เจ๊เล้ง ดอนเมือง

“เจ๊เล้ง ดอนเมือง”
เธออาจจะไม่โด่งดังคับฟ้า
เธออาจจะไม่เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ
เธออาจจะเป็นแค่เจ้าของร้านค้า ร้านหนึ่ง ที่มีคนรู้จักแค่เพียงบางกลุ่ม
แต่ทำไมผมถึงเลือกอัตชีวประวัติของเธอมาพูด
ทำไมผมถึงไม่เลือกอัตชีวประวัติของบุคคลอื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงมากกว่านี้
ทำไมผมถึงชื่นชอบในตัวของเธอ
คำตอบ...เธอ คือ นักสู้
นักสู้ที่เริ่มต้นชีวิตของตัวเองจากศูนย์
แต่วันนี้ เธอมีทุกอย่างครบพร้อม
เธอประสบความสำเร็จในธุรกิจของตนเองอย่างงดงาม
เธอมีครอบครัวที่แสนอบอุ่น
เธอมีทรัพย์สินมากมายมหาศาล
และเธอผู้นี้ คือ “เจ๊เล้ง ดอนเมือง”
    “เจ๊เล้ง” ใครเคยได้ยินชื่อนี้บ้างครับ บางคนอาจจะรู้จัก และบางคนก็อาจจะไม่รู้จัก ไม่เป็นไรครับ สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก วันนี้ทุกคนจะได้รู้จักกับเธอ ส่วนใครที่รู้จักแล้ว วันนี้ทุกคนก็จะได้รู้จักกับเธอมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น เรามาทำความรู้จักกับเธอไปพร้อม ๆ กันเลยครับ
    “เจ๊เล้ง” หรือ คุณอารยา อภิสิทธิ์อมรกุล อายุ 53 ปี เป็นเจ้าของร้าน “เจ๊เล้ง” ตั้งอยู่ที่ตลาดใหม่ ดอนเมือง จ. กรุงเทพฯ ขายสินค้านำเข้าจากต่างประเทศแต่ราคาถูก เช่น เครื่องสำอาง ของกินของใช้ เสื้อผ้า อุปกรณ์กีฬา นาฬิกา เป็นต้น ขณะนี้กำลังขยายกิจการของตนเองด้วยการสร้างตึก ในราคา 300 ล้านบาท โดยใช้เงินสดที่เป็นเงินเก็บของตัวเองทั้งหมด คนในแวดวงธุรกิจนำเข้าหรือประชนชนที่นิยมใช้ของนอกแต่ราคาถูก จึงยกให้เธอเป็น “เจ้าแม่ดิวตี้ฟรีนอกระบบ” หรือเรียกตรง ๆ ว่า หนีภาษีนั่นเอง ทุกคนอาจจะสงสัยว่า ในเมื่อเป็นเป็นของหนีภาษีและทำไมตำรวจถึงไม่จับ ทำไมจึงดำเนินธุรกิจมาถึงปัจจุบันนี้ได้และทำไมคนถึงนิยมซื้อสินค้าจากร้านนี้มากมาย เรามีคำตอบ แต่ขออุบไว้ก่อน เพราะเราจะมาดูกันว่า เธอเข้ามาสู่การดำเนินธุรกิจนี้ได้อย่างไร จนประสบความสำเร็จขณะนี้และทำไม ผมจึงยกย่องให้เธอเป็นนักสู้
    ที่ผมยกย่องให้เธอเป็นนักสู้นั้น เพราะก่อนที่เธอจะร่ำรวยและประสบความสำเร็จได้มากขนาดนี้เธอเคยเป็นคนจน ๆ มาก่อนเธอเล่าว่าสมัยเด็ก ๆ ลำบากมาก พ่อแม่เป็นครูสอนหนังสือภาษาจีน ตอนหลังโรงเรียนยุบกิจการก็ไม่มีอาชีพ ไม่มีเงินจะส่งลูกให้เรียนหนังสือต้องไปกู้ยืมคนอื่น ทุกวันนี้เธอจึงเกลียดการเป็นหนี้มาก และไม่ยอมเป็นหนี้ใครเพราะเห็นสมัยก่อนเวลาที่แม่ของเธอไปยืมเงินใครเขาจะเดินหนีแม่ของเธอทุกที แต่แม่ก็ต้องทนอายเพื่อจะได้เงินมาส่งลูกให้ได้เรียน เมื่ออายุประมาณ 14-15 ปี เธอก็ต้องออกมาขายของเพราะที่บ้านมีกิจการขายของเป็นแผงเล็ก ๆ จำพวกท๊อฟฟี่ เสื้อผ้า ของเด็กเล่น จับฉลาก พอดีพี่สาวแต่งงานเธอก็ต้องมาสืบทอดกิจการลูกคนอื่น ๆ ก็เรียนต่อ จะเน้นลูกชายเป็นหลักลูกสาวก็ให้ค้าขายเธอก็ค้าขายไปด้วยเรียนภาคค่ำ กศน. ไปด้วย เธอลงทุนขายของเริ่มต้นแค่พันสองร้อยบาท แล้วก็เก็บหอมรอมริบ ไม่เที่ยว ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ปีแรกจึงเก็บเงินได้ถึง 1 แสนบาท จากคนที่ไม่ชอบทำอะไรเหมือนคนอื่น ชอบคิดว่าทำไมเราไม่ทำอย่างโน้น อย่างนี้อยู่ตลอดเวลา จึงเป็นที่มาว่าทำไมเราไม่หาของแปลกใหม่มาขาย ทำไมต้องมาขายของแผงลอยติดกับแผงขายหมูได้กำไรวันละแค่ร้อยกว่าบาท จึงเริ่มสำรวจตลาดว่าเขานิยมขายอะไรกันและนำมาพัฒนาตัวเอง จากแรกที่ขายของสำหรับชาวบ้านธรรมดาก็เพิ่มสินค้าที่เกินกำลังชาวบ้าน ที่ชาวบ้านไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักลองนำมาขายดู ความจริงเขาอาจจะมีปัญญาซื้อแต่ไม่รู้จะไปซื้อที่ไหน เธอก็นำของแปลก ๆ ใหม่ ๆ มาขาย เช่น เครื่องสำอาง มียี่ห้อที่ไปรับมาจากคลองเตยโดยขายในราคาถูกกว่าในห้าง 50-60 % คนก็สนใจ เมื่อขายดีขึ้นก็ค่อยปรับปรุงร้านจากแผงลอยเล็ก ๆ มาเช่าที่กั้นเป็นคอกสี่เหลี่ยม จุดนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการขายแบบ “ดิวตี้ฟรีนอกระบบ” หรือ “หนีภาษี” เธอยอมรับว่าในช่วงแรก ๆ นั้นสิ้นค้าในร้านทุกชิ้นเป็นของหนีภาษีทั้งหมด แต่ในปัจจุบันเธอเสียภาษีถูกต้องทุกประการ ปีไหนขายดีช่วงที่เศรษฐกิจดีปีนั้นเสียภาษีถึง 200-300 ล้านบาท แต่ก่อนที่ขายของหนีภาษีเพราะไม่รู้ว่าภาษีคืออะไร และไม่รู้ว่าต้องจ่ายภาษีพอขายดีมาก ๆ ก็เริ่มให้เพื่อนที่เป็นแอร์หิ้วมาขาย จากนั้นก็ขยายมาเป็นการติดต่อกับเอเยนต์แล้วก็เริ่มก่อตัวเป็นรูปบริษัท ชื่อ “เอ แอนด์ เจ บิวตี้โปรดักส์” จากนั้นก็เลยเปลี่ยนมาขายของถูกกฎหมาย ซึ่งเหตุผลที่ทางร้านขายของถูกกว่าที่อื่นได้ทั้ง ๆ ที่เป็นสินค้าเสียภาษีถูกต้องนั้น เพราะทางร้านซื้อสินค้าด้วยเงินสดทั้งหมดแล้วซื้อทีละเยอะ ๆ เมื่อซื้อเยอะ ๆ ก็ซื้อได้ถูก พอซื้อได้ถูกขายก็เอากำไรนิดหน่อย ประมาณ 2-5 % เท่านั้น แต่ของที่ขายในห้างบวกกำไรถึง 500-700 % ทำให้ราคาต่างกันมากจนคนคิดว่าเป็นของปลอมแต่เธอก็รับประกันว่าของทุกชิ้นในร้านเป็นของแท้ 100 % เพราะมีเอเยนต์ส่งจากต่างประเทศโดยตรงและสินค้ามี อย. ทุกตัว ซึ่งขณะนี้กิจการของเธอกำลังเจริญรุ่งเรืองมากจนต้องขยายกิจการด้วยการสร้างตึก 2 ตึกริมถนนวิภาวดี-รังสิต บนเนื้อที่ทั้งหมด 4 ไร่ กว่า โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งหมด 200 กว่าล้านบาทถ้ารวมค่าที่ด้วยก็ประมาณ 300 กว่าล้านบาท ทั้งหมดนี้ใช้เงินสดกับเงินเก็บของตัวเองทั้งหมดโดยไม่กู้ธนาคารเลยซึ่งเงินเก็บที่ได้มาจากการเก็บหอมรอมริบตั้งแต่อายุ 15 ปี จนถึงปัจจุบันอายุ 53 ปี ทำงานมา 38 ปี เกือบ 40 ปีแล้ว กว่าจะได้เงินก้อนนี้มาและที่เธอยอมขยายงานสร้างตึกนี้ขึ้นมาเหตุผลหนึ่งก็เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตัวเองและครอบครัว
    ครับ…และทั้งหมดนี้ก็คือ ชีวิตของ “เจ๊เล้ง” ชีวิตของเธอสอนอะไรแก่พวกเราบ้างอย่างแรกเลยนั่นก็คือ ความอดทน อดทนที่จะทำมาค้าขายหาเลี้ยงชีพแม้จะอายุเพียง 14-15 ปี ลองนึกว่าถ้าเป็นพวกเราบางคนอายุเพียงเท่านี้ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ต้องคอยให้พ่อแม่ประคบประหงมอยู่ตลอดเวลา  อย่างที่สอง คือ ความอดออมรู้จักเก็บเงินมาตั้งแต่อายุ 15 ปี จนปัจจุบันสามารถสร้างตึกราคาหลายร้อยล้านบาทด้วยเงินเก็บของตัวเอง ฟังแล้วน่าทึ่งจริง ๆ อย่างที่สาม คือ ความเป็นคนหัวการค้าฉลาดในการค้าขายเห็นได้จากการมีความคิดริเริ่มที่จะนำของแปลก ๆ ใหม่ ๆ มาขายโดยพยายามที่จะสำรวจตลาดอยู่ตลอดเวลา ว่าความต้องการของตลาดในขณะนั้นเป็นเช่นไร อีกทั้งยังมีกลยุทธ์ในการขายคือการขายของถูกกว่าที่อื่น ๆ มาก จึงทำให้คนสนใจที่จะซื้อสินค้าในร้านของเธอและสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราได้เรียนรู้จากชีวิตของลูกผู้หญิงคนนี้ก็คือ ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่คนธรรมดาจน ๆ คนหนึ่งไม่ได้ร่ำรวยมาตั้งแต่เกิดและไม่ได้มาจากตระกูลอันสูงส่งแต่ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ ไม่ว่าจะทั้งในธุรกิจการงาน ครอบครัว การใช้ชีวิต ขอเพียงแค่มีความอดทน อดออม มุมานะ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ก็ประสบความสำเร็จได้ ดังคำพูดของเธอที่ว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดในการขยายงานสร้างตึกที่มีมูลค่ามากมายมหาศาลนั้น ก็คือ อยากให้ทุกคนได้เห็นว่า เราเองจากคนที่เริ่มต้นมีเงินแค่ 1,200 บาท แต่มีความตั้งใจ ขยัน อดทน มันก็สามารถจะประสบความสำเร็จได้ จากคนจน ๆ คนหนึ่งก็สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวเป็นเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ ๆ ได้ มีตึกเป็นของตัวเองได้”
    สุดท้ายนี้ ผมหวังว่าทุกคน คงจะได้นำประสบการณ์ชีวิตของนักสู้คนนี้ “เจ๊เล้ง ดอนเมือง” ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตของทุก ๆ คนบ้างนะครับ คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะทำดีได้ เลือกที่จะทำให้ชีวิตของเราประสบความสำเร็จได้ หากเราทุกคนมีความพยายาม และตั้งใจอย่างแท้จริง

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘