รักตัวเองไม่เป็น

รักตัวเองไม่เป็น

กิจกรรมนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต คือ การไปนั่งรับโทรศัพท์การบริจาคเงินเพื่อการกุศลทางรายการทีวีช่องหนึ่ง เมื่อเร็วๆ นี้ นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีของชีวิต
ผมต้องเตือนตัวเองว่าจะต้องพูดกับคนที่โทรมาให้ดีๆ ชัดๆ เพราะเขามีจิตใจดี อยากบริจาคเงินเพื่อการกุศล จะมากหรือน้อยก็ไม่เป็นไร
มีสตรีคนหนึ่งโทรมาจากต่างจังหวัดขอบริจาค 100 บาท เธอถามด้วยเสียงที่แสดงความเกรงใจว่า บริจาค 100 บาทได้ไหม? ผมรีบตอบว่า ได้ครับ บริจาคมากหรือน้อยก็ได้บุญเท่ากัน ผมเข้าใจในความพร้อมหรือความมีของแต่ละคนซึ่งไม่เท่ากัน แต่ความตั้งใจดีและการลงมือทำสิ่งดีนั้นเป็นเรื่องของบุญ ซึ่งผมมั่นใจว่าได้บุญทั้งนั้น
โดยเฉพาะคนที่ฐานะไม่ดี ถ้าบริจาค 100 บาท เขาจะต้องคิดหรืออาจจะเดือดร้อนในวันต่อๆ ไปก็ได้ น่าจะได้บุญมากกว่าคนมีเงินพันล้านแล้วบริจาค 1 ล้านบาทด้วยซ้ำไป เพราะเขาจะไม่เดือดร้อนจากการบริจาคของเขาแน่ๆ
สตรีผู้นั้นโทรมาสักพักหนึ่งแล้วก็โทรกลับมาอีก เพราะครั้งแรกมัวเกรงใจ เธอจดที่จะส่งเงินมาให้ไม่ทันจึงโทรมาถามใหม่ ผมคิดว่าค่าโทรศัพท์วันนั้นอาจจะเฉียด 100 บางด้วยซ้ำ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องของกุศลกรรมซ้ำซ้อนที่มีแต่ดีกับดีมากขึ้นครับ
ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ได้ยินเสียงของคนหลายๆ คนที่โทรมาเพื่อการ "ให้" เสียงเหล่านั้นฟังดูอบอุ่น มั่นใจ เป็นมิตร เป็นสุข มีหลายคนที่เคยรู้จักผมแต่ไม่ได้พบกันนาน บางรายไม่ทราบเบอร์โทรของผมได้โทรมาคุยหรือโทรมาบริจาคด้วย เพราะไม่เคยเห็นออกทีวีแบบนี้มาก่อน ก็น่ารักไปอีกแบบ วันนั้นกลับบ้านดึกแต่ก็อิ่มใจครับ
คนที่นึกถึงคนอื่น และนึกถึงการช่วยคนอื่นหรือช่วยสังคม จะทำให้นึกถึงตัวเองน้อยลง และนึกถึงการจับผิดตัวเองน้อยลง ทำให้เป็นทุกข์น้อยลง และมีความสุขมากขึ้นครับ
ผมได้พบผู้ทุกข์ที่มาปรึกษาด้วยความทุกข์ทางใจมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่
1. นึกถึงแต่ตัวเองในแง่ไม่ดี
2. ลืมนึกถึงสิ่งดีๆ ในตัวเอง
3. ลืมนึกถึงคนอื่นที่อยู่ร่วมโลกในแง่ดี
4.  มักจะระแวงคนอื่นหรือคิดว่าเขาคงจะมองหรือนึกถึงเขาเหล่านั้นในแง่ไม่ดี
5. ลืมการทำกิจกรรมที่ดีๆ ในชีวิต เช่น การให้สิ่งดีๆ กับตัวเองและให้สิ่งที่ดีๆ กับคนอื่น การให้นั้นไม่ได้หมายถึงเงินทองหรือสิ่งของเสมอไปหรอก แต่อาจจะเป็นความรู้สึกที่ดีๆ คำพูดดีๆ การให้กำลังใจ ให้คำชื่นชมยกย่องตนเองและคนอื่น เป็นต้น
6. ความคิดซ้ำๆ ในเรื่องที่ไม่ดีของตัวเอง ทำให้เกิดความทุกข์ บางรายถึงกับเครียดจัด มีอาการต่างๆ จนถึงขั้นทำกิจกรรมตามปกติไม่ได้
7. ความคิดซ้ำๆ ที่ไม่ดีเหล่านี้เลิกคิดไม่ได้ แม้จะรู้ว่าไม่ดีและอยากเลิก เป็นลักษณะของ Impulsivity ยกตัวอย่างเช่น สตรีบางคนมีฐานะ การงาน การเงินดี การศึกษาดี มีความรู้สึกว่าตัวเองมีน้ำหนักมาก หรือคิดว่าอ้วน (ทั้งๆ ที่ความจริงไม่ได้อ้วน) เธอก็คิดซ้ำๆ ว่าไม่อยากอ้วน เวลากินอะไรเข้าไปก็จะเอานิ้วมือล้วงคอ ทำให้อาหารขย้อนออกมาทุกครั้ง จนต่อๆ มาเมื่อกินอะไรเข้าไปแม้มิได้เอานิ้วล้วงคอ อาหารก็จะขย้อนออกมาโดยอัตโนมัติ ทำให้ร่างกายขาดอาหาร ขาดน้ำ ผอมแห้ง ทำกิจวัตรประจำวันลำบาก แต่ก็ยังคิดและมีลักษณะดังกล่าวตลอดเวลา
หรือบางคนที่คิดถึงแต่ปมด้อยของตนเอง (ปมด้อยคือ ความรู้สึกที่คิดว่าตัวเองด้อย โดยที่คนอื่นไม่รู้หรือรู้สึกว่าไม่สำคัญอะไรนัก) ซึ่งมักเป็นความรู้สึกในอดีต ที่เคยผิดหวังหรือรู้สึกเจ็บปวด เช่น ถูกเปรียบเทียบ ถูกทำร้ายทางกายหรือทางจิตใจ ถูกหลอกลวง ถูกทิ้ง ถูกล้อ หรือได้รับความไม่ยุติธรรมจากสังคม เขาก็จะวนเวียนคิดถึงสิ่งเหล่านั้นอยู่เสมอ ทำให้หมดความสุขและมองตัวเองไม่ดี
แม้ปากจะบอกว่ารักตัวเอง อยากให้ตัวเองได้ดีมีความสุข แต่จิตใจในระดับจิตใต้สำนึกยังตำหนิตัวเอง ด่าว่าตัวเองเสมอเหมือนคอยเอาหอกดาบมาทิ่มแทงตัวเองให้เจ็บปวดเสมอ แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร
ผมเรียกโรคของความทุกข์แบบนี้ว่าเป็น "โรครักตัวเองไม่เป็น" ซึ่งมีความคิดดัง 7 ข้อที่กล่าวมาแล้ว บุคคลเหล่านี้มักจะมีลักษณะทั่วไปคือ
1. มีความเป็นเด็กอยู่มาก ไม่บรรลุนิติภาวะทางอารมณ์และจิตใจ (Immaturity)
2. มองโลกในแง่ร้าย (Pessimist)
3. ย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive)
4.    มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิด (Guity) ตลอดเวลา
5. รู้สึกพอใจกับความเจ็บปวดของตัวเองในระดับจิตใต้สำนึก (Masochistic-Subconsciously)
6.   ชอบปฏิเสธสิ่งดีหรือความเป็นจริง (Denial)
7. มักมีประสบการณ์ที่ไม่ดีในชีวิตที่เชื่อมโยงกับพฤติกรรมนั้น ทำให้รู้สึกเจ็บปวด และเก็บสะสมไว้ในระดับจิตใต้สำนึก เป็นเรื่องของบาดแผลชีวิตที่บอกใครไม่ได้ หรือมองข้ามไปแล้วโดยคิดว่าไม่สำคัญ แต่ความจริงเขายังเก็บไว้ในระดับจิตใต้สำนึกอยู่
พฤติกรรมของ "โรครักตัวเองไม่เป็น" นี้ น่าจะรวมถึงนักการเมือง ข้าราชการ พ่อค้า ที่ร่ำรวยอยู่แล้วแต่ยังโกง คอรัปชั่น หักหลัง เพื่อเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง โดยปากก็บอกว่ารักชาติ รักตัวเอง แต่ผลของการกระทำนั้นทำให้ชาติล่มจม และตนเองก็ถูกด่าประณามต่างๆ ก็ทนเจ็บปวดเอา และความเจ็บปวดนั้นจะกระทบกระทั่งมาถึงครอบครัวด้วย แต่เขายังเลิกไม่ได้แม้จะเจ็บหรือทุกข์ก็ตาม แต่ก็มีพวกที่โกงหรือคอรัปชั่นแล้วไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย กลับรู้สึกสบายดี หรือหลงใหลในเกียรติยศจอมปลอม และยังทำต่อไปได้เรื่อยๆ พวกนี้เขาเรียกว่า พวกหน้าด้าน หรือพวกอันธพาลต่อต้านสังคม (Antisocial) พวกนี้จะขาดคุณธรรม ทำให้ไม่รู้สึกผิด ไม่รู้สึกเจ็บอาย แม้จะเอาไปลงโทษหรือยิงเป้าให้ตายก็ไม่รู้สึกหรอก และไม่หายด้วย ซึ่งพวกหน้าด้านนี้จะพบได้มากกว่าพวกที่เจ็บปวดจากการไม่รักตัวเอง
ผู้ที่เป็นโรค "รักตัวเองไม่เป็น" นี้ เป็นพวกที่น่าสงสารมาก บางคนทุกข์เจียนตาย เล่าให้ใครฟังก็มักไม่ได้รับความเห็นใจ มีแต่คนหมั่นไส้หรือสมน้ำหน้า เพราะเขาไม่เข้าใจ
นับวันเราจะพบผู้คนที่เป็นโรคนี้มากขึ้น บางคนแม้จะไม่ทุกข์มาก มีบุคลิกภาพของคนที่รักตัวเองไม่เป็น เช่น แม้เขาจะเก่ง รวย สวย แต่ก็ยังมีบุคลิกภาพที่แสดงถึงความรักตัวเองไม่เป็น เช่น
1. อิจฉาริษยาคนอื่น
2. ชอบใส่ความคนอื่น
3. จับผิดคนอื่น
4. ตำหนิติเตียนคนอื่น
5. ตัดสินคนอื่นโดยใช้ตัวเองเป็นหลัก
6. ระแวงสงสัยบ่อยๆ
7. เหงา ว้าเหว่
8. ก้าวร้าว
เนื่องจากความรู้สึกที่คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ ยังรักตัวเองตามความเป็นจริงไม่ได้ จึงต้องพยายามยกตัวเองให้สูงไว้ และกดคนอื่นให้ต่ำลงหรือมีความผิด เขาหาความสุขไม่ได้หรอก เคร่งเครียด สร้างศัตรูตลอด

คนที่จะมีความสุขได้และนับเป็นคนปกติได้นั้นคือคนที่

1. ภาคภูมิใจและเชื่อมั่นตัวเองตามความเป็นจริงในขณะนั้น แม้ขาด้วน สอบตก ค้าขายขาดทุน ไม่สวย ไม่หล่อ ก็ยังภาคภูมิใจและเชื่อมั่นตัวเองได้ตามความเป็นจริง ส่วนวิธีการจะภาคภูมิใจตัวเอง ตามความเป็นจริงนั้น ต้องมีการฝึกใหม่ (ผมเคยเขียนไปบ้างแล้ว) และยกเลิกความคิดแบบเก่า ที่ต้องรอให้ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วจึงภาคภูมิใจเสียให้หมด
2. รู้จักถ่อมตัวและให้ความสำคัญคนอื่นได้ จะเกิดความเป็นมิตรและความรักได้ง่าย
3. รักตัวเองเป็น-รักคนอื่นได้
4. ช่วยตัวเองได้มากขึ้น ช่วยคนอื่นให้มากขึ้น โดยเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ทำให้มีพลังที่จะทำความดี โดยการช่วยตัวเองมากขึ้น และช่วยคนอื่นมากขึ้น เพื่อหวังว่าชีวิตจะได้รับสิ่งที่ดีๆ ขึ้นตั้งแต่บัดนี้จนตายจากไป ส่วนที่จะได้ดีจริงไหมก็ไม่สำคัญ เพราะใจอยากทำสิ่งดีแล้ว เขาจะสนใจตัวเองน้อยลง สนใจการทำความดีมากขึ้น จะมีคนชอบมากขึ้น และเขาจะชอบตัวเองได้มากขึ้น อนาคตก็น่าจะไม่ลำบากหรอก
คนที่โทรมาบริจาคเงินการกุศลนั้น ก็ถือได้ว่ารู้จักรักตัวเองเป็น ไม่คิดถึงตัวเองในแง่ไม่ดี พร้อมจะช่วยตัวเองและช่วยคนอื่น ไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวยก็ตาม
โรครักตัวเองไม่เป็นนี้ถ้าเป็นน้อยๆ ก็พอจะปรับปรุงตัวเองได้ และถ้าเป็นมากๆ ก็คงต้องหาผู้รู้มาช่วยแนะนำรักษาแล้วล่ะครับ แต่ส่วนใหญ่คนมักจะไม่ปรึกษาผู้รู้ คนไทยมักจะอายในเรื่องที่ไม่ควรอาย ก็คงต้องทุกข์ไปอีกนาน ซึ่งคงเป็นเรื่องของวัฒนธรรม ค่านิยม และวิบากกรรมแล้วละครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘