34สืบ

สืบ นาคะเสถียร
    สืบ นาคะเสถียร บุรุษผู้ซึ่งมีผู้เสียดายต่อการจากไปมากที่สุดเป็นอันดับสองในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่ต่างก็ความเสียดายต่อการจากไปของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ผู้ซึ่งตัดสินใจปลิดชีพตัวเองเพื่อเรียกร้องให้ผู้คนหันมาสนใจกับปัญหาป่าไม้ที่ถูกทำลาย รวมทั้งสัตว์ป่าที่ถูกล่าด้วยฝีมือมนุษย์ที่เรียกตัวเองว่า"สัตว์ประเสริฐ"
                 สืบ ตายที่ห้วยขาแข้ง ป่าที่น้อยคนนักจะรู้จักก่อนการจากไปของเอกบุรุษผู้นี้ แต่ปัจจุบันด้วยกระสุนปืนเพียงนัดเดียวที่สืบตัดสินใจใช้มันเป็นสัญญาณส่งถึงผู้คนทั่วไป ห้วยขาแข้งได้กลายเป็นที่ยอมรับให้เป็นมรดกโลก เป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดที่คนไทยต่างรู้สึกหวงแหนยิ่งนัก และบัดนี้ก็เป็นเวลา 10 ปีเต็มแล้ว ที่สัญญาณจากสืบ นาคะเสถียร ได้ถูกส่งออกไป และบัดนี้ดวงวิญญาณของสืบคงได้รับรู้แล้วว่า หนึ่งชีวิต หนึ่งจิตใจที่แสนประเสริฐของเขานั้น ได้แลกมาซึ่งผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ให้แก่ลูกหลานชาวไทย และอีกนับล้าน ๆ ชีวิตของสัตว์ป่า ดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ของสืบ นาคะเสถียร คงได้รับรู้แล้วว่า การกระทำของเขานั้นไม่ได้สูญเปล่า
                  วันสิ้นปีของปี พุทธศักราช 2492 เด็กน้อย สืบยศ นาคะเสถียรได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกในครอบครัวของ นาย สลับ นาคะเสถียร อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ก่อนที่จะมาเปลี่ยนชื่อเป็นสืบในภายหลัง ชีวิตในวัยเด็กของเขานั้นก็เหมือนกับเด็กบ้านนอกทั่ว ๆ ไป หลังจากที่จบการศึกษาชั้นประถมต้นจากโรงเรียนประจำจังหวัดปราจีนบุรี บิดาก็ได้ส่งสืบไปศึกษาต่อที่โรงเรียนเซนต์หลุยส์ จังหวัดฉะเชิงเทรา และสืบก็ไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เมื่อผลการเรียนของเขาอยู่ในขั้นดี และยังได้เป็นมือทรัมเป็ตมือหนึ่งของวงดุริยางค์ของโรงเรียนอีกด้วย หลังจากจบการศึกษาชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนเซนต์หลุยส์แล้ว สืบมีความตั้งใจว่าจะเข้าเรียนต่อในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ แต่ด้วยดวงชะตาที่หักเหหรือพระเจ้าต้องการให้เขาเกิดมาเพื่อเป็นนักอนุรักษ์ที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่ทราบได้ สืบ กลับสอบติดคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เป็นนิสิต วน. รุ่น 35    
             สืบเป็นคนตรง และไม่เคยคิดจะเอารัดเอาเปรียบใคร สังเกตได้จากตอนที่อายุของเขาครบเกณฑ์ที่จะต้องไปตรวจคัดเลือกเข้ารับราชการทหาร สืบก็ไม่ได้ขอให้บิดาซึ่งเป็นถึงผู้ว่าราชการจังหวัดไปแอบอ้างเพื่อใช้อภิสิทธ์ใด ๆ ทั้งสิ้น ตอนที่สืบสอบเข้ารับราชการป่าไม้ได้นั้น เขาทำคะแนนได้สูงเป็นอันดับที่สามเลยทีเดียว ซึ่งนั่นจะสามารถทำให้เขาเลือกไปอยู่หน่วยงานใดก็ได้ เขากลับเลือกที่จะไปประจำอยู่กับกองอนุรักษ์สัตว์ป่า โดยเริ่มงานที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าเขาเขียว-เขาชมภู่ จังหวัดชลบุรี ปี 2529 สืบได้เข้ารับผิดชอบในฐานะหัวหน้าโครงการอพยพสัตว์ป่าตกค้างในพื้นที่เขื่อนรัชชประภา (เชี่ยวหลาน) ซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีโครงการแบบนี้ และสืบกับพรรคพวกก็สามารถช่วยชีวิตสัตว์ป่าไว้ได้ถึง 1,364 ตัว แต่ก็เทียบไม่ได้กับจำนวนสัตว์ป่าที่ต้องตายไป และภาพที่เราได้เห็นกันบ่อย ๆ อย่างตอนที่สืบต้องหลั่งน้ำตาขณะที่พยายามช่วยผายปอดให้กับกวางและเลียงผาที่เขาช่วยขึ้นมาจากน้ำ แต่ก็ไม่รอด ก็มาจากการปฏิบัติงานอย่างทุ่มเทของเขาที่นี่ และจากประสบการณ์ที่เขื่อนเชี่ยวหลานนี่เองที่ทำให้สืบเปลี่ยนจากนักวิชาการมาเป็นนักอนุรักษ์อย่างเต็มตัว เมื่อใช้กรณีของเขื่อนเชี่ยวหลานมาเป็นกรณีศึกษา และเข้าร่วมการต่อต้านการสร้างเขื่อนน้ำโจน โดยอาศัยประสบการณ์และหลักวิชาการที่เขา หากมีการสร้างเขื่อนตามโครงการของการไฟฟ้า สืบนั้นจริงจังกับการต่อต้านการสร้างเขื่อนแห่งนี้มาก และไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ถึงขนาดที่ลุกขึ้นแย้งอธิบดีกรมป่าไม้ในสมัยในที่สุดฝ่ายอนุรักษ์ก็เป็นฝ่ายชนะ โครงการเขื่อนน้ำโจนก็ได้ถูกยกเลิกไป วันที่ 15 เมษายน 2531 ข่าวที่ทำให้สืบและพรรคพวกเดือดดาลมาก็คือการที่กรมป่าไม้ อนุมัติให้บริษัทไม้อัดไทยเข้าทำไม้ในพื้นที่ 3 แสนไร่ของเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จึงทำให้สืบและพรรคพวกต่างออกมารณรงค์ต่อต้านกันอย่างเข้มแข็ง
     ในเดือนธันวาคมปี 2532 สืบตัดสินใจที่จะเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งตามที่ได้เคยปรารภไว้กับคนใกล้ชิดแทนที่จะรับทุนไปเรียนต่อปริญญาเอกที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษและที่นี่เองเป็นที่สุดท้ายที่สืบได้ทำงานที่เขารัก
การต่อสู้ของสืบเพื่อห้วยขาแข้งนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก บ่อยครั้งที่เขาต้องทนนอนฟังเสียงปืนของพวกล่าสัตว์ที่ดังขึ้นกลางดึก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไร เพราะมีอาวุธประจำกายเป็นเพียงแค่ปืนลูกซองเท่านั้น า แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อ และยังคงคอยดูแลทุกข์สุขของผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นอย่างดี การที่จะรักษาป่าห้วยขาแข้งเอาไว้ให้ได้นั้น เขาเหลือวิธีการอยู่แค่วิธีเดียวคือการผลักดันให้ป่าผืนนี้ ได้รับการาประกาศให้เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลก ซึ่งผลจากการทำงานอย่างหนักของลูกผู้ชายที่สืบ นาคะเสถียร ก็ทำให้ข้อมูลที่เขาพยายามรวบรวมอย่างหนักเพื่อเสนอยูเนสโก้ผ่านการพิจารณา และได้รับการประกาศให้เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลกในที่สุด โครงการสุดท้ายที่สืบพยายามทำก็คือโครงการป่ากันชน โดยใช้พื้นที่ของป่าสงวนรอบ ๆ ห้วยขาแข้งในรัศมี 5 กิโลเมตร ให้ชาวบ้านเข้ามาทำกินได้ เพื่อสร้างเป็นป่าชุมชนของชาวบ้าน และใช้เป็นกันชนเพื่อป้องกันการบุกรุกอีกทางหนึ่งด้วย แต่จากความพยายามอย่างหนักของสืบที่จะนำเรื่องนี้ไปเสนอผู้ใหญ่ กลับกลายเป็นความผิดหวังอย่างรุนแรง เนื่องจากโครงการดังกล่าวต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายแต่คำตอบที่สืบมักจะได้รับจากข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกรมป่าไม้ก็คือ "ให้ไปทำโครงการมา"
     และจุดสิ้นสุดความอดทนของสืบก็มาถึง เมื่อเขาถูกบริษัททำไม้ชื่อดังแห่งหนึ่งกลั่นแกล้ง โดยบอกกับรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบที่ไปตรวจป่าห้วยขาแข้งในเดือนพฤษภาคม 2533 ว่ามีการลักลอบตัดไม้ในเขตป่าห้วยขาแข้งอยู่ ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว เป็นการลักลอบทำไม้นอกเขตห้วยขาแข้ง ซึ่งสืบก็เตรียมข้อมูลไปพร้อมที่จะชี้แจงได้โดยละเอียดรวมทั้งรายชื่อของพวกลักลอบทำไม้ด้วย แต่รัฐมนตรีรายนั้น กลับไม่เปิดโอกาสให้เขาชี้แจงสักคำ  เหตุการครั้งนี้ทำให้สืบรู้สึกกดดัน และเริ่มหมดความอดทนกับระบบราชการไทย
วันที่ 24 สิงหาคม 2533 ไม่กี่วันกลังจากที่ลูกน้องของสืบถูกพวกลักลอบล่าสัตว์ดักยิงขณะลาดตระเวน ลูกน้องของเขานำพรานล่าสัตว์ที่จับกุมได้พร้อมกับของกลางจำนวนมากซึ่งมีหัวค่างหลายหัวรวมอยู่ด้วยและได้เรียกสืบออกมาดู สืบถึงกับระเบิดอารมณ์ออกมาต่อหน้าลูกน้องของเขาและเหตุการดังกล่าวดูเหมือนว่าจะทำให้สืบรู้สึกสะเทือนใจมาก ก่อนหน้านี้สืบก็เคยบอกกับน้องชายของเขาว่า"ทำอะไรพวกมันไม่ได้พี่ไม่ไหวแล้ว"
       ในช่วงบ่ายของวันที่ 31 สิงหาคม ประมาณตีสี่ของคืนนั้น ยามของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เพราะโดยปกติแล้วมักจะมีเสียงปืนของพวกลักลอบล่าสัตว์ดังขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว เช้าวันที่ 1 กันยายน 2543 ลูกน้องของสืบเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับหัวหน้าสืบของพวกเขา เพราะเป็นเวลา 10 โมงเช้าแล้วแต่สืบก็ยังไม่ลงมากินข้าวตามปกติ จึงได้ไขกุญแจบ้านพักเข้าไป และภาพที่ปรากฏต่อสายตาของพวกเขาก็คือ ร่างอันไร้วิญญาณของ บุรุษผู้ซึ่งอุทิศตนให้กับการอนุรักษ์ผืนป่าของไทย นอนสิ้นใจอยู่บนเตียง โดยมีกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนเอาไว้ว่า "ผมมีเจตนาที่จะฆ่าตัวเอง โดยไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้องในกรณีนี้ทั้งสิ้น"ลงชื่อ สืบ นาคะเสถียร ผู้ตาย (นาย สืบ นาคะเสถียร)
เช้าวันที่ 1 กันยายน เมื่อ 10 ปีที่แล้ว บุรุษซึ่งอุทิศทุกอย่างในชีวิตของตัวเองเพื่อป่าไม้และสัตว์ป่าในเมืองไทย ได้ตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเองด้วยปืนที่พ่ออันเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตของเขาให้มา หลังจากความหวังและความตั้งใจที่เขามีให้กับผืนป่าห้วยขาแข้งถูกระบบราชการ และผู้ใหญ่ของบ้านนี้เมืองนี้ ทำลายจนด้วยความท้อแท้ และสิ้นหวัง กอปรกับการที่ถูกกลั่นแกล้งอยู่เป็นประจำ สืบคิดดีแล้วว่า การที่เขาตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเองในครั้งนี้ ยังจะดีเสียกว่าให้พวกลักลอบตัดไม้และล่าสัตว์ลอบยิงเอา เพราะอย่างน้อย เสียงปืนนัดนั้น ก็จะได้ก้องออกไปสู่โลกภายนอกให้ผู้คนได้รับรู้ว่า หนึ่งวิญญาณอันบริสุทธิ์ ได้สละลงแล้ว เพื่อผืนป่าอันเป็นที่รักยิ่งของเขา ได้สละลงแล้ว เพื่อที่จะกระตุ้นเตือนให้คนเมืองอย่างเรา ๆ หันมาเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของประเทศที่ลดลงทุกที
ในวันนี้สืบคงกำลังมองดูผืนป่าห้วยขาแข้งจากที่ที่เขาสมควรได้อยู่ และอาจจะมีรอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาบ้างก็ได้ เพราะหนึ่งชีวิตของเขา ได้แลกมาซึ่งชีวิตของต้นไม้อีกหลายล้านต้น และสัตว์ป่าอีกหลายล้านชีวิต แต่คำถามที่อยู่ในใจของเราหลายๆก็คือ “หากมีข้าราชการป่าไม้แบบสืบ นาคะเสถียร เกิดขึ้นมาอีกคน เขาจะต้องมาพบจุดจบแบบเดียวกันกับสืบ เนื่องจากความเหลวแหลกของระบบราชการอีกหรือเปล่า”
    เรียนอาจารย์ และสวัสดีเพื่อนๆทุกคนนะครับ
 เมื่อพูดถึงป่าห้วยขาแข้งแล้วสิ่งหนึ่งที่เพื่อนนึกถึงอะไรครับ ครับสิ่งๆนั้นก็คงจะเป็นเหมือนกับที่ผมคิด คือ การจากไปของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ผู้ที่รักผืนป่าแห่งนี้ และบุคคลที่ผมจะพูดถึงต่อไปนี้ก็คือ สืบนาคะเสถียร
    สืบ นาคะเสถียร บุรุษผู้ซึ่งมีผู้เสียดายต่อการจากไปมากที่สุดเป็นอันดับสองในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่ต่างก็ความเสียดายต่อการจากไปของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ผู้ซึ่งตัดสินใจปลิดชีพตัวเองเพื่อเรียกร้องให้ผู้คนหันมาสนใจกับปัญหาป่าไม้ที่ถูกทำลาย รวมทั้งสัตว์ป่าที่ถูกล่าด้วยฝีมือมนุษย์ที่เรียกตัวเองว่า "สัตว์ประเสริฐ"
    ผมประทับใจประทับใจบุคคลผู้นี้โดยที่จะสรุปได้ดังนี้
1.สืบเป็นคนตรง และไม่เคยคิดจะเอารัดเอาเปรียบใคร สังเกตได้จากตอนที่อายุของเขาครบเกณฑ์ที่จะต้องไปตรวจคัดเลือกเข้ารับราชการทหาร สืบก็ไม่ได้ขอให้บิดาซึ่งเป็นถึงผู้ว่าราชการจังหวัดไปแอบอ้างเพื่อใช้อภิสิทธ์ใด ๆ ทั้งสิ้น โดยสืบได้ให้เหตุผลที่ไม่บอกกับสัสดีจังหวัดว่าเป็นลูกชายของผู้ว่าฯ ว่า "ผมกลับไปที่บ้านไม่เคยขออะไรจากพ่อ ผมไปติดต่อธุระที่อำเภอ ผมไม่เคยบอกเจ้าหน้าที่ว่าผมลูกใคร ผมไปเกณฑ์ทหารที่ปราจีนฯ ผมก็ไม่ได้บอกพ่อว่า พ่อช่วยหน่อย เพราะผมเห็นใจคนอีกเยอะที่ไม่มีโอกาสในสังคมแบบนี้ บังเอิญผมโชคดีจับได้ใบดำ"
2.สืบเป็นคนจริงจัง มุ่งมั่น และมีความพยายามสูง ยกตัวอย่างเช่น สืบนั้นจริงจังกับการต่อต้านการสร้างเขื่อนเชี่ยวหลานนี้มาก และไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ถึงขนาดที่ลุกขึ้นแย้งอธิบดีกรมป่าไม้ในสมัยนั้น ซึ่งบอกว่าปัญหาของสัตว์ป่าในทุ่งใหญ่นเรศวรนั้นไม่น่าเป็นห่วงหากมีการสร้างเขื่อนขึ้นจริง โดยสืบได้โต้กลับไปว่า "ความคิดนี้เป็นความคิดของคนที่ไม่รู้เรื่องการจัดการด้านสัตว์ป่าเลย" ในที่สุดฝ่ายอนุรักษ์ก็เป็นฝ่ายชนะ
3.สืบเป็นคนที่ไม่ย่อท้อ และรักเพื่อนและลูกน้อง สังเกตได้จาก เขาก็ไม่เคยย่อท้อ และยังคงคอยดูแลทุกข์สุขของผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นอย่างดี บางครั้งถึงกับต้องยืมเงินทางบ้านมาให้ลูกน้องที่เป็นลูกจ้างรายวันในป่ายืมไปใช้เลี้ยงครอบครัวก่อน เพราะเงินของทางราชการนั้นตกเบิกมาช้ามาก
สืบเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องสวัสดิการที่ย่ำแย่ของเจ้าหน้าที่ระดับล่างของห้วยขาแข้งเลย เขาพยายามวิ่งเต้นหาแหล่งเงินทุนมาเพื่อเป็นสวัสดิการและประกันชีวิตให้แก่คนเหล่านั้น แต่ทุกที่ ที่เขาไป คำตอบที่สืบได้รับกลับมาก็คือความเงียบเฉยจากทางการ
    ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นแค่เศษส่วนหนึ่งที่ผมหยิบยกมา แต่ยังมีความประทับใจอีกมากมายในบุคคลนี่ ที่ชื่อ สืบ นาคะเสถียร ปัจจุบันด้วยกระสุนปืนเพียงนัดเดียวที่สืบตัดสินใจใช้มันเป็นสัญญาณส่งถึงผู้คนทั่วไป ห้วยขาแข้งได้กลายเป็นที่ยอมรับให้เป็นมรดกโลก เป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดที่คนไทยต่างรู้สึกหวงแหนยิ่งนัก และบัดนี้ก็เป็นเวลา 10 ปีเต็มแล้ว ที่สัญญาณจากสืบ นาคะเสถียร ได้ถูกส่งออกไป และบัดนี้ดวงวิญญาณของสืบคงได้รับรู้แล้วว่า หนึ่งชีวิต หนึ่งจิตใจที่แสนประเสริฐของเขานั้น ได้แลกมาซึ่งผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ให้แก่ลูกหลานชาวไทย.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘