ความรัก ๑๐ มิติ 09-01

ความรัก มิติที่ ๙ นิพพานนิยม


มิติที่ คือ ความรักของผู้ที่ได้เรียนรู้ "สัจจะแห่งความรัก" และได้ปฏิบัติ จนบรรลุผลสำเร็จสมบูรณ์ สำหรับประโยชน์ตน คือ "จบ"
"จบ" ก็คือ เลิกมี "ความรัก" นั้นๆ เพื่อตัวเอง ไม่เกิด "ความรัก" นั้นเพื่อตัวเองอีกแล้ว หรือ ไม่ต้องการ "เอา" อารมณ์นั้น มาเสพสมใจ เพื่อตนเองอีกแล้ว อย่างมี "สุขสงบ"
ความ "จบ" ก็จะจบไปแต่ละรอบแต่ละชั้น ตามที่ได้ศึกษาและปฏิบัติใน "มิติที่ " ก็จะเกิดผล "จบ" ได้ ไปตามลำดับ แม้จะเป็นความจบ ที่เสร็จลงไปในตัว ของแต่ละระดับนั้นๆ ก็เรียก "ความจบ" นั้นๆ ว่า "นิพพาน" หรือ "วิมุติ" ไปแต่ละขั้น แต่ละรอบ ซึ่งมีปฏิสัมพัทธ์กันไป อย่างซับซ้อน แต่มีระเบียบ
จนสุดท้ายก็ "จบสัมบูรณ์" สูงสุด ดับ "โลก" (โลกีย์) ต่างๆ ให้ แก่ตน หรือดับความรักที่ "เห็นแก่ตัวเอง" ถึงขั้นไม่เหลือเศษ ธุลีละอองที่บำเรอ 'อารมณ์' ของตัวเอง (อัตตา) อีกเลย เป็นอรหันต์สมบูรณ์
ผู้ที่ยังมีส่วนที่ "เห็นแก่ตัวเอง" แล้วก็ต้องบำเรอให้แก่ "ตนเอง" (อัตตา) วนเวียนอยู่ไม่จบไม่สิ้นสนิทนั้น ก็คือผู้ยัง "ไม่ดับ 'โลก' แห่งความเป็นของตนเอง หรือ 'ความรัก' ที่ยังเพื่อตนเองอยู่" จึงยังไม่บริสุทธิ์ สะอาดแท้สัมบูรณ์ ยังเป็นความรักที่ "บำเรอตน" ซึ่งยังเป็น "ภพ" ยังเป็น "ชาติ" ยังเป็น "อัตตา" หรือยังเป็น "อาตมัน" และสามารถสะสม พอกพูนขึ้นเป็น "ปรมาตมัน" ดั่งที่ "เทวนิยม" เป็นกัน แล้วก็ยึดมั่นถือมั่น ฝึกฝนเอาจนได้ จนเสพติดและอยู่ ได้นานแสนนาน กระทั่งพากันหลงว่ามี "นิรันดร" นั่นเอง
ความจริงนั้น "ไม่มีอัตตา" ใดๆ ในหรือนอกเอกภพ จะยืนยงคงตนเที่ยงแท้ ไม่แปรปรวน โดยอยู่อย่างเดิม ได้นิรันดร แม้แต่ "ปรมาตมัน" เองก็ ยืนยงคงตน อยู่อย่างเที่ยงแท้ นิรันดรไม่ได้
"ความมีอยู่" ทุกอย่างในเอกภพมหาจักรวาล ต้องมีการเปลี่ยนแปลงและหมุนเวียน ทั้งสิ้น ไม่ว่ารูปธรรม หรือ นามธรรม
สิ่งที่ยังปรากฏว่า "มี" จะต้องเปลี่ยนแปลงหรือแปรปรวน ไม่เที่ยงแท้ (อนิจจัง) และต้องเคลื่อนที่ ไม่มีสิ่งใด อยู่นิ่งๆ ลอยตัวอยู่ได้ อย่างไร้สัมพัทธ์ในมหาเอกภพ ไม่มี "ความมี" ใดๆ ที่สามารถ คงที่ และเที่ยงแท้ ไม่แปรเปลี่ยนตนเอง หรือ ไม่เคลื่อนไหว วนเวียน
นอกจาก "ความไม่มีจริงๆ" ซึ่งได้แก่ "ความไม่มีกิเลส" ที่ได้ละล้างด้วยทฤษฎี ของพระพุทธเจ้า จนได้ชื่อว่า "นิพพาน" นั่นเองแหละ ที่จบสัมบูรณ์ ไม่แปรเปลี่ยนอีกแล้ว แต่กระนั้น ก็ยังเคลื่อนที่ไปกับ เหตุปัจจัย ที่เป็นองค์ประกอบของ "นิพพาน" ซึ่งก็คือ ขันธ์ ที่ประกอบกันอยู่ กับชีวิตพระอรหันต์ผู้ "ยังไม่ปรินิพพาน"
สุดท้ายแห่งสุดท้าย ก็คือ สภาพ "ปรินิพพาน" เท่านั้นที่ ดับไม่เหลือ ชนิดสิ้นสูญทุกสิ่งอย่าง สำหรับตน ไม่ว่า "อัตตา" หรือ "ปรมาตมัน" แม้แต่ "ขันธ์ " ที่เคยเป็นเหตุปัจจัย ก็มีไม่ได้อีก จึงไม่มีอะไรเคลื่อนไหว เวียนวนใดๆ สัมบูรณ์เด็ดขาด
เพราะ "นิพพาน" เป็นลักษณะสุดยอด ที่จะ "สร้าง" ก็สร้างอย่าง "พระเจ้า" นั่นเอง แต่ "ไม่มีความสุข ความทุกข์" และ "ไม่มีการเอา มีแต่การให้" สุดท้ายที่พิเศษยิ่งก็คือ สำหรับ "ตัวเอง" จะไม่อยู่นิรันดร์ก็ได้ จะอยู่ยาวนานไปอีกเท่าใดๆ เท่าที่ตนต้องการ หรือตนยังมี "ความรัก" ก็ได้
ที่สุดแห่งที่สุด จะ "ไม่อยู่..ไม่มี" จะสลาย "อัตภาพ" ที่เป็น "อรหัตตภาวะ" สุดท้าย ไปจากมหาเอกภพ ไม่ให้เหลือ "ตัวตน ของตน" อยู่ ที่ไหนๆ อีกเลย "สูญสลาย" ไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง ในมหาเอกภพนี้ สิ้น "ความมี" อยู่ในมหาเอกภพนี้อีกเด็ดขาด ก็ได้ เป็นที่สุดแห่งที่สุด เรียกว่า "ปรินิพพาน"
ผู้ที่ได้เรียนรู้"โลกใหม่ ที่เรียกว่า โลกุตระ" และได้ปฏิบัติตนจนบรรลุผลสำเร็จจริง นับตั้งแต่ขั้นต้น ที่เรียกว่า "โสดาบัน" ก็เริ่มนับว่าเป็น "อาริยบุคคล" ระดับต้น และจะมีระดับสูงขึ้นๆ ต่อไปแต่ละระดับอีก ทั้งหมด ระดับ คือ โสดาบัน-สกทาคามี-อนาคามี-อรหันต์ ล้วนเรียกว่า "อาริยบุคคล" ทั้งสิ้น เมื่อจบ "อรหันต์" ก็ถือว่า "ผู้นั้นจบสมบูรณ์ สำหรับประโยชน์ตนสูงสุด"

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘