21พระพยอม

พระพยอมกัลยาโณ
      หลังจากที่อาจารย์สมพงศ์ ได้สั่งงานมาว่าให้หานักพูดที่ประทับใจและเขียนเป็นบทพูดประมาณ 15 นาที หรือประมาณ 3 หน้ากระดาษ ข้าพเจ้าก็ได้ไปเดินดูตามร้านหนังสือทันที ในทีแรกเลยนั้นดิฉันคิดจะทำเรื่องเกี่ยวกับคุณโน๊ต อุดม หรือไม่ก็ อ.จตุพล แต่หลังจากที่คิดดูแล้ว ถ้าทำเรื่องของทั้งสองท่านนี้ คงจะซ้ำกับเพื่อนท่านอื่นๆเป็นแน่ดิฉันหาหนังสืออยู่สักพัก ก็สะดุดตากับหนังสือเล่มสีแสด ความหนาของหนังสือประมาณนิ้วครึ่ง และสะดุดอีกกับชื่อของเจ้าของหนังสือ นั้นก็คือ พระนักเทศน์ นักสอนชื่อดัง พระพยอมกัลยาโณ
หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่รวบรวมเทศนาต่างๆ ที่เด็ดๆของพระพยอมไว้ ดิฉันเปิดอ่านและตัดสินใจเลือกหนังสือเล่มนี้มาทำเป็นงานส่งอ.ทันที เมื่อเช่ามาแล้วนเปิดอ่านแล้วว่างไม่ลงจริงๆ สิ่งที่ท่านสอนนั้น เป็นสิ่งใกล้ตัวและตรงกับความจริง มีคำสอนที่ดี สอนแบบยกตัวอย่างทำให้ไม่เบื่อที่จะอ่านเลย และจากที่อ่านพระพยอมท่านจะใช้อุปกรณ์ที่ไม่ต้องสิ้นเปลืงค่าใช้จ่ายเลย อะไรอยู่ใกล้มือก็สามารถหยิบจับมาเป็นอุปกรณ์การสอนได้ แม้บางคำพูดหรือคำเทศน์ของท่านจะดูไม่เหมาะสมนัก หากพระจะพูดออกไป แต่หากเราคิดกันให้ดีๆแล้ว ว่าคำพูดอะไรหรือที่ดูไม่เหมาะสม เราเอาอะไรมาวัดว่าคำพูดพระสงฆ์ควรจะสุภาพอ่อนหวานเท่านั้น เราเอาอะไรมาเป็นเกณฑ์ เพียงแค่เราเคยชิน กับการฟังเทศฟังธรรมแบบอย่างที่ไพเราะมานาน พอเจอการเทศน์แบบของพระพยอมก็เลยมองว่าไม่เหมาะ แต่หาเราลองคิดกันดูอีกทีคนสมัยนี้ไม่ว่านอนสอนง่ายเหมือนเมื่อก่อน กิเลสมันหนาขึ้นทุกวัน เหมือนตึกที่คอยจะสร้างขึ้นมาแข่งกันเพื่อทำลายสถิติว่าฉันสูงที่สุด ทำให้คำพูดที่อ่อนหวานคำสอนที่เคยเรียบง่ายไม่มีอะไร มาเป็นคำสอนที่เร้าใจมากยิ่งขึ้น หากพูดดีๆแล้วคนไม่ดีมันดีไม่ได้ก็สู้พูดแรงๆแล้วมันได้คิดไม่ดีกว่าหรือ
      หลักการเทศน์สอนหรือการพูดของพระพยอมจากหนังสือเล่นนี้ที่ดิฉันพอจะจับประเด็นเด่นๆได้มีอยู่ 3 ประเด็น    
ประเด็นแรกคือท่านพูดสอนจากประสบการณ์ ท่านนำสิ่งที่ท่านประสบในชีวิตประจำวันนี้แหละมาสอนทำให้มันเป็นเรื่องใก้ลตัวไม่ยากนักที่จะทำความเข้าใจ ในหนังสือเล่มนี้มีอยู่หลายบทที่น่าสนใจ ในตอนแรกที่ดิฉันอ่านรู้สึกว่านี้คือคำพูด คำสอนของพระหรือ แต่เมื่อดิฉันอ่านไปเรื่อยแล้วจะรู้ว่าในประโยคเหล่านั้นมีคำสอนที่แฝงอยู่อย่างมากมายและเป็นคำสอนที่สนุกไม่เบื่อหากต้องนั่งฟังท่านเทศน์เพราะท่านมีเรื่องเล่ามากมายจากหนังสือเทศนาฮาสุดขีดนี้จะเห็นได้ว่ามีเรื่องเล่าตลอดทั้งเล่มเลย ยกตัวอย่างเช่น พระพยอมเล่าว่าไปเทศน์สอนให้คนเลิกเล่าท่านบอกว่าเดี๋ยวนี้..พออาตมาไปเทศน์สอนเรื่องให้เลิกกินเหล้าพวกขี้เมามันเถียง อาตมาบอกว่าไอ้ที่ยกแก้วเหล้าชนกันแล้วร้องว่าจงเจริญ..จงเจริญนะให้เปลี่ยนเป็น คนกินจงฉิบหายคนขายจงเจริญ ไอ้ขี้เมามันตอบทันทีเลย คนเทศน์จงปากแตก ตอนนี้พอเทศน์เสร็จ ลงจากธร
รมมาสน์ ต้องคอยหันไปมองมัน พระพยอมที่เล่าต่ออีกว่าอาตมาไม่กลัวมันหรอก แต่สงสัยว่า ไอ้ที่มันพูดเมื่อกี้นี้น่ะมันพูดเล่นหรือเอาจริง เป็นเรื่องที่เกิดกับตัวท่านเอง
ประการที่สอง จัดเตรียมอุปกรณ์ในการสอนแบบไม่ต้องเตรียมอะไรมาก อะไรอยู่ใกล้ตัวก็นำมาเป็นคำสอนเลยอย่างสิวก็เป็นสื่อในการสอนได้พระพยอมนำสิวมาเป็นสื่อสอนให้เราไม่ยึดมั่นถือมั่นในตนเอง สิวมันขึ้นที่หน้าเราเราก็เจ็บ แต่หากมันขึ้นที่หน้าคนอื่น เราไม่เจ็บเพราะไม่ใช่หน้าเรา ที่เราเจ็บสิวเพราะยึดมั่นถือมั่น
ว่ามันเป็นหน้าเรา ก็คือหากเราไม่ยึดมั่นถือมั่นในตนเองเราก็จะไม่ทุกข์ มีอีกตัวอย่างหนึ่งดิฉันประทับใจมาก เมื่ออ่านไปรอบหนึ่งแล้วต้องกลับมาอ่านอีกพระพยอมท่านเล่าว่ามีอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่งจบมาจากต่างประเทศเป็นคนชอบสอนมากเจอใครก็ไปหมดเพราะถือว่าเรียนมาเยอะ วันหนึ่งอาจารย์ท่านนี้ไปหาพระพยอมที่วัดมาให้พระพยอมสอนอะไรก็ได้ที่เขาไม่รู้ หากพระพยอมสอนไม่ได้เขาจะสอนพระพยอมเอง แล้วพระพยอมก็หยิบกาน้ำชามารินใส่ถ้วยให้อาจารย์คนนั้นดื่ม ในขณะที่รินน้ำชา สายตาของพระพยอมก็มองที่อาจารย์คนนั้นปรากฏว่าน้ำชาล้นถ้วยจนเปียกอาจารย์คนนั้น อาจารย์ท่านนั้นต่อว่าพระพยอมใหญ่ พระพยอมพูดว่าก็อยากให้โยมกินน้ำชาเยอะๆอาจารย์ท่านนั้นบอกพระพยอมว่าโง่ น้ำชาที่หกไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร แล้วพระพยอมก็บอกว่าโยมเข้าใจที่อาตมาสอนแล้ว สรุปก็คือ คนที่ทำอวดรู้ อวดฉลาด กว่าคนอื่น ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะสอนเขา เพราะสอนเขาก็รับไม่ได้ มันหกล้นถ้วยหมด คำสอนก็ไม่เกิด
ประโยชน์ เหมือนน้ำชาที่ล้นถ้วยนั่นแหละ เอามากินไม่ได้ อาจารย์ท่านนั้นกราบลาพระพยอมรีบลงจากวัดไปทันที ประการที่สาม การใช้คำพูด การใช้คำพูดในการสอนหรือการเทศน์ของพระพยอมจะเป็นคำพูดที่ผู้ฟังๆแล้วตกใจว่าทำไมพูดแรงไม่เหมาะที่พระจะพูดเลย ทำให้มีคนบางกลุ่มไม่ค่อยพอใจพระพยอม พระพยอมมิได้ตอบโต้อะไรแต่หากมีคนมาถามก็จะตอบ มีอยู่คราวหนึ่งมีผู้สื่อข่าวมาถามพระพยอมว่า มีคนบอกว่าพระพยอมปากจัดใช้คำพูดรุนแรงพระพยอมคิดอย่างไร พระพยอมท่านตอบว่า ท่านไม่มีอาวุธอื่น สู้กับกิเลสนอกจากคำพูดเดี๋ยวนี้กิเลสมันแรงขนาดใช้คำพูดรุนแรงยังสกัดมันไม่อยู่ ถ้าใช้คำพูดธรรมดา จะได้ผลอะไร และนักข่าวก็ถามต่ออีกว่ามีคนบอกว่าคำพูดของพระพยอมฟังไม่ได้ระคายหูพระพยอมก็ตอบคำถามนี้ว่า คนพวกนี้ เราเรียกว่าพวกเยื่อหูบาง แต่กิเลสแน่นในสันดานหนา จากการตอบคำนี้อาจจะมองได้ว่า พระพยอมคงโกรธที่โดนถามอย่างนั้น เลยตอบแแบบนั้นกลับไป แต่ข้าพเจ้ากลับคิดว่า สิ่งที่พระพยอมพูดนั้นก็เป็นความจริง เป็นการเปรียบเทียบให้ฟังและพูดแบบตรงๆไม่อ้อมค้อม เราเอาอะไรมาวัดหรือว่านี้เป็นคำพูดที่พระพูดไม่ได้นะ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดแบบใด วาจาแบบใดสอนก็ตามมันไม่ใช่เรื่องสำคัญสำคัญเพียงเราได้รับอะไรจากคำสอนนั้นบ้าง
จากประเด็นทั้งสามแล้วพระพยอมจัดเป็นพระนักพูดนักเทศน์ที่มีคำสอนและคำพูดอันคมคายมากเลยทีเดียว พระพยอมคงมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ เราไม่สามารถบอกได้ว่าคนกลุ่มใดกิเลสมากกิเลสน้อยเพราะต่างคนต่างก็มีความคิดต่างกันพระมีหน้าที่เพียงสอนเผยแพร่ศาสนา ทำให้คนเป็นคนดีได้ให้มากที่สุด หากมาพะวงแต่กลัวว่าเดี๋ยวคนไม่ศัทธา ศาสนาคงอยู่กับที่ หากสิ่งที่เรากระทำไปนั้นเป็นความถูกต้องจะกลัวอะไร ไม่เคยผิดต่อตนเองและไม่เคยผิดต่อใครเชื่อมั่นว่าสิ่งใดทำแล้วเกิดประโยชน์ก็ทำ นี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ดิฉันได้คิดจากการทำเรื่องนี้ในคำสอนของพระพยอมข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจในคำสอนของพระพยอมมาก การเทศน์ของพระพยอมไม่น่าเบื่อเพราะมีเรื่องเล่าตลอดเวลาคำพูดอาจจะดูรุนแรงแต่แฝงข้อคิดไว้อย่างมากมายในคำพูดนั้นๆ พระพยอมมีจุดเด่นอยู่มากมายในการเทศน์ แต่ในหนังสือเล่มนี้ ดิฉันสรุปรวมจุดเด่นหลักๆ ไว้ 3 ประการข้างต้น พระพยอมแม้จะมีถ้อยคำในการเทศน์ที่ค่อนข้างแรง แต่หากเราเปิดใจให้กว้างลองนำคำสอนนั้นมาคิดไตร่ตรองดู เราจะได้ความรู้และข้อคิดต่างๆตามมามากมาย สามารถถือได้ว่า พระพยอมเป็นพระนักเทศน์ที่น่ายกย่องท่านหนึ่งเลยที่เดียว

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘