ดร.นิติภูมิ นวรัตน์

ดร.นิติภูมิ นวรัตน์

ท่านใดที่เคยอ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คงจะเคยอ่านคอลัมน์ “ เปิดฟ้าส่องโลก” หรือ “ ฟุดฟิดพอไฟ” แม้ไม่เคยอ่าน ก็คงจะเคยผ่านตามาบ้างแล้ว ผู้เขียนคอลัมน์ทั้งสองนี้ ก็คือ ร.ต.อ ดร. นิติภูมิ นวรัตน์ ซึ่งโดยเฉพาะคอลัมน์ “ เปิดฟ้าส่องโลก” นี้ทำให้ชื่อ นิติภูมิ นวรัตน์ เป็นที่รู้จักและสนใจมากยิ่งขึ้น ด้วยสไตล์การเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ เนื้อเรื่องเขียนได้กระชับ เข้มข้น น่าสนใจ และแฝงข้อคิด ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าเขาเป็นยิ่งกว่าผู้รู้ ไม่ว่าจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องอะไรดูเหมือนว่าเขาจะมองเรื่องนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้วจึงนำมาเขียนหากไม่ได้อ่านนิตยสารแพรว ฉบับที่ 489 ประจำวันเดือนมกราคม ก็คงจะไม่ทราบว่ารูปร่าง หน้าตา อายุอานามของเค้าเป็นอย่างไร เพราะในความคิดของดิฉันคิดว่า คงเป็นชายแก่ๆ ที่ใส่แว่นตาหนาเตอะ แต่กลับตรงกันข้ามคะ อายุของเค้าเพิ่งจะ 30 ต้นๆเอง แต่ถ้าเทียบกับประสบการณ์ของเค้านี่ ดูเหมือนว่าจะมากกว่าอายุของเค้าด้วยซ้ำคะ มันทำให้ดิฉันรู้สึกประทับใจในตัวผู้ชายคนนี้มาก     ที่ว่าประทับใจนั้น สิ่งแรกก็คงจะเป็นความพยายาม มานะ บากบั่นของชีวิตและการเรียนของเค้า ซึ่งทั้งชีวิตและการเรียนของเค้านั้นออกจะลุ่มๆดอนๆ เหมือนกับว่าจะเรียนไม่จบ แต่ก็จบมาได้อย่างเฉียดฉิว    เริ่มตั้งแต่เด็ก พ่อแม่อยากให้เรียนแต่ไม่มีเงินส่ง จึงนำไปฝากไว้กับพระที่วัดปากคลองกุ้ง จ.ตราด จนจบม.ศ 5 จากนั้นก็เข้าสอบทุนของโรตารีได้ไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย จากเด็กบ้านนอก ก็กระโดดไปเป็นเด็กนอก เขาบอกว่าการอยู่วัดทำให้เข้าได้สิ่งดีๆ เยอะ ทุกครั้งที่มีพระธุดงค์มาแวะพักที่วัด พระก็มักจะให้ศีลให้พร สอนให้รู้จักการท่องจำ เพราะการท่องจำทำให้มีสมาธิ ส่งผลให้เขามีสมาธิท่องจำหนังสือเรียน จนสอบทุนได้      เมื่อไปเรียนที่ออสเตรเลียได้ ปีกว่าก็ต้องถูกส่งกลับเมืองไทย เพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ด้วยเหตุผลที่เขาพยายามจะจัดตั้ง สหกรณ์ ขึ้น และเขามักชอบพูดคำว่า co-operatives ซึ่งหมายถึง สหกรณ์ คำว่า co มาจากภาษาละตินว่า com แปลว่า กับ หรือ ด้วยกัน บวกกับช่วงนั้นมีข่าวออกมาว่า สหกรณ์เป็นลูกหลานของคอมมิวนิสต์ด้วย ทำให้เขาต้องถูกส่งกลับประเทศ เรียนก็ไม่จบดังตั้งใจ
กลับมาเมืองไทยก็ไม่กล้ากลับบ้านเพราะกลัวชาวบ้านนินทา ส่งสารพ่อแม่ จึงไม่ขออยู่วัด อาวุธวิกสิตาราม เขาเป็นเด็กวัดคนเดียวที่จดราบการบันทึกไว้ว่า บ้านไหน ซอยไหนชอบใส่บาตรด้วยอาหารอะไร เขาจึงเป็นที่ชื่นชอบของพระนวก เพราะเมื่อใดที่อยากฉันท์อาหารอร่อย ก็จะถามาเขาเสมอๆ แล้วก็จะได้ฉันท์ตามนั้นจริงๆ แต่อยู่ได้ไม่นาน แม่ก็ขอให้เขากลับบ้าน เขาก็กลับ พยายามทำตัวให้เงียบที่สุด เพื่อไม่ให้ชาวบ้านรู้ แต่ก็ทำได้ไม่นานคะ แม้ว่าเขาลงทุนไปซ่อนตัวในบ่อน้ำเมื่อมีเพื่อนบ้านมาเยี่ยม ก็ยังถูกพบจนได้ จึงทำให้เขากลายเป็นคนดังในทางลบของหมู่บ้านไปโดยปริยาย ตอนนั้นเชารู้สึกสงสารพ่อมาก เพราะพ่อเขาเป็นถึงผู้ใหญ่บ้าน ไม่กล้าไปนั่งสนทนาสภากาแฟกับลูกบ้านเหมือนเคยเป็นแบบนี้อยู่นานถึง7ปีที่จะหมดคำครหานินทาได้    เขาก็ตัดสินใจเข้าเรียนในสาขาสหกรณ์ตามที่เขาใฝ่ฝันมา พอเรียนจบก็เข้ารับราชการซีต่ำที่สุดที่ สหารณ์นิคมกบินทร์บุรี จ. ปราจีนบุรี แล้วก็ค้นพบว่าสหกรณ์บ้านเรายังไม่ใช่สหกรณ์ที่แม้จริง จึงลาออกมาอยู่วัดวุธวิกสิตารามเหมือนเดิม มารับจ้างขายเสื้อที่วัดอรุณฯ ได้เช้าละ 20 บาท อาศัยพอพูดภาษาอังกฤษได้ ก็ขายให้ฝรั่งเป็นหลัก ต่อมาเจอเพื่อนเก่า ชวนไปทำงานถอดเทปและเย็บชีตแถวรามฯ ได้เดือนละ 700 กว่าบาท แล้วก็มีนักศึกษานำข้อสอบภาษาอังกฤษมาให้เฉลยด้วยรายได้ก็ขยับขึ้นเป็น9000บาทต่อเดือน   ชีวิตเขาต้องพลักผันอีกครั้ง เมื่อมีนักศึกษามุสลิมมาขอให้เขาติว ภาษาอังกฤษให้ เพราะเรียนมา 8 ปีแล้วติดภาษาอังกฤษอีก 4 ตัว ยังจบไม่ได้ จากนั้นเขาก็รับอาชีพเป็นติวเตอร์ ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นติวเตอร์คนเดียวและคนแรกของรามคำแหง ด้วยคิดค่าจ้างติววิชาละ 1000 บาท ก็มีคนให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องเช่าคอนโดเปิดเป็นห้องติว ต่อมาก็ขยับไปเป็น ตึกแถว 4 ชั้น เปิดเป็นสถาบันติวชื่อ “ บาลานซ์” ก็ยังไม่พอกับคนติวอีก ต้องเช่าเพิ่มอีก 2 คูหา ภายในเวลาไม่ถึงปี ตอนหลังก็เปิดสอนโทเฟลไปด้วย ก็ประสบความสำเร็จอีก เมื่อประการรับติวครั้งใด มีน.ศ มาสมัคร 5-6 พันคน ซึ่งในขณะที่เขาเปิดสอนติว เขาก็เรียนป.ตรีที่รามจนจบ และก็ได้สมัครเรียบป. โทที่ธรรมศาสตร์และจุฬาฯ ไปพร้อมๆกับไม่เคยทิ้งสบาบันติวของเขา
ความฝันเป็นนักสหกรณ์ของเขาก็ยังไม่จบลง เขาไปสมัครสอบเรียนที่ โรงเรียนนายร้องตำรวจ อ. สามพราน จบแล้วก็รับราชาการเป็น ต.ช. ด ที่กาญจนบุรี ก่อนกลับมาเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการข่าวลับในเมืองและปริมณฑลที่กรุงเทพ จนปี 34 ก็ได้ทุน ก.พ. ไปเรียนที่ ม. มอสโกสเตท ที่รัสเซีย ซึ่งเป็นมหาลัยที่ดีที่สุดของรัสเซียในขณะนั้น เรียนได้พักหนึ่ง 24 ธันวาคม 2534 รัสเซียก็แตก ทั้ง 15 รัฐ เคว้งคว้างไม่มีผู้นำ เขาได้มีโอกาสเห็นคนรัสเซียจากที่เป็นคนที่ค่อนข้างมีความรู้ เป็นคนหยิ่ง คิดว่าตัวเองเป็นนักวิทยาศาสตร์ ฉลาด เป็นมหาอำนาจของโลก กลายมาเป็นคนไม่มีอาหารจะกิน เสื้อผ้าไม่มีจะใส่ มีเงินแต่ซื้ออาหารไม่ได้ คนแก่ที่เคยมีศักดิ์ศรีมากๆก็มาเป็นขอทาน ผู้หญิงที่เรียนสูงๆ ถึงมหาลัยก็ยอมนอนกับคนต่างชาติเพื่อแลกกับเงิน ผู้คนยืนร้องให้ตามสองข้างถนน    แม้ว่ารัสเซียจะอยู่ในภาวะวิกฤต เขาก็ยังไม่ทิ้งการเรียน ยังคงมุมานะเรียนจนจบ แม้ว่าเขาตั้งใจจะเรียนทางด้านกฎหมายระหว่างประเทศ แต่จบจริงๆทางด้านประวิติศาสตร์แทน เพราะเรียนไม่ไหว ฟังภาษารัสเซียไม่ค่อยเข้าใจ จึงหาแฟนเป็นคนรัสเซีย ก็กลับพูดภาษาอังกฤษกันมากกว่า จึงหันมาลงตัวที่เปิดสอนภาคภาษาอังกฤษ หลังจากได้ ดร. มาก็กลับมาเป็นตำรวจอยู่พักหนึ่ง หันมาเล่นการเมืองกับคุณสมัคร สุนทรเวช แต่ก็สอบตก จึงลาออกจากตำรวจ เพราะเหตุผลที่ว่าเขาไม่เคยนอนหลับได้สนิทเลย และแล้วเขาก็หันเหชีวิตมาเป็นนักเขียน คอลัมน์ “ ฟุดฟิดฟอไฟ” ให้กับน.ส.พ ไทยรัฐแทนคุณแสงชัย สุนทรวัฒน์ แล้วก็ได้รับเลือกจากบอสใหญ่ของไทยรัฐ ให้เขียนคอลัมน์ “ เปิดฟ้าส่องโลก” ตั้งแต่ ปี 40 เป็นต้นมา และยังได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้ในเรื่องของกฎหมาย การเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ ประวิติศาสตร์ และอื่นๆอีกมากมาย ตามโรงเรียน สถาบัน องค์กร จนกระมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งก็ถือเป็นความสำเร็จของเขาที่เป็นผลมาจากความมานะพยายามของเขา    ไม่เพียงแค่ความพยายามเท่านั้น ทางด้านความคิด จิตสำนึกของความเป็นคนของเขาก็เป็นสิ่งที่น่าศรัทธา เขาเรียกร้องให้มีการจัดตั้งสหกรณ์อย่างถูกรูปแบบขึ้นในประเทศที่เรียกว่ามีความเจริญแล้ว แม้ว่าผลที่เขาได้รับนั้นอาจจะเกี่ยวข้องถึงชีวิตของเขา เขาก็ยังทำ ยังคงตั้งมั่นอยู่ในความคิดของตน
เขายังรู้จักปรับตัวให้มีคุณค่า แม้จะเรียนไม่จบ ก็ยังสามารถนำความรู้ที่มีอยู่มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่เคยจะอยู่นิ่งกับที่และไม่เคยท้อกับสิ่งที่เขาได้พบได้เจอ     เขายังเป็นคนที่ช่างสังเกต ช่างจดช่างจำ เมื่อตอนที่เขาเป็นเด็กวัดที่รู้ว่าบ้านไหน ซอยไหนใส่บาตรด้วยอะไรบ้าง เพราะคงไม่มีเด็กวัดคนไหนทีจะใส่ใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้     เขายังมีมุมมองที่ต่างไปจากคนทั่วไปก็คือ เขาอยากไปเป็นขอทานที่นครวัด ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาหลงใหลมากที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นศาสนสถานแห่งเดียวของโลกที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตกแล้ว ที่นั้นยังมีคนตาบอดที่สีซอได้ไพเราะที่สุดยากที่จะหาเปรียบได้ ทั้งยังเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ และมีภาพทีเขาเห็นว่าสวยที่สุดในโลกนี้ นั้นก็คือ ภาพของแสงอาทิตย์ตกดิน แสงสุดท้ายที่สาดมาหน้าปราสาท ส่องไปทั่วอาณาบริเวณนครวัดแห่งนั้น   จะเห็นว่าการที่เขาจะฝ่าฟันมาถึงทุกวันนี้ได้นั้น ต้องอาศัยความอดทนอย่างสูง คนดังๆหลายต่อหลายคน ล้วนแต่มีชีวิตที่เริ่มต้นจาก 0 แล้วจึงค่อยๆเพิ่มมาเป็น 10 เป็น 20 -30-40 จนถึง 100 ได้ ต่างก็ต้องพบกับอุปสรรค ต้องล้มไม่รู้กี่ร้อยครั้งพันครั้ง ความรู้สึกท้อถอย หมดหวัง และร้องให้ก็ผ่านมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เราต้องรู้จักฝ่าฟันกับสิ่งเหล่านี้ หากชีวิตเราเรียบง่าย สบายๆ มันก็คงจะคล้ายกับข้าวต้ม ที่มีแต่เรื่องดีๆ จืดๆ แต่ถ้าจะให้ดี ชีวิตก็ควรจะเป็นเช่นก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ที่ใส่ทั้งน้ำตาล น้ำปลา พริก มะนาว กระเทียมเจียว ตั้งฉ่าย ผักชี ผสมกลมกลืนไปในชามถึงจะน่ากินแม้ว่าบางช่วงบางเวลาอาจจะแซบไปนิดแต่ก็ต้องทำใจมานี่คือชีวิตชั่วเคยมี ดีเคยผ่าน ตอนไหนชั่วก็ถือเสียว่าเป็นบทเรียน วันหน้าจะได้ไม่ทำอีก ตอนไหนดี ก็เก็บไว้เป็นความภาคภูมิใจในชีวิต เหมือนอย่างผู้ชายคนนี้คะ นิติภูมิ นวรัตน์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘