ธรรมนักธรรมโท46
»ÑËÒáÅÐà©ÅÂÇÔªÒ¸ÃÃÁ ¹Ñ¡¸ÃÃÁªÑé¹â·
Êͺã¹Ê¹ÒÁËÅǧ
ÇѹÈØ¡Ãì ·Õè òø ¾ÄȨԡÒ¹ ¾.È. òõôö
*********
๑. | ๑.๑ | เทสนา ๒ มีอะไรบ้าง ? |
| ๑.๒ | เทสนา ๒ อย่างนั้นต่างกันอย่างไร จงอธิบาย ? |
๑. | ๑.๑ | มี ปุคคลาธิฏฐานา มีบุคคลเป็นที่ตั้ง ๑ ธัมมาธิฏฐานา มีธรรมเป็น ที่ตั้ง ๑ ฯ |
| ๑.๒ | ต่างกันอย่างนี้ การสอนที่ยกบุคคลมาเป็นตัวอย่าง เช่น ในมหาชนกชาดก สอนเรื่องความเพียร โดยกล่าวถึงพระมหาชนกโพธิสัตว์ว่า ทรงมีความเพียรอย่างยิ่ง พยายามว่ายน้ำในท่ามกลางมหาสมุทรที่กว้างใหญ่มองไม่เห็นฝั่งอย่างไม่ย่อท้อ ด้วยความุ่งมั่นที่จะถึงฝั่งให้ได้ เป็น ปุคคลาธิฏฐานา ฯ ส่วนการยกธรรมแต่ละข้อมาอธิบายความหมายอย่างเดียว เช่น สติ แปลว่า ความระลึกได้ หมายความว่า ก่อนจะทำ ก่อนจะพูดอะไร ต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อน จึงทำ จึงพูดออกไป เป็นต้น เป็น ธัมมาธิฏฐานา ฯ |
๒. | ๒.๑ | ญาณ ๓ ที่เป็นไปในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ? |
| ๒.๒ | ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขนิโรธ มีอธิบายอย่างไร ? |
๒. | ๒.๑ | มี ๑) สัจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ ๒) กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ ๓) กตญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทำแล้ว ฯ |
| ๒.๒ | มีอธิบายอย่างนี้ ๑) ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธ จัดเป็นสัจจญาณ ๒) ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธ เป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง จัดเป็นกิจจญาณ ๓) ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธ เป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง ทำให้แจ้งแล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ |
๓. | ๓.๑ | คำว่า “ โสดาบัน ” แปลว่าอะไร ? |
| ๓.๒ | พระอริยบุคคลชั้นโสดาบันนี้ ท่านละกิเลสอะไรได้ขาดบ้าง ? |
๓. | ๓.๑ | โสดาบัน แปลว่า ผู้แรกถึงกระแสพระนิพพาน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา จะต้องตรัสรู้ในภายภาคหน้า ฯ |
| ๓.๒ | ท่านละสังโยชน์ได้ขาด ๓ อย่าง คือ ๑) สักกายทิฏฐิ ๒) วิจิกิจฉา ๓) สีลัพพตปรามาส ฯ |
๔. | ๔.๑ | ในอปัสเสนธรรม ข้อว่า “ พิจารณาแล้วเสพของอย่างหนึ่ง ” คำว่า “ ของอย่างหนึ่ง ” ในข้อนี้ได้แก่อะไร ? |
| ๔.๒ | ผู้พิจารณาตามข้อ ๔.๑ นั้น ได้ประโยชน์อย่างไร ? |
๔. | ๔.๑ | ได้แก่ ปัจจัย ๔ บุคคล และธรรม เป็นต้น ที่ทำให้เกิดความสบาย ฯ |
| ๔.๒ | ได้ประโยชน์อย่างนี้ คือ ทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ทำกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญยิ่งขึ้น ทำกิเลสและอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เสื่อมไป ฯ |
๕. | ๕.๑ | คำว่า ทักขิณา ในทักขิณาวิสุทธินั้น หมายถึงอะไร ? |
| ๕.๒ | ทักขิณาจะไม่บริสุทธิ์ และบริสุทธิ์ กำหนดรู้ได้อย่างไร ? |
๕. | ๕.๑ | หมายถึง ของทำบุญ ฯ |
| ๕.๒ | กำหนดรู้ได้อย่างนี้ ทั้งทายก ทั้งปฏิคาหกเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ทักขิณานั้น ชื่อว่า ไม่บริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบริสุทธิ์ ชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายเดียว ทั้งสองฝ่ายบริสุทธิ์ ชื่อว่าบริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย ฯ |
๖. | ๖.๑ | ปัญจขันธ์ ได้ชื่อว่า มาร เพราะเหตุไร ? |
| ๖.๒ | กิเลสมาร และมัจจุมาร จัดเข้าในอริยสัจข้อใดได้หรือไม่ ? เพราะเหตุไร ? |
๖. | ๖.๑ | เพราะบางทีทำความลำบากให้ อันเป็นเหตุเบื่อหน่าย จนถึงฆ่าตัวตายเสียเองก็มี ฯ |
| ๖.๒ | ได้ ฯ กิเลสมาร จัดเข้าในทุกขสมุทัยสัจ เพราะกิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ มัจจุมาร จัดเข้าในทุกขสัจ เพราะเป็นตัวทุกข์ ฯ |
๗. | บุคคลผู้มีปกติต่อไปนี้ จัดเข้าในจริตอะไร ? จะพึงแก้ด้วยธรรมข้อใด ? | |
| ๗.๑ | ผู้มีปกติรักสวยรักงาม |
| ๗.๒ | ผู้มีปกตินึกพล่าน |
๗. | ๗.๑ | จัดเข้าในราคจริต ฯ จะพึงแก้ด้วยเจริญกายคตาสติ หรืออสุภกัมมัฏฐาน ฯ |
| ๗.๒ | จัดเข้าในวิตักกจริต ฯ จะพึงแก้ด้วยเพ่งกสิณ หรือเจริญอานาปานสติ ฯ |
๘. | ๘.๑ | พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณ ๙ ท่านหมายถึงพระสงฆ์เช่นไร ? |
| ๘.๒ | คำว่า “อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรง” คือปฏิบัติเช่นไร ? |
๘. | ๘.๑ | หมายถึง พระสาวกผู้ได้บรรลุธรรมวิเศษ ฯ |
| ๘.๒ | คือไม่ปฏิบัติลวงโลก ไม่มีมายาสาไถย ประพฤติตรง ตรงต่อพระศาสดาและเพื่อนสาวกด้วยกัน ไม่อำพรางความในใจ ไม่มีแง่มีงอน ฯ |
๙. | จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ? | |
| ๙.๑ | อโหสิกรรม |
| ๙.๒ | กตัตตากรรม |
๙. | ๙.๑ | คือกรรมให้ผลสำเร็จแล้ว เป็นกรรมล่วงคราวแล้วเลิกให้ผล เปรียบเหมือนพืชสิ้นยางแล้ว เพาะไม่ขึ้น ฯ |
| ๙.๒ | คือ กรรมสักว่าทำ ได้แก่กรรมอันทำด้วยไม่จงใจ ฯ |
๑๐. | ๑๐.๑ | ปังสุกูลิกังคะ องค์แห่งผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร คืออย่างไร ? |
| ๑๐.๒ | ธุดงค์ข้อใด ที่ภิกษุสมาทานสำเร็จด้วยอิริยาบถ ๓ คือ ยืน เดิน นั่ง ? |
๑๐. | ๑๐.๑ | คือไม่รับจีวรจากทายก เที่ยวแสวงหาและใช้เฉพาะแต่ผ้าบังสุกุลมาเย็บย้อมทำจีวรใช้เอง ฯ |
| ๑๐.๒ | คือ เนสัชชิกังคะ องค์แห่งภิกษุผู้ถือการนั่งเป็นวัตร ถือเฉพาะอิริยาบถ ๓ คือ ยืน เดิน และนั่งเท่านั้น ฯ |
ผู้ออกข้อสอบ | : | ๑. พระราชปัญญาเมธี | วัดไตรมิตรวิทยาราม |
| | ๒. พระศรีมงคลเมธี | วัดอาษาสงคราม |
ตรวจ/ปรับปรุง | : | สนามหลวงแผนกธรรม | |