มหาตมะ คานธี บุรุษผู้เป็นดั่งแสงสว่างของคนทั้งโลก

มหาตมะ  คานธี  บุรุษผู้เป็นดั่งแสงสว่างของคนทั้งโลก
พระยาอนุมานราชธน กล่าวว่า คุณธรรมคือความงามความดี จะมียืนยงและยิ่งใหญ่อยู่ในประวัติของบุคคลก็ต่อเมื่อกาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์มาดีแล้ว ผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็นบุรุษเอกของโลก ซึ่งมีมาแล้วไม่กี่คน คนหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคปัจจุบันมีอยู่ท่านหนึ่งคือ มหาตมะ  คานธี  บุคคลผู้ต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นเอกราชของชาติ และได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของชาติอินเดีย บิดาของคนกว่า 400 ล้านคน
โมฮันดัส   คารามจันทร์ มหาตมะ  คานธี  เกิดเมื่อ วันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ.1869    ณ เมืองโประพันทระ รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เป็นบุตรของ นายกรมจันทร์ และนางปุตลีใบ มีพี่น้องร่วมมารดา 4 คนท่านเป็นคนสุดท้อง ชีวิตในวัยเด็กของท่านไม่ได้แตกต่างไปจากพวกเราเลย มีพ่อแม่ มีครอบ-ครัวที่อบอุ่น มีศีลธรรมประจำใจ นั่นคือ "สุจริตธรรม" ได้เรียนหนังสือ ได้แต่งงาน ได้ทำงานในสาขาวิชาที่เรียนมา เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ ถ้าหากว่าวงเวียนชีวิตของท่านดำเนินไปอย่างนี้เรื่อยๆ เราก็อาจจะไม่มีวันได้รู้จักบุรุษแห่งดินแดนภารตะผู้นี้เป็นแน่ แล้วอะไรหรือคือวีรกรรมที่เขาสามารถกระชากหัวใจของคนทั้งโลกให้แซ่ซ้องสรรเสริญได้ ดิฉันเองแม้มิได้รู้จักท่านเป็นการส่วนตัว เพราะเกิดไม่ทันในกาลสมัยของท่าน แต่ทุกครั้งที่อ่านชีวประวัติ คำคม ของท่าน …แปลก… ที่น้ำตามักจะคลอเบ้า ด้วยใจที่ตื้นตัน ท่านผู้นี้มีอิทธิพลต่อความคิดของฉันเพราะอะไร
1.    1.      ความเป็นคนเคารพตนเองและเชื่อมั่นในตนเอง  ท่านเขียนเล่าว่า เมื่อท่านเรียนมัธยม คุณครูได้ให้นักเรียนเขียนคำที่ครูบอก แต่ท่านเขียนไม่เป็น ครูจึงให้ท่านดูของเพื่อน แต่ท่านไม่ทำตาม ท่านกล่าวว่า "การเขียนโดยแอบดูของเพื่อนหรือลอกของเพื่อนมานั้นเป็นสิ่งที่ไม่ทำให้ฉันภูมิใจเลยและฉันก็จะไม่กระทำเป็นอันขาด" การเคารพตนเองถือว่าเป็นสิ่งสำคัญประการแรกที่มนุษย์พึงมี เพราะหากแม้ตนเองยังไม่เชื่อมั่นในตนเองก็คงยากที่จะหาใครเชื่อมั่นในตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาที่ต่อไปจะต้องเป็นพลเมืองอนาคตของชาติ เป็นพ่อแม่ของคนอีกทั้งประเทศ ท่านจะสร้างชาติที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร โดยขาดความมั่นใจและเป็นตัวของตัวเอง การลอกเลียนแบบของผู้อื่นมิใช่วิถีทางของปัญญาชนหรอกนะคะ
2.    2.      ความเป็นคนใจกว้างแก่ศาสนาทุกศาสนา  ท่านคานธีเป็นผู้ที่เคร่งครัดในศาสนามาก ศาสนาสำหรับท่านแล้วมีความหมายเท่าชีวิต แต่ท่านก็ไม่ละเลยที่จะสนใจศึกษาศาสนาอื่นอีกทั้งยังให้ความเคารพแก่ทุกศาสนาด้วย เพราะทุกศาสนาต่างก็มีจุดหมายที่ต้องการให้คนเป็นคนดี และดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขทั้งนั้น "ศาสนามิได้มีเพื่อแยกแยะคน" ท่านกล่าว พี่ๆและเพื่อนๆคงจะเคยทราบเรื่องสงครามศาสนาที่มีมาแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็นสงครามครูเสด หรือแม้แต่ปัจจุบัน กลุ่มแบ่งแยกดินแดนต่างๆที่ต่อสู้ เข่นฆ่ากันเพียงเพราะความเชื่อในศาสนาที่ต่างที่มา กันเท่านั้น เลือดนองแผ่นดินเพื่อศาสนาที่พวกเขาเปรียบประดุจผ้าขาวบริสุทธิ์ จะมีประโยชน์อันใดเล่าถ้ามันได้มาจากแผ่นดินที่เปื้อนเลือด
3.    3.      ใฝ่สันติ ปฏิเสธสงคราม   ท่านคานธีเป็นคนที่ไม่ชอบทหารมาตั้งแต่เด็ก ทุกครั้งที่ทหารเดินผ่านหน้าบ้านเด็กคนอื่นๆจะออกไปโห่ร้องยินดี แต่ท่านกลับรู้สึกกลัว ทหารเป็นสัญลักษณ์แห่งการฆ่า และสงครามที่นำมาซึ่งหายนะ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็เจ็บตัวไปเท่าๆกัน ที่เป็นเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าท่านขี้ขลาดหรือท่านกลัวตายหรอกนะคะ เพราะชีวิตอยู่ท่ามกลางความตายอยู่แล้วจะกลัวอะไร และท่านก็ไม่คิดว่า การใช้อำนาจโดยการเข่นฆ่าผู้อื่นคือรูปแบบของความกล้าหาญ "นักรบที่ถืออาวุธคือนักรบที่ขี้ขลาด การสร้างอำนาจด้วยพละกำลังคือการแสดงออกอย่างขลาดเขลายิ่ง" จนแม้เมื่อท่านต่อสู้เพื่ออิสรภาพของอินเดียจากอังกฤษท่านก็ไม่คิดจะก่อสงคราม เพราะสงครามไม่ได้ของเรื่องของดินแดน2 ดินแดนเท่านั้น แต่คือความเสียหายที่จะเกิดแก่โลก " โลกที่มนุษย์ต้องการนั้นจะซื้อหาด้วยเงินได้ไม่ โลกถูกสงครามทำลายล้าง ความจงเกลียดจงชังอันเก่าแก่ก็จะคุขึ้นมาอีก โลกต้องการสันติภาพถาวรและไมตรีจิตอันยั่งยืน" หากว่า เราทุกคนสามารถคิดได้อย่างท่าน ดาวเคราะห์ดวงสีน้ำเงินดวงนี้คงจะสวยงามและน่าอยู่กว่านี้มากนักนะคะ
4.    4.      ความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว   เป็นธรรมดาของบุคคลที่ไม่ธรรมดาของโลกที่มักจะมีความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ และกล้าที่จะทำ ในสิ่งที่ตนใคร่ครวญว่าถูกต้องเหมาะสมและอยู่ในวิสัยที่ตนจะทำได้แล้วมากกว่าคนธรรมดาที่ธรรมดาอยู่อย่างนั้นเสมอ แต่นั่นต้องเป็นความกล้าหาญที่มีคุณธรรมเพราะ  "หากตนไม่สามารถเป็นสุภาพบุรุษด้วยคุณธรรมความดีของตนแล้วไซร้ การกระทำนั้นก็หามีคุณค่าไม่" การอดอาหารประท้วง การเดินทางด้วยเท้า การต่อต้านสินค้าอังกฤษ การเดินเข้าคุกอย่างองอาจ  "หากข้าพเจ้ามีความผิด ด้วยมุ่งมั่นที่จะเสาะแสวงหามนุษยธรรมแล้ว ข้าพเจ้าของพลีชีวิตแด่เพื่อนร่วมชาติและร่วมโลกด้วยความตั้งใจจริงไม่เปลี่ยนแปลง" สิ้นคำพูดของคานธี ที่กึกก้องกัมปนาท คนอินเดียหลายร้อยล้านลุกฮือขึ้นมา เพื่อร่วมเดินทางร่วมอุดมการณ์กับท่าน นี่หรือเปล่าค่ะที่เราเรียกว่าพลังที่เอาชนะใจคนได้โดยใช้ใจแลกมาอย่างแท้จริง
5.    5.      ความมีสำนึกแห่งความเป็นชาติ   "ข้าพเจ้าจะไม่มีวันมีความสุขได้ หากผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาพวกเราไม่มีความสุข" นั่นคือคำกล่าวของท่าน แม้ว่าความโดดเดี่ยวจะคือหนทางของนักปราชญ์ที่เรามักจะได้พบเห็นเสมอ และแม้แต่ท่านคานธีเองท่านก็ไม่ปฏิเสธว่าท่านมิโดดเดี่ยว แต่ฉันคิดว่า ท่านไม่ได้โดดเดี่ยวเลย บนทางที่ท่านเดินมีคนอีกมากมายหลายร้อยล้านคนเดินไปพร้อมๆกับท่าน ในโลกอันกว้างใหญ่มีอีกนับพันล้านที่ชื่นชมและร่วมฝันไปกับสิ่งที่ท่านกระทำ นั่นไม่ใช่ความโดดเดี่ยวแต่คือความโดดเด่นซึ่งน้อยครั้งนักที่จะเกิดบุคคลอันเปล่งแสงเจิดจรัสที่สุดกว่าแสงทั้งปวง และแม้ว่าแสงสว่างที่ท่านมีจะสดใสกว่าใครๆท่านก็ไม่ได้มีไว้เพื่อส่องทางให้เพียงแต่ตนเดิน ท่านพาเพื่อนร่วมชาติเดินไปด้วย ท่านพาเพื่อนร่วมโลกเดินไปด้วย สำนึกของความเป็นพี่น้องร่วมโลกนี่แหละค่ะที่จะสร้างสันติแก่เราทุกคนอย่างถาวร เราจะแก่งแย่ง ฆ่าฟัน กันเพื่ออะไรในเมื่อเราทั้งผองล้วนเป็นพี่น้องกัน
    มหาตมะ  คานธี ถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ.1948 เวลา 17.05 น.  ณ สนามหญ้าขณะที่ท่านกำลังสวดมนต์อยู่ด้วยอาวุธปืน และลูกปืนสามนัด โดยนายนาธูราม ก๊อกซี  ท่านจากไปอย่างสงบ เพราะเมื่อเวลานั้น อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษแล้ว จุดมุ่งหมายของท่านบรรลุแล้ว แต่พี่ๆและเพื่อนๆ เชื่อไหมคะว่า ถึงตอนนี้ เดือนกันยายน ปี 2000 ท่านคานธีก็ยังอยู่….เขายังอยู่ในใจของคนอินเดีย และคนทั้งโลกเสมอ ยังไงล่ะคะ ท่านคานธีเคยกล่าวว่า " การกระทำของข้าพเจ้าจะคงอยู่ต่อไป หาใช่คำพูดหรือข้อเขียนของข้าพเจ้าไม่" ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้น
เพื่อนๆและพี่ๆคะ เรื่องราวของมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของโลกท่านนี้ หากจะให้ดิฉันเรียงร้อย
เป็นถ้อยคำให้หมดแล้วล่ะก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะว่าต้องใช้เวลาทั้งช่วงชีวิตเท่าๆกับที่ท่านดำเนินชีวิตอยู่หรือเปล่า เพราะทุกฉากทุกตอน ทุกเรื่องราว คือข้อคิด มุมมองที่น่าสนใจทั้งนั้น ฉันเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ปรารถนาอะไรไปมากมายเท่ากับความสุข สงบ และร่มเย็นในชีวิต แม้เป็นเพียงประชากรโลกธรรมดาก็มีค่าสูงสุดแล้วและฉันก็เป็นเพียงผู้เล่าเรื่องราวความรู้สึกของฉันที่มีต่อผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้เท่านั้น  สิ่งที่ท่านกระทำ จะเป็นแรงบันดาลใจให้เรา ก้าวผ่านช่วงเวลาที่ทุกข์ร้อน และเป็นประตูให้เราก้าวขึ้นบันใดทีละขั้นๆ อย่างมั่นคง ไปสู่แสงสว่างแห่งปัญญา ชีวิต และ
คุณธรรมที่จะนำโลกสู่สันติสุข  เรามาเดินไปด้วยกันเถิด พี่น้องทั้งหลาย ฉันพูดเช่นนี้ได้ใช่ไหมคะ
นรชาติย่อมวางวาย      มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตย์ทั่วแต่ชั่วดี     ประดับไว้ในโลกา.
มหาตมะ  คานธี ผู้วางตนอยู่บน วัตถุประสงค์ของการมีชีวิตคือ อยู่ให้ถูกต้อง คิดให้ถูกต้อง กระทำให้ถูกต้อง หากการศึกษาอัตชีวประวัติคือการเรียนรู้เรื่องราว การกระทำของผู้ที่ได้ผ่านโลก ได้สั่งสมประสบการณ์มาก่อน นั่นคือภูมิปัญญาที่จะพัฒนาตน พัฒนาความคิด และจิตวิญญาณของคนต่อๆไป แล้วล่ะก็ เราคงต้องขอขอบคุณ ท่านคานธี ที่ได้สร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่เพื่อเราทุกคน
He is a light to the whole world. มหาตมะ  คานธี  เป็นแสงสว่างแก่โลกทั้งผองจริงๆ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘