ความรัก ๑๐ มิติ 07

ความรัก มิติที่ ๗ เทวนิยม


มิติที่ คือ ความรักที่แผ่กว้างไปสุดมหาเอกภพ ทีเดียว ซึ่งหมายถึงนามธรรมอันยิ่งใหญ่ ที่รักทุกสรรพสิ่ง ซึ่งเป็น ความรักระดับ "พระเจ้า" เป็นความรักที่ไม่มีขีดขั้น รักแม้กระทั่งศัตรู ไม่มีการแบ่งมิตร แยกศัตรูกันอีกแล้ว ถึงขนาดใครจะ "ตบแก้มซ้าย ก็ยังจะต้องยื่นแก้มขวา ให้เขาตบซ้ำ อีกด้วย"
ซึ่งมุ่งหมายเข้าหาความดีงามทางนามธรรมมากขึ้น โดยนับถือว่า มี "พระเจ้า" เป็นอำนาจหลัก แห่งคุณงามความดี และ เป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด กว่าสิ่งใดๆทั้งปวง ทุกคนมุ่งมั่น สร้างแต่ความดีงาม หากใครทำแต่ความดี ไม่ทำความชั่วแล้ว จะได้ไปอยู่กับพระเจ้า ดังนั้น ทุกคนจึงต้องมีความรักในพระเจ้า และ ทำตนให้มีความรัก ดุจเดียวกับพระเจ้า ผู้ทรงรักทุกสิ่งทุกอย่าง
เป็นการฝึกตนให้เป็นคนดี ตั้งหน้าตั้งตากระทำแต่ความดีงาม ตนจะต้องทิ้งความไม่ดีทั้งมวล หยุดความไม่ดีทั้งปวง ให้หมด พยายามไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ขี้เกียจ อดทน บุกบั่น มีเมตตามหาศาล แผ่ไปทุกทิศ ต้องเป็นคนเสียสละ เพื่อมวลมนุษย์ทั้งโลกให้ถ้วนทั่ว
            เป็นการมุ่งฝึกฝนตนให้ดีเป็นที่ตั้ง อะไรไม่ดีไม่ทำ ละทิ้ง ความไม่ดีแบบไม่ต้องใส่ใจเลย มีแต่มุ่งมั่น เข้าหาความดี เท่าที่จะสามารถ ส่วนเรื่องความชั่ว ก็เพียงละเว้นความชั่ว ความไม่ดี ไม่งามทั้งมวล ให้ได้ด้วยความอดกลั้น ด้วยการทิ้งมันไปดื้อๆ หรือจงละลืมไปให้สนิท ไม่รับรู้เป็นดีสุด ให้เอาจริงเอาจัง อยู่กับการอุตสาหะวิริยะ ทำแต่คุณงามความดี อย่างทุ่มโถมทีเดียว ส่วน "ความไม่ดี" นั้น ผู้มีลัทธิ "พระเจ้า" จะไม่ค่อยสนใจ ไม่ใส่ใจเรียนรู้ ให้ทะลุปรุโปร่งเหมือนพุทธศาสนา ไม่มีการเจาะลึก เข้าไปหา "หัวใจ" ความไม่ดี แล้ว "ทำลายหัวใจความไม่ดี" นั้นๆ ให้ดับสูญเด็ดขาด แบบศาสนาพุทธ
จะภาคภูมิดีใจอิ่มเอมใจที่ได้ทำดี โดยมีคติแน่วแน่ว่า "ทำดีแล้วจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า ในสรวงสวรรค์ นิรันดร" ความเป็น"พระเจ้า"ก็ดี ความมี"สรวงสวรรค์นิรันดร" ก็ดี เหล่านี้เป็นสภาพที่ยังเป็นภพเป็นชาติ เป็น "อัตตา" หรือ "อาตมัน" สำหรับ "พระเจ้า" ก็เรียกว่า "ปรมาตมัน" สรวงสวรรค์ ก็คือ "ภพ" คือ "ดินแดนแห่งพระเจ้า"
เป็นความรักที่นับว่ามีคุณค่ามหาศาล เพราะรักมวลชนทุกคน ใครทุกข์พยายามช่วยให้ได้ทั้งหมด แม้ที่สุด ตัวเองจะตาย ก็ยอม อย่างเช่น พระศาสดาของศาสนา ที่นับถือพระเจ้ามากมาย เช่น พระเยซู แห่งคริสต์ศาสนา พระโซโรเอสเตอร์ แห่งศาสนาโซโรเอสเตอร์ พระบาฮาอุลลาห์ แห่งศาสนาบาไฮ แม้แต่คุรุนานัก แห่งศาสนาซิกส์ ล้วนแต่นักเสียสละชั้นยอด เสียสละ กระทั่งชีวิตกันแทบทั้งนั้น
          ซึ่งล้วนเป็นศาสนาที่บูชายึดถือ "พระเจ้า" ยึดถือ "God" เป็นความรักที่จัดอยู่ในลักษณะ "เทวนิยม" ซึ่งเป็นลัทธิบูชา "ปรมาตมัน" หรือ "พระวิญญาณยิ่งใหญ่" และไม่ได้ศึกษา เจาะลึกเข้าไป ในความเป็น "อัตตา" หรือ "ปรมาตมัน" กันอย่างละเอียด เฉพาะอย่างยิ่ง จะยังไม่รู้เรื่องของ "อนัตตา" เลย แต่ก็เป็น ศาสนาที่เต็มไปด้วย "พลังสร้างสรรค์" ช่วยมนุษยชาติไว้ได้อย่างมากมาย เพียงแต่ว่า ไม่มีทางหมดสิ้น "อัตตา" เพราะไม่ได้ศึกษาความเป็น "อัตตา" ทั้งของ "กิเลส" และของ "พระเจ้า"
เป็นศาสนาที่ทั้งมุ่งทั้งมั่นไปสู่ "ภพชาติ" แห่งความเป็น "พระเจ้า" ซึ่งเน้นสอนเน้นทำกันแต่ในฝ่าย "คุณงามความดี" เพื่อ มวลมนุษยชาติ อย่างเอาจริงเอาจัง ทุกพลังแห่งจิตวิญญาณ จึงล้วนผนึกแน่น เข้าเป็นหนึ่งเดียวกับ "พระเจ้า" ความเป็น "พระเจ้า" ของศาสนาแบบ "เทวนิยม" จึงเป็น "อัตตา" ที่ใหญ่ยิ่ง ที่เรียกว่า "ปรมาตมัน" ก็ถูกต้องที่สุด "พระเจ้า" คือ "ปรมาตมัน" ที่นิรันดร์อมตะ เป็น "อัตตา" หรือ "อาตมัน" ที่ไม่มีวันสูญสลาย ซึ่งตรงกันข้ามกับศาสนาพุทธ ที่รู้แจ้งแทงทะลุ "อัตตา" และสามารถปฏิบัติ เพื่อสู่ความเป็น "อนัตตา" ได้สำเร็จ เป็นที่สุด
จุดนี้แหละที่สำคัญยิ่งนัก เพราะเป็นจุดต่าง ระหว่างศาสนาที่เป็น "เทวนิยม" กับศาสนาที่เป็น "อเทวนิยม"
กล่าวคือ ศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาแบบ "อเทวนิยม" นั้น ศึกษาความเป็น "อัตตา" หรือ "อาตมัน" ของจิตวิญญาณ อย่างละเอียดครบหมด ทั้ง "อัตตา" ที่เป็น "อัตตา" ของ "ผีนรก หรือซาตาน" ซึ่งเป็นอำนาจฝ่ายเลวร้าย ไม่ดีไม่งาม และทั้ง "อัตตา" ของ"พระเจ้า" ซึ่งเป็นอำนาจฝ่ายดีงาม มีคุณค่าประโยชน์
ที่สำคัญยิ่งก็คือ ศาสนาแบบ "เทวนิยม" ต่างก็หันหน้าเข้า หา "พระเจ้า" ปฏิบัติแต่สิ่งส่วนที่ดีงาม ให้ยิ่งๆ เพื่อถวายพระเจ้า แต่พุทธที่เป็นศาสนาแบบ "อเทวนิยม" นั้น กลับหันหน้าเข้าหา "ผีนรกหรือซาตาน" แล้วปฏิบัติการ อย่างแม่นมั่น คมชัดเข้าไปจับ "ตัวตน" (อัตตา) ของ "ผีนรกหรือซาตาน" และแล้ว ก็เจาะลึก เข้าไปให้ถึง "หัวใจของผีนรกซาตาน" แล้วจัดการทำลาย "หัวใจ" ของมันให้ดับสลาย ตายสนิท ชนิดสิ้นสูญ จึงเป็นการ "ดับตัวตน" ของ ผีนรกซาตานอย่างเด็ดขาด ไม่เหลือตัวตน (อนัตตา) อีกเลย
"ผีนรกหรือซาตาน" ก็คือ "ตัวชั่วร้ายเลวทราม" หรือ "ตัวทุกขอาริยสัจ" นั่นเอง และ "หัวใจ"ของมันก็คือ" ตัวเหตุแห่งทุกข์" หรือคือ "กิเลส-ตัณหา-อุปาทาน" ซึ่งอยู่ใน "จิต" ของคน
เพราะพุทธเห็นว่า หากปล่อยให้ "ผีนรกซาตาน" หรือ "ตัวชั่วร้ายเลวทราม" มีอำนาจอยู่กับเรา แม้จะเพียง ๑ นาที มันก็นำพาเราไปชั่วร้ายเลวทราม ๑ นาที ขืนให้มันอยู่กับเรานานไปอีก เท่าใดๆ เป็น ๕ นาที เป็นชั่วโมง เป็นวันเป็นปี ก็ยิ่งพาเราเลวร้ายชั่วทราม ไปนานเท่านั้นๆ ต้องรีบจัดการกับเจ้า "ผีร้ายซาตาน" พวกนี้ให้ได้เสียก่อนจึงจะถูก เพราะเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งนัก
ส่วน "พระเจ้า" หรือ "ความดีงาม" นั้นจะอยู่กับเราไปกี่นาที หรืออยู่ไปอีกนานเท่าใด ก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ หรือน่ากลัวอะไร เพราะไม่ได้พาเราชั่วร้ายเลวทราม มีแต่จะพาเราดี เราเจริญ จึงไม่ใช่ความจำเป็นรีบด่วน ที่สำคัญกว่า กำจัด "ซาตาน" รีบด่วนกว่า
ดังนั้น ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาเพ่งที่ "ทุกข์" เพ่งเจาะเข้าไปที่ กิเลส-ตัณหา-อุปาทาน อันเป็น "เหตุแห่งความชั่วร้าย" หรือ "เหตุแห่งทุกข์" กันเป็นแก่นเป็นแกนหลัก พูดกันวิจัยกัน แต่เรื่องทุกข์ เรื่องตัวชั่วร้าย ที่จะพาทุกข์ มุ่งปฏิบัติการอยู่แต่ กับเรื่องของ "ตัวชั่วร้าย" ที่จะพาคนไปต่ำไปเลว ไปทำไม่ดี ไม่งาม
โดยสารสัจจะของศาสนาพุทธเป็นเช่นนี้ จึงมีพฤติภาพ ที่ไม่ชวนสำเริงสำราญ เพราะมุ่งมั่นอยู่แต่เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งผู้ไม่รู้นัยสำคัญนี้ ก็พากันเพ่งโทษว่าเป็นศาสนา "ทุกขนิยม" หรือเป็นศาสนา ที่ไม่น่ารื่นรมย์ เพ่งอยู่แต่เรื่องหดหู่ใจ ผู้คนจึงไม่ค่อยนิยม เพราะไม่เหมือนศาสนาที่พูดกัน มุ่งพากันทำแต่เรื่องเหตุดีผลดี ซึ่งเป็นเรื่อง "พระเจ้า" ทั้งนั้น
ศาสนาที่มุ่งอยู่แต่กับ "ความดีงาม" เรื่อง "พระเจ้า" แต่ไม่นำพา หรือไม่เน้นถึงเรื่อง "ซาตาน-ความไม่ดีไม่งาม" เน้นเด่นสำคัญกันที่เรื่อง "ความดีงาม" ไม่นำเรื่อง "ไม่ดีไม่งาม" มาทำให้เสีย พฤติภาพ จึงเป็นศาสนาที่น่านิยม ชมชื่นชวนใจ
เมื่อไม่นำพาไม่ใส่ใจในฝ่าย "เหตุแห่งความไม่ดีไม่งาม" อันคือ กิเลส, ตัณหา, อุปาทานต่างๆ หรือ ความเป็น "ซาตาน" ความเป็น "ผีนรก" ซึ่งเป็น "สมุทัยแห่งความเลวร้าย หรือเหตุแห่งทุกข์" จึงได้แต่ "ปล่อยวาง" ไม่สนใจความทุกข์ ความเลวร้าย ทิ้งขว้างความเลวร้ายต่างๆ ไป ไม่เอาใจใส่เจ้าตัวพวกนั้น หรือ ไม่ต้องรู้เรื่องกิเลสต่างๆ ไม่ได้เรียนรู้ความเลวร้าย และเหตุหรือ "หัวใจ" แห่งความเลวร้ายให้ถ่องแท้ ทะลุปรุโปร่ง ไม่ได้ทำลายถูกตัวถูกตน ถูกหัวใจ ของเจ้าพวกความเลวร้ายพวกนี้ ให้สิ้นซาก ทั้งหยาบ กลาง ละเอียด
ซึ่งวิธีอย่างนี้ ก็เป็นวิธี "สมถะ" ธรรมดาๆ ที่ศาสนาส่วนใหญ่ทั้งหลายทั่วๆ ไป ก็ทำกันอย่างนี้ จึงเท่ากับ ปล่อยปละละเลย "ตัวเหตุแท้แห่งความไม่ดีไม่งาม" หรือกักเก็บ "เจ้าพวกตัวเลวร้ายเหล่านั้น ไว้ในก้นบึ้ง ของจิต" ไม่ให้มันขึ้นมาวุ่นวายกับตนเท่านั้น โดยไม่ได้จับได้ไล่ทัน "ตัวมัน" (อัตตา) และลดละ หรือ ทำลายมัน ให้ดับสนิทไปได้จริงจนเด็ดขาด
ศาสนาที่เป็น "เทวนิยม" ก็จะเป็นเช่นนี้ เป็นศาสนาที่เก่งกาจสามารถ ในการทำคุณงามความดี รักมวลมนุษยชาติ รักทุกสรรพสิ่ง เสียสละได้เก่งเยี่ยมเก่งยอด มุ่งมั่นในคุณภาพ ดังกล่าวนี้จริงจัง
            ศาสนาเช่นนี้ จะมีอยู่นิรันดร์คู่ไปกับมวลมนุษยชาติในโลก เรียนรู้ได้ไม่ยากนัก หากปฏิบัติเอาจริง ก็สามารถ เป็นได้ ดีได้จริง จึงมีคุณค่าประโยชน์ต่อโลก ต่อมวลมนุษยชาติได้มาก และอยู่นาน นิรันดร์ทีเดียว
แต่..เพราะไม่ได้สงสัยไหวทันต่อความเป็น "อัตตา" (ตัวตน) หรือ "อาตมัน" (ตัวตน) จึงไม่ได้เอาจริง เอาจัง ในการค้นคว้า ศึกษาเรื่อง "อัตตา" (อาตมัน)
จึงไม่มีการศึกษาที่มีทฤษฎีและวิธีการเจาะเข้าค้นความจริงในเรื่อง "อัตตา" หรือ "อาตมัน" และ "ปรมาตมัน"
จึงไม่ได้เรียนรู้กันถึงความเป็น "ตัวตนของจิตวิญญาณ - ตัวตนของพระเจ้า - ตัวตนของกิเลส"
จึงไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียดถูก "ตัวตน" ของกิเลส ของซาตาน ของจิตวิญญาณของพระเจ้า ชนิดรู้แจ้งรู้จริง
จึงไม่ได้เรียนรู้ถึงขั้นอภิธรรม อันจะต้องวิเคราะห์ "จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน" อย่างรู้แจ้งแทงทะลุ เป็นสัจธรรม สมบูรณ์
จึงไม่สามารถเข้าใจรอบถ้วนในความเป็น "อัตตา" หรือ "อาตมัน" และ "ปรมาตมัน"
จึงสนิทใจ.. "อัตตา" ก็ยิ่งเป็น "ตัวตน" ปรมาตมัน
และกลับจะมีแต่ยิ่งหลงยึดติดแน่นในความเป็น "อัตตา" หรือ "ตัวตน" ว่าเป็นยอดแห่งจิต ยอดแห่งวิญญาณ จนกระทั่ง ถึงขั้นเป็น "อัตตา หรือ อาตมันที่ยิ่งใหญ่สุดยิ่งใหญ่" จึงยิ่งทั้งแน่นผนึกเนียน ทั้งเนิ่นนาน นิรันดร์กาลเป็น "ปรมาตมัน" (ตัวตนยิ่งใหญ่สูงสุด) อยู่ตลอดไปกับคุณงามความดีให้แก่โลก
ดังนั้น ที่จะรู้แจ้งแทงทะลุในสภาพ "อนัตตา" (ไม่เหลือ ตัวตน, ไม่ใช่ตัวใช่ตน, ไม่มีตัวตน) จึงหมดโอกาส จึงไม่ใช่ทางที่จะหมด "ตัวตน" จนสามารถเข้าถึง "นิพพาน" ได้ แน่ยิ่งกว่าแน่
ซึ่งศาสนาที่ยังไม่มี "นิพพาน" เยี่ยงนี้ จะมีอยู่ในโลกเสมอ ไม่มีขาดสาย มีหลายลักษณะ หลายระดับ แห่งคุณค่าด้วย นับเป็นสุดยอดแห่งความรักฝ่ายโลกีย์ หรือฝ่าย "อัตตา"
ดังนั้น ความรัก มิติที่ นี้ จึงชื่อว่า "เทวนิยม" หรือ "ปรมาตมันนิยม"

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘