๒. ความหมายของคำว่า พุทธะ ธรรมะ และสังฆะ
คำว่า พุทธะ โดยอรรถะ คือความหมาย ได้แก่บุคคลพิเศษที่มีขันธสันดานอันอบรมด้วยบารมีธรรมมายาวนาน อย่างต่ำที่สุด ๔ อสงไขย กับอีก ๑ แสนกัป จนได้บรรลุอนุตตรวิโมกข์ อันเป็นเหตุให้เกิดอนาวรณญาณ (ความรู้อะไรได้ตลอด) หรือได้รู้ยิ่งซึ่งสัจจะทั้งหลาย อันเป็นปทัฏฐานแห่งสัพพัญญุตญาณ
ส่วนโดยพยัญชนะ คำว่า พุทธะ แปลได้มากมายหลายนัย แต่ที่ทราบกันโดยมาก แปลว่า ผู้รู้ และทรงสอนให้ผู้อื่นรู้ ผู้ตื่น และทรงปลุกให้ผู้อื่นตื่น จากความหลับด้วยอำนาจของกิเลส ผู้เบิกบาน คือเป็นผู้รู้แล้วสามารถกำจัดกิเลสให้สิ้นไปจากขันธสันดานไปด้วย มิใช่รู้อย่างเดียว
คำว่า ธัมมะ ( ธรรม ) แปลว่า สภาพที่ทรงไว้ โดยความหมายสูงสุด ได้แก่ มรรค หรือวิราคธรรม ( นิพพาน ) เพราะมรรค หรือวิราคธรรม ทรงไว้ซึ่งผู้ที่เจริญมรรค และผู้ทำให้แจ้ง (บรรลุ) พระนิพพานไม่ให้ตกไปในอบายทั้งหลาย (สัตว์ดิรัจฉาน เปรต สัตว์นรกอสุรกาย) และทำให้โปร่งใจอย่างยิ่ง
ส่วนความหมายโดยอ้อม แม้ปริยัติธรรม คือการศึกษาพระพุทธพจน์ และปฏิบัติธรรม คือการฝึกหัดกาย วาจา ใจ ไปตามศีล สมาธิ และปัญญา ก็จัดเป็นธัมมะ ( ธรรม ) ได้ เพราะเป็นปฏิปทาเบื้องต้นอันจะนำไปสู่การบรรลุมรรค และทำให้แจ้งพระนิพพาน ดังกล่าวแล้ว
คำว่า สังฆะ แปลว่า กลุ่มบุคคลผู้รวมตัวกัน คำนี้เป็นชื่อของกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่ง ผู้รวมตัวกันด้วยคุณเครื่องรวมตัว คือ ทิฏฐิ และศีล สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสไว้ว่า
ดูก่อนอานนท์ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ธรรมเหล่าใดที่เราแสดงแล้วเพื่อความรู้ยิ่ง สำหรับเธอทั้งหลาย คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ ดูก่อนอานนท์ เธอจะไม่เห็นภิกษุแม้สองรูป มีวาทะต่างกันในธรรมเหล่านี้เลย