  มโน  และแปลว่าใจ  มโนนี้มีสายอยู่  ๕  สาย  เรียกว่าวิถี  ที่ปากหรือที่ปลายแห่งสายเหล่านี้เรียกว่าทวาร  คือ  นัยน์ตาเรียกว่าจักขุ  ๑  หู  เรียกว่าโสตะ  ๑  จมูก  เรียกว่าฆานะ  ๑  ลิ้นเรียกชิวหา  ๑  กาย  ๑   จักษุเห็นรูป  โสตะฟังเสียง  ฆานะสูบกลิ่น   ชิวหาลิ้มรส   กายถูกต้องโผฏฐัพพะแล้ว  มโนได้รับความรู้สึกทางวิถีทั้ง  ๕  นี้  รูป  เสียง  กลิ่น  รส  โผฏฐัพพะ  อันเป็นเหมือนเงาฉายมาปรากฏแก่มโนเรียกธรรมหรือ  ธรรมารมณ์  แล้วมโนสั่งไปตามวิถีแห่งกาย  หรือตามวิถีอื่นในอวัยวะทำกิจนั้น ๆ     เพ่งความรู้ที่มโนได้รับทางทวาร  ๕  ท่าน  เรียกจักขุวิญญาณบ้าง  โสตวิญญาณบ้าง  ฆานวิญญาณบ้าง  ชิวหาวิญญาณบ้าง  กายวิญญาณบ้าง  เพ่งความรู้ของมโนเอง  เรียกมโนวิญญาณ.      เหล่านี้เรียกธาตุละอย่าง ๆ  ที่เป็นทวาร  ๖  ที่เป็นอารมณ์  ๖  ที่เป็นวิญญาณ  ๖  รวมเป็น  ๑๘   ท่านย่นให้สั้นเข้าอีกเป็น  ๑  เรียกวิญญาณธาตุ  เติมเข้ากับธาตุ  ๕  ซึ่งเป็นรูป   รวมเรียกว่า    ธาตุ  ๖  ดังแสดงไว้ในธาตุวิภังคสูตร  ธาตุ  ๖  นี้  สงเคราะห์เข้าทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม
                  การแจกธาตุเป็นต่าง ๆ  นั้น  เป็นไปตามความเข้าใจของนักปราชญ์ในยุคหนึ่ง ๆ      จะเอาเป็นยืนที่ไม่ได้  แต่ผลของการแจกธาตุให้กำหนดรู้นั้น  คือ  นำให้เข้าใจว่า  สภาวะที่เป็นรูปธรรมน้อย ๆ  รวมกันเข้าเป็นรูปใหญ่ขึ้นโดยลำดับ  สภาวะที่เป็นนามธรรม  เกิดเพราะความพร้อมมูลปรองดองแห่งรูปธรรม  นี้ควรจับเป็นหลักในกัมมัฏฐานนี้
                  สาธุชนผู้เจริญกัมมัฏฐานนี้   เข้าใจธาตุและสังขารโดยลักษณะและประเภทอย่างนี้แล้ว    พึงนึกถึงกายนี้อันธาตุทั้ง  ๔  คุมกันเข้า  โดยบทบาลีว่า  อตฺถิ  อิมสฺมึ  กาเย  ปฐวีธาตุ      อาโปธาตุ  เตโชธาตุ  วาโยธาตุ   แปลว่า  มีอยู่ในกายนี้  ธาตุดิน  ธาตุน้ำ  ธาตุไฟ  ธาตุลม        ในชั้นแรกนึกถึงธาตุใด  ควรกำหนดลักษณะ  หรือแม้ประเภทด้วย  ครั้นชำนาญแล้ว  นึกเพียงแต่ชื่อธาตุ  ลักษณะและประเภทก็จะปรากฏเอง  ในสมัยใด  ปลงใจเห็นลงเป็นธาตุคุมกัน  ในสมัยนั้นเป็นอันได้ผลที่มุ่งหมายแห่งกัมมัฏฐานนี้
                  กัมมัฏฐานนี้  เป็นที่สบายแก่ชนมีวิจิกิจฉาเป็นเจ้าเรือน  มีอานิสงส์ให้หายหลงในสภาวธรรม

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร