เปลื้อง วรรณศรี

 " เปลื้อง วรรณศรี "
หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ กว่าจะมาเป็นคนที่หลาย ๆ คนยอมรับนั้น ต้องแลกด้วยชีวิต ” กระผมคิดว่ามันเป็นคำกล่าวที่น่าจะสามารถใช้ได้อีกยาวนาน   และใช้ได้ตลอดไปหากเมื่อใดที่สังคมและประเทศชาติของเรายังมีคนดีที่ถูกอำนาจแห่งความชั่วปิดบังเอาไว้
    เปลื้อง วรรณศรี ชื่อนี้เป็นชื่อของบุคคลท่านหนึ่งที่กระผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนไม่รู้จัก อาจจะเป็นเพราะอะไรนั้น กระผมไม่ทราบ แต่สำหรับตัวของกระผมเองแล้วนั้น ท่านผู้นี้ถือได้ว่าเป็นวีรบุรุษคนหนึ่งที่อยู่ในใจของกระผมตลอดเวลา
    คำว่าวีรบุรุษสำหรับกระผมนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากมาย แต่คำ ๆ นี้กระผมจะมอบให้สำหรับคนที่ยอมสละอะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่ยอมเสียไป เพียงเพื่อที่จะให้คนส่วนใหญ่ของประเทศมีความสุขและได้มีผืนแผ่นดินที่ขึ้นชื่อว่า ไทย อาศัยอยู่ต่อไป
    “ ถ้าขาดโดมเจ้าพระยาท่าพระจันทร์ ก็ขาดสัญลักษณ์พิทักษ์ธรรม ” คำกลอนนี้หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินนะครับ แต่อาจจะไม่ทราบว่าผู้ที่แต่งคือ เปลื้อง วรรณศรี ผู้ที่เป็นวีรบุรุษของกระผมเอง กระผมกำลังจะบอกให้เราทุกคนทราบว่าหนึ่งในขนวนการต่อสู้ของนักศึกษาที่คัดค้านอำนาจเผด็จการคณะรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 ซึ่งได้ปลุกระดมนักศึกษาให้ลุกขึ้นต่อสู้คัดค้านอำนาจเผด็จการ ด้วยการชุมนุมและเดินขบวนเรียกร้อง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองคืน จากการยึดครองของคณะผู้เผด็จการ จนสำเร็จคือ เขาคนนี้
    ซึ่งนี่ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้น ของต้นกำเนิดขบวนการนักศึกษา ประชาชน ผู้เรียกร้องประชาธิปไตย คัดค้านอำนาจเผด็จการ และต่อมาได้เจริญเติบโตเป็นขบวนการนักศึกษาประชาชนที่ยิ่งใหญ่ ทั้ง 14 ตุลาคม 2516 และวันที่ 6 ตุลาคม 2519 รวมไปถึงขบวนการประชาชน พฤษภาคม 2535 ซึ่งพวกเราหลาย ๆ คนคงจะคุ้นหูหรือไม่ก็อาจจะทราบเรื่องราวดังกล่าวเป็นอย่างดี
    ใครจะรู้บ้างล่ะครับว่า กว่าที่ประเทศของเราจะมีความเป็นเอกราช กว่าที่จะมีการพัฒนาจนก้าวมาสู่แนวหน้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้นั้น ประเทศของเราต้องประสบกับอะไรมาบ้าง
    ครั้งหนึ่งรัฐบาลของไทยประกาศดำเนินนโยบายเดินตามหลังมหาอำนาจตะวันตกและอเมริกา ทั้งทางด้าน ทหาร เศรษฐกิจ การเมือง ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวชักนำที่อันตรายที่สุด ที่จะให้ไทยของเราก้าวไปสู่สงคราม ซึ่งหากเราลองคิดดูสักนิดนะครับว่า หากเหตุการณ์เป็นอย่างนั้นจริง ๆ แล้วชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย จะเป็นอย่างไร ?
    แต่ก็เพราะคนคนนี้แหละครับ เปลื้อง วรรณศรี ท่านได้เข้าร่วมรณรงค์ต่อสู้เพื่อสันติภาพ เพื่อให้ไทยไม่ต้องไปเดินตามทางที่คน ซึ่งไม่ใช่เลือดไทยได้วางไว้ เขาเข้าไปต่อสู้เพื่อคัดค้านนโยบายดังกล่าวของรัฐ ทำให้วันนี้ ไทยยังคงเป็นไทยได้สืบมา
    แต่นั่นเป็นเพียงส่วนเดียว และอาจจะถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่ง ในชีวิตของเขาที่ยอมทำเพื่อชาติได้ แต่ชีวิตของคนคนนี้ ไม่ใช่มีเพียงเท่านี้นะครับ นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ ก็ถือได้ว่า เปลื้อง วรรณศรี ประสบความสำเร็จและสามารถที่จะทำผลงานของเขาออกมาสู่สายตาประชาชนได้อย่างดีทีเดียว
ในสมัยที่ เปลื้อง วรรณศรี เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้น เขาก็ได้เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย และต่อสู้ไปด้วย หลายคนอาจจะสงสัยนะครับว่ารายได้ที่เขาได้รับมาจากที่ไหน เขามีรายได้จากการเขียนหนังสือ เขียนบทความ เรื่องสั้น บทกวี ด้วยการใช้ปากกาเป็นอาวุธ ซึ่งเรื่องที่เขาเขียนขึ้นหลายต่อหลายเรื่องได้ลงในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ หลายฉบับ
เห็นมั้ยละครับว่า ชีวิตของคนเราเมื่อตกยาก ชีวิตก็ใช่ที่จะสิ้นเลยทีเดียว หากแต่มีความพยายาม อีกทั้งสามารถที่จะใช้ความรู้คู่กับพรสวรรค์ที่ตัวเองมีแล้วก็ย่อมที่จะสามารถ ส่งผลดีกับตนเองได้อย่างแน่นอน
และก็เป็นธรรมดาที่เมื่อครั้งหนึ่งชีวิตได้ตกอยู่ในภาวะแห่งความลำบาก เมื่อพ้นผ่านอุปสรรคไปแล้วก็ย่อมที่จะก้าวสู่จุดสูงสุดได้  เปลื้อง วรรณศรี    ก้าวขึ้นสู่บรรณาธิการหนังสือพิมพ์
" ปิตุภูมิรายปักษ์ " ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ชี้ความคิด อีกทั้งยังเป็นแนวต่อสู้เพื่อเอกราช เพื่อประชาธิปไตย สันติภาพและความกินดีอยู่ดีของประชาชน ซึ่งเราทุกคนทราบไหมครับว่า เขาได้ใช้โอกาสนี้เพื่อแสดงออกถึงการเป็นนักคิดนักเขียน นักกวี และนักหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถทำให้เขาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และได้รับความเชื่อถือจากประชาชน นักการเมือง นักศึกษาปัญญาชน กรรมกร ชาวนา และชาวไร่ จนเขามีชื่อเสียงมากขึ้น
สำหรับคนที่คิดจะทำงานเพื่อประเทศชาติ คนที่ยอมที่จะทำทุกอย่างเพื่อคนอีกหลาย ๆ คนแล้ว เมื่อมีคนรู้จักมากมาย และมีชื่อเสียงดีพอแล้ว ชีวิตนักการเมืองดูจะเป็นอาชีพที่เหมาะสมที่สุด เปลื้อง วรรณศรี ได้รับการเรียกร้องจากประชาชนทุกสาขาอาชีพ เพื่อให้ลงสมัครเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในจังหวัดสุรินทร์ ดังนั้นเปลื้องจึงตัดสินใจลงสมัคร แต่กลับพลาดโดยไม่ได้รับเลือกตั้งในครั้งแรก นั่นเป็นเพราะในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีการโกงคะแนนเสียงเลือกตั้ง แต่ทว่ายังเป็นโชคดีของคนดีอย่างเขา ที่อีกไม่นานก็ได้มีการยุบสภา และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
ครั้งนี้ เปลื้อง วรรณศรี ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในจังหวัด สุรินทร์ ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น โดยที่เขาไม่ได้ใช้เงินซื้อสิทธิ์ เหมือนกับนักการเมืองอีกหลาย ๆ คน เขาใช้วิธีการหาเสียงด้วยการปราศรัยให้การศึกษาแก่ประชาชน ทั้งในเรื่องปากท้อง รวมไปถึงปัญหาเกี่ยวกับประชาธิปไตย ปัญหาการเมืองในประเทศ และต่างประเทศ ปัญหาเศรษฐกิจ  สังคม วัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ตลอดจนปัญหาทางออกของประเทศชาติและประชาชน
ซึ่งในการขึ้นปราศรัยแต่ละครั้งนั้นจะสามารถได้รับความสนใจ จากประชาชนจำนวนนับหมื่นนับแสนคน เข้าร่วมฟังการปราศรัยของเขา
และที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ เปลื้อง วรรณศรี เป็น ส.ส. ที่ยืดหยัดซื่อสัตย์ต่อประชาชน ไม่ใช่ ส.ส  ประเภทหวังตำแหน่งทางการเมือง หวังเป็นใหญ่เป็นโต หวังลาภยศ สรรเสริญ หวังผลประโยชน์ หากแต่เขาเป็น ส.ส.ที่ที่มีคุณธรรม มีความรู้ความสามารถ มีภูมิปัญญา มีเกียรติและศักดิ์ศรีของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างแท้จริง
" คนดี เมื่อทำดีถึงขีดสุด ย่อมมีคนไม่ดีตามมาทำร้ายอยู่เสมอ " กระผมคิดว่าคำกล่าวนี้น่าจะใช้ได้ดีกับชีวิตของ เปลื้อง วรรณศรี เขาถูกคุกคามจากอำนาจมืดทางการเมืองที่ไม่พอใจที่เขาได้ต่อต้านอำนาจเผด็จการ
ชีวิตที่เสี่ยงอันตราย ชีวิตที่ต้องคอยหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา ชีวิตที่หาที่พึ่งพิงจากใครไม่ได้นอกจากตัวเอง มันดูเหมือนเป็นชีวิตที่ไม่มีความสุขเอาเสียเลยนะครับ ชีวิตที่ไม่สามารถรู้ได้ว่าเมื่อไหร่ที่ร่างของตนเองจะถูกทำร้าย
ใครก็ตาม ถ้าหากชีวิตไม่สามารถที่จะอยู่อย่างมีความสุขได้ ก็ต้องหาที่พึ่ง เพื่อที่จะให้ตนเองมีชีวิตรอดใช่ไหมครับ เปลื้อง วรรณศรี เมื่อเขาไม่สามารถที่จะมีชีวิตได้อย่างสันติตามระบอบประชาธิปไตย ทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือ การหลบหนีเข้าป่า ดังเช่น ผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทั้งหลายต้องเขาป่ากันในสมัยนั้น จนกระทั้งเขาได้ลี้ภัยทางการเมืองไปสู่ประเทศจีนในที่สุด
ใช่ว่าชีวิตของนักคิด นักเขียน คนนี้จะจบสิ้นไป เมื่อเขาไปอยู่ที่ประเทศจีน เขาก็ได้ใช้สถานที่แห่งนี้ แสดงความเป็นนักต่อสู้ของตนเองออกมา โดยไม่เบียดเบียนใคร เขาใช้เวลาในการแต่งกลอน เขียนบทความ เขียนเรื่องสั้น ซึ่งเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการต่อสู่ เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ถึงแม้ว่าตอนนี้ เขาจะไม่ได้เหยียบอยู่บนผืนแผ่นดินที่ตัวเองรักก็ตาม
เปลื้อง วรรณศรี นักเขียน นักกวี นักหนังสือพิมพ์ นักการเมือง ปัญญาชนที่มีความสามารถทั้งทางภาษา การเขียน การพูด ฝีปากคมกล้า ที่ได้สัมผัสกับชีวิตของคน ทั้งในชนบทและในเมือง รวมไปถึงบุคคลสำคัญในวงการต่าง ๆ มีชีวิตที่ผูกพันอยู่กับการต่อสู้และเสียสละกล้าหาญมาโดยตลอด ชนิดที่ไม่มีทางที่จะแปลเปลี่ยนจุดยืนของตนเอง
จนกระทั่งในบั้นปลายของชีวิต ไร้ซึ่งฐานะและทรัพย์สินอันเป็นส่วนตัว เพราะอะไรหรือครับ ? นั่นก็เพราะว่าตลอดชีวิตได้อุทิศกับการต่อสู้ทั้งสิ้น โดยที่เขาไม่เคยที่จะคิดที่จะแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว หรือลาภยศ สรรเสริญแต่อย่างใด นอกจากภูมิปัญญาและคุณธรรมอันเป็นสมบัติส่วนตัวที่ติดตัวเท่านั้น
มีความรู้สึกเหมือนกระผมไหมล่ะครับว่า  ท่านผู้นี้ได้ทำอะไรไว้ให้กับพวกเราอย่างมากมาย ประชาธิปไตยของไทยในวันนี้ บ้านเมืองที่มีเอกราช แผ่นดินที่ยังคงเป็นปึกแผ่น และประชาชนที่อยู่ร่วมกันได้ ภายใต้ร่มธงไตรรงค์ผืนนี้ นั้น ส่วนหนึ่งมาจากอุดมการณ์อันแน่วแน่ และเป็นอุดมการณ์ที่ไม่หวังผลตอบแทนแต่อย่างใด ของผู้ชายคนนี้ เปลื้อง วรรณศรี

     เปลื้อง ปลาดเอนกด้วย    บารมี ปัญญา 
วรรณะ เปี่ยมปรีชา        มากล้น
ศรี แห่งศักดิ์และยศ        ล้ำค่า
ได้ช่วยชาติไทยไว้        อยู่ได้ ยืนยง
     กลอนนี้มอบให้ท่าน    ด้วยใจ จริงนา
ขอเดช เหล่าเทวดา        ส่งน้อม
คนดี ที่ควรสรร        เสริญส่ง
แบบอย่าง ดีแท้ไท้        แก่ข้า ชาวไทย

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘