ปัญหาและเฉลยอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ วันศุกร์ ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓
๑. | ๑.๑ | อนุพุทธบุคคลคือบุคคลพวกไหน ? ได้ชื่อว่าอย่างนั้นเพราะเหตุไร ? | |
| ๑.๒ | อนุพุทธบุคคล เป็นนักบวชหรือบุคคลทั่วไป ? | |
๑. | ๑.๑ | คือบุคคลผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ได้ชื่ออย่างนั้นเพราะเป็นผู้รู้ตาม พระพุทธเจ้า | |
| ๑.๒ | เป็นนักบวชก็มี เป็นบุคคลทั่วไปก็มี | |
๒. | ๒.๑ | การศึกษาอนุพุทธประวัติให้ประโยชน์อย่างไรต่อเจ้าของประวัติ ? | |
| ๒.๒ | การศึกษาอนุพุทธประวัติให้คุณค่าอย่างไรต่อผู้ศึกษา ? | |
๒. | ๒.๑ | เป็นการประกาศเกียรติคุณพระสาวกผู้เป็นอุปการะแก่พระศาสนา ได้เชิดชูพระคุณท่าน นำเพื่อนร่วมศาสนาให้เกิดปสาทะและนับถือ ความดีของพระสาวกปรากฏแล้วจักเชิดชูพระเกียรติคุณของพระศาสดายิ่งขึ้น | |
| ๒.๒ | ให้คุณค่าในด้านกำหนดและจดจำวัตรปฏิบัติอันงดงามของท่านมาเป็นปฏิปทาเครื่องดำเนินชีวิตของตน | |
๓. | ๓.๑ | พระโกณฑัญญะได้เกิดความรู้เห็นอย่างไรก่อน จึงนับว่าเป็นปฐมอริยสาวก ? | |
| ๓.๒ | ท่านได้รับเกียรติยศเป็นพิเศษเพราะเหตุนี้อย่างไรบ้าง ? | |
๓. | ๓.๑ | ได้เกิดความรู้เห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น ทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา คือได้ดวงตาเห็นธรรม (ธรรมจักษุ) แล้วทูลขอบวชกับพระพุทธองค์ จึงนับได้ว่าเป็นปฐมอริยสาวกใน พระศาสนา | |
| ๓.๒ | เมื่อท่านเกิดความรู้เห็นดังนี้ พระบรมศาสดาจึงทรงเปล่งอุทาน ว่า ÍÚÒÊÔ Çµ âÀ ⡳ڱÚâ ÍÚÒÊÔ Çµ âÀ ⡳ڱÚâ” แปลว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอๆ แต่นั้นมา ท่านมีนามว่า อัญญาโกณฑัญญะ ข้อนี้เป็นเกียรติยศพิเศษสำหรับท่านผู้เป็นปฐมอริยสาวก | |
๔. | ๔.๑ | พระสาวกรูปใดได้รับการบวชด้วยญัตติจตุตถกรรมเป็นรูปแรก ? | |
| ๔.๒ | พระสาวกรูปนั้นได้รับยกย่องเป็นเลิศในทางไหน ? | |
๔. | ๔.๑ | พระราธะ | |
| ๔.๒ | ในทางมีปฏิภาณ คือญาณแจ่มแจ้งในพระธรรมเทศนา | |
๕. | ๕.๑ | พระพุทธองค์ทรงยกย่องพระสารีบุตรคู่กับพระโมคคัลลานะโดยอุปมาไว้ อย่างไร ? | |
| ๕.๒ | ที่ตรัสอุปมาไว้อย่างนั้นเพราะเหตุไร ? | |
๕. | ๕.๑ | พระพุทธองค์ตรัสอุปมาว่า พระสารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ให้ทารกเกิด พระโมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดแล้วนั้น | |
| ๕.๒ | ที่ตรัสอุปมาไว้อย่างนั้นเพราะพระสารีบุตรย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ใน โสดาปัตติผล พระโมคคัลลานะย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้องบนที่ สูงกว่านั้น | |
๖. | ๖.๑ | การพบกันของพระอัสสชิและอุปติสสปริพาชกมีผลต่อพระพุทธศาสนา อย่างไร ? | |
| ๖.๒ | พระสารีบุตรมีปัญญาเลิศกว่าพระสาวกทั้งหลายนั้น มีอะไรเป็นเครื่อง ยืนยัน ? | |
๖. | ๖.๑ | มีผลเกิดขึ้นดังนี้คือ ๑) อุปติสสปริพาชกได้ความเลื่อมใสในวัตรของพระอัสสชิ ๒) อุปติสสปริพาชกได้ฟังธรรมแล้วได้ดวงตาเห็นธรรม ๓) อุปติสสปริพาชกได้ชักชวนเพื่อนไปบวช ฟังธรรมแล้วได้บรรลุ ธรรม ๔) พระพุทธองค์ได้อัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวา | |
| ๖.๒ | มีพระพุทธดำรัสตรัสยกย่องพระสารีบุตรว่า เป็นยอดแห่งพระสาวกผู้มีปัญญาและตรัสสรรเสริญว่า พระสารีบุตรสามารถแสดงธรรมจักร และจตุราริยสัจ ได้กว้างขวางพิสดารแม้นกับพระองค์ ประกอบกับพระธรรมเทศนาที่ท่าน ได้แสดงไว้ในโอกาสนั้น ๆ ส่องให้เห็นถึงอัจฉริยภาพอย่างแท้จริงของท่าน ในด้านนี้ | |
๗. | ๗.๑ | ธรรมุทเทศคืออะไรบ้าง ? ๗.๒ ใครแสดงแก่ใคร ? | |
๗. | ๗.๑ | ธรรมุทเทศ คือ ๑) โลกคือหมู่สัตว์อันชรานำเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน ๒) โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพาะตน ๓) โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ ตน จำต้องละสิ่งทั้งปวงไป ๔) โลกคือหมู่สัตว์พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา | |
| ๗.๒ | พระรัฐบาลแสดงถวายพระเจ้าโกรัพยะ | |
| | ศาสนพิธี | |
๘. | ๘.๑ | คำว่า สวดมาติกาหรือสดับปกรณ์ หมายถึงอะไร ? | |
| ๘.๒ | คำทั้งสองนั้นใช้ต่างกันอย่างไร ? | |
๘. | ๘.๑ | หมายถึงการสวดบทมาติกาของพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ หรือที่เรียกว่า สัตตัปปกรณาภิธรรม ซึ่งมีการบังสุกุลเป็นที่สุด เป็นประเพณีนิยมจัดให้พระสงฆ์สวดในงานทำบุญหน้าศพอย่างหนึ่ง | |
| ๘.๒ | คำว่าสวดมาติกา ใช้ในงานศพราษฎรสามัญทั่วไป ส่วนคำว่า สดับปกรณ์ ใช้เรียกโดยโวหารทางราชการในงานหลวง (ศพหรืออัฐิของเจ้านายตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป) | |
๙. | ๙.๑ | ผ้าวัสสิกสาฎกคือผ้าเช่นไร ? | |
| ๙.๒ | ผ้าจำนำพรรษาคือผ้าเช่นไร ? | |
๙. | ๙.๑ | คือ ผ้าสำหรับภิกษุใช้นุ่งในเวลาอาบน้ำฝนหรืออาบน้ำทั่วไป เรียกกันว่า ผ้าอาบน้ำฝนบ้าง ผ้าอาบบ้าง ผ้านี้เกิดขึ้นเฉพาะฤดูกาลที่ทรงอนุญาตเป็นบริขารพิเศษชั่วคราว อธิษฐานไว้ใช้ได้ตลอด ๔ เดือนฤดูฝน พ้นจากเขตนั้นเป็นธรรมเนียมให้วิกัป | |
| ๙.๒ | คือ ผ้าที่ทายกถวายแก่ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือน เว้นผ้ากฐิน | |
๑๐. | ๑๐.๑ | ศาสนพิธีเล่ม ๒ แสดงอุโบสถกรรมไว้กี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? | |
| ๑๐.๒ | แต่ละประเภทมีความแตกต่างกันอย่างไร ? | |
๑๐. | ๑๐.๑ | มี ๓ ประเภท คือ สังฆอุโบสถ ๑ ปาริสุทธิอุโบสถ ๑ อธิษฐานอุโบสถ ๑ | |
| ๑๐.๒ | มีความแตกต่างกันดังนี้ | |
| ๑) | สังฆอุโบสถ คือ อุโบสถกรรมที่พระภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ประชุมสวด พระปาฏิโมกข์ | |
| ๒) | ปาริสุทธิอุโบสถ คือ อุโบสถกรรมที่พระภิกษุน้อยกว่า ๔ รูป มีเพียง ๓ รูป หรือ ๒ รูป ร่วมกันทำเป็นการคณะ ให้แต่ละรูปบอกความบริสุทธิ์ของตน ๆ | |
| ๓) | อธิษฐานอุโบสถ คืออุโบสถกรรมที่พระภิกษุรูปเดียวทำเป็นการบุคคลด้วยการอธิษฐานความบริสุทธิ์ใจของตนเอง |