22ปรมี แสวงรุจน์

ปรมี  แสวงรุจน์
    หากเพื่อนๆ มีโอกาสเปิดโทรทัศน์ช่อง 9 เวลา 3 ทุ่ม ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์  เพื่อนๆ ก็คงชื่นชมกับชายหนุ่มคนนี้เป็นอย่างดี     ด้วยท่าทีสุภาพอ่อนน้อม    คำพูดคำจาไพเราะ    ชัดถ้อยชัดคำยามที่เล่าเรื่องราวอันมหัศจรรย์ของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้  ทำให้ผู้ชมต้องนั่งเฝ้าหน้าจอ  รอชมความรู้ที่ให้ทั้งบันเทิง และสาระไปในคราวเดียว
    ชื่อของเขาก็คือ  ปรมี  แสวงรุจน์  ชายหนุ่มวัย 26 ปี  ผู้รับหน้าที่เป็นพิธีกรรายการสารคดีชื่อดัง  แต่ความน่าสนใจของเขายังไม่หยุดแค่นี้  นอกเหนือจากงานพิธีกร  เขาก็ยังมีงานอื่น ๆ อีกมากมาย  และได้รับความสำเร็จในทุก ๆ อาชีพด้วย  นอกจากแฟนรายการจะเห็นเขาทางหน้าจอทีวีแล้ว  เขายังเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ  เขามีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้ธุรกิจของเขาเจริญรุ่งเรืองไปเรื่อย ๆ  และยังเป็นอาจารย์สอนพิเศษภาษาอังกฤษอีกด้วย
    แต่กว่าที่เขาจะประสบความสำเร็จดังเช่นทุกวันนี้ได้  เขาต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมาย  เริ่มตั้งแต่เด็ก เมื่อเขาเรียนอยู่ม.4 เทอม 1 ก็สอบเทียบได้วุฒิม.6  จึงทำให้คุณพ่อส่งเขาไปเรียนต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์  ซึ่งการไปเรียนต่อของเขาก็ต้องพบอุปสรรคมากมาย  เพราะถูกส่งไปเรียนที่ซึ่งไม่มีคนไทยอยู่เลย  และทำให้เขาต้องอดทนต่อสู้กับปัญหาด้วยตัวคนเดียว  เมื่อเขาทำพลาดหรือตัดสินใจพลาดก็ไม่มีคนมาคอยบอก  ทำให้เขาต้องเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ด้วยตัวเอง  ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ในทุกวันนี้  ตอนแรกเขาอยากเรียนด้านศิลปะ  แต่ที่ประเทศนิวซีแลนด์ไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติเรียนวิชานี้  ทำให้เขาตัดสินใจไปเรียนวิศวะ  เรียนไปได้ 1 ปีก็ย้ายคณะไปเรียนเศรษฐศาสตร์  เพราะคุณพ่อเริ่มทำธุรกิจส่วนตัว  เขาจึงคิดนำวิชาความรู้ที่ได้มา เอาไปทำธุรกิจต่อจากคุณพ่อ  เมื่อเรียนจบ เขาก็มาทำงานที่บริษัทเมลล์บ็อกซ์  ซึ่งเป็นบริษัทของคุณพ่อ  โดยตอนแรกเขาได้ทำงานในตำแหน่งหน้าร้าน  เพราะคุณพ่ออยากให้ได้เห็นปัญหาต่าง ๆ ของบริษัทก่อน  แล้วเขาก็ค่อย ๆ ไต่เต้าขึ้นมาเรื่อย ๆ  จนปัจจุบันรับตำแหน่งกรรมการและรองผู้จัดการ  ซึ่งเขาก็สามารถพัฒนาธุรกิจได้เจริญใหญ่โตได้  เพราะพ่อของเขาสอนว่า การทำธุรกิจใหม่ควรจะ 1. ยังไม่เคยมีใครเคยทำ  2. ต้องมีโอกาสที่จะเจริญเติบโต  สำหรับงานพิธีกรรายการเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค ก็ได้มีโปรดิวเซอร์ที่รู้จักชักชวนมาทำ  เพราะเห็นว่าเขาเป็นคนที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม
    นอกจากนี้แล้วเขาก็ยังมีงานสอนพิเศษภาษาอังกฤษเบื้องต้นสำหรับนักศึกษาปี 1 ปี 2  ซึ่งเขาชอบงานนี้มาก  เพราะว่าเมื่อเขาทำธุรกิจต้องคำนึงเสมอว่า  ทำแล้วเราได้อะไร เราเสียอะไร  แต่การสอนเด็กถือเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง  เราไม่เคยคิดว่า เราเสียอะไร มีแต่ได้อย่างเดียว  เด็กรู้มากขึ้น  ทำให้รู้สึกดี  เด็กไม่เข้าใจ  ก็สอนให้เข้าใจ  เป็นความรู้สึกที่ดี  ถึงแม้เขาจะทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกันก็ตาม  แต่เขาก็สามารถแบ่งเวลาได้อย่างลงตัว  วิธีของเขาก็คือ เราต้องจัดความสำคัญก่อนหลังให้ได้ว่า สิ่งไหนสำคัญกว่าก็ทำก่อน  ซึ่งจะทำเช่นนี้ได้ต้องอาศัยประสบการณ์ที่ผ่านมาในการตัดสินใจ  สุดท้ายนี้ก็อยากที่จะมีข้อคิดมาฝากเพื่อน ๆ  “การที่เราจะทำสิ่งใด  มันจะดีหรือไม่ดี ที่สุดแล้วก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรานั่นเอง”

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘