20พระพยอม

พระพิศาลธรรมวาที ( พระพยอมกัลยาโณ )

              เมื่อเอ่ยถึงนามพระพยอม คนไทยย่อมรู้จักกันดีในฐานะพระนักเทศน์อันดับต้นๆของเมืองไทย ทีมีลีลาการเทศน์ที่ไม่เหมือนใคร ท่านเป็นผู้คิดค้นการเทศน์แบบใหม่ที่ไม่ซ้ำใคร ฉะฉานและทันสมัย ท่านเป็นนักพูดฝีปากเอกของเมืองไทยที่มีความมุ่งมั่น สร้างสรรค์คำพูด คำสอน เพื่อให้เกิดประโยขน์ต่อมวลชนซึ่งก่อให่แกิดพลังอันมหาศาลในการเป็นแรงบันดาลใจต่อการเป็นคนดีของสังคม การเทศน์ของท่านถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก จะเห็นได้จากการที่ประชาชนชาวพุทธต่างก็หลั่งไหลมาฟังการเทศนาธรรมของท่านทุกครั้งกันอย่างเนืองแน่น ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าพระพยอม มีลีลาการเทศน์ที่จับใจคนฟังยิ่งนัก ฟังแล้วสนุก ไม่ง่วงเหงาหาวนอนตามแบบฉบับของธรรมะทั่วๆไป
พระพิศาลธรรมวาที หรือที่คุ้นหูกันในนามของพระพยอม กัลยาโณ เป็นคนจังหวัดนนทบุรีโดยกำเนิด เริ่มเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์เมื่ออายุ 20 ปี ซึ่งก็เป็นประเพณีของชายไทยทั่วไป ท่านตั้งใจบวชตามประเพณีเพียง 3 เดือนแต่แล้วเมื่อได้สัมผัสกับความสุข สงบ สะอาดของพระธรรม ท่านจึงได้ครองเพศบรรพชิตมาจนพรรษาที่ 29 แล้ว ปัจจุบันท่านอยู่ที่วัดสวนแก้ว จังหวัดนนทบุรี ซึ่งได้พัฒนาวัดในรูปแบบต่างๆ มากมาย เช่น การตั้งโครงการช่วยเหลือสังคมต่างๆ การออกเผยแพร่ธรรมะในรูปแบบเทศนาธรรม พิมพ์หนังสือ ผลิตเทปธรรมะ
พระพยอม กัลยาโณ เมื่อศึกษาพระธรรมจนจบชั้นนักธรรมเอกแล้วจึงไปศึกษาต่อที่วัดสวนโมกข์ ตรงนี้จะเห็นได้ชัดเจนว่า ท่านเป็นผู้ที่มีความใฝ่รู้และพัฒนา ตนเองอยู่ตลอดเวลา จนเกิดการคิดค้นรูปแบบการเทศแบบใหม่ ซึ่งเริ่มต้นมาจากการอธิบายรูป ปริศนาธรรม เป็นการเทศน์ที่ฟังแล้วสนุกสนาน ไม่น่าเบื่อ แต่แฝงไว้ด้วยแง่คิดทางพุทธศาสนา และยังได้เผยแพร่การเทศน์ในรูปแบบนี้ ออกไปจนเป็นที่รู้จักดี
กว่าจะเดินทางมาประสบความสำเร็จในการเทศน์นี้ ได้ท่านต้องเพียรพยายามอย่างมาก เพื่อที่ว่าเทศนาธรรมไปแล้ว คนฟังสนใจ คล้อยตามและปฏิบัติตามในที่สุด สิ่งที่เราเห็นได้ชัดเจนในการเป็นนักพูด ที่ติดอันดับของเมืองไทยของพระพยอมนั้นมีหลายประการ
ประการแรกเลยนั้น คือ การสร้างความน่าเชื่อถือในตัวผุ้พูด เพราะนอกจาการเป็นนักเทศน์ชั้นเยี่ยมแล้ว พระพยอม กัลยาโณ ยังเป็นนักพัฒนา สังคมที่สำคัญอีกด้วย เห็นได้จากโครงการต่างๆของวัดสวนแก้วทีจัดตั้งเพื่อ
1.    เผยแพร่ศิลธรรมในศาสนา
2.    เพื่อสนับสนุนให้กำลังใจแก่ผู้กระทำดี
3.    เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้คนดีมีสัมมาชีพ
โครงการต่างๆ เหล่านี้ได้รับความร่วมมือจาก ทั้งภาครัฐและเอกชนในการสนับสนุน จนขยายตัวอย่างน่าชื่นชม ทำให้พระพยอม กัลยาโณ ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจาก พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ถือเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือได้เป็นอย่างมากซึ่งก็ตรงกับหลักการของนักพูดที่ดีที่จะต้องสร้างความน่าเชื่อถือ
ให้กับคนฟัง เพื่อให้การพูดสัมฤทธิ์ผลไดเป็นอย่างดี
ประการที่สองได้แก่ การพูดในสิ่งที่รู้ พระพยอมท่านเทศน์ในสิ่งที่ท่านรู้แจ้งเห็นจริงและศรัทธาอย่างลึกซึ้ง คุณสมบัตินี้ทำให้ท่านสามารถเทศฯนาธรรมออกมาได้จากใจจริง มีชีวิตชีวา และมีความมุ่วมั่น กระตือรือร้นที่จะถ่ายทอดสิ่งต่างๆให้กับพุทศาสนิกชน ความรู้สึกต่างๆเหล่านี้จึงได้ถูกถ่ายทอดออกมาทั้งทางสายตา ท่าทาง น้ำเสียง ทีฟังแล้วเป็นมิตรกับญาติโยม โดยเฉพาะน้ำเสียงนั้นช่างหนักแน่น ชัดเจน มีลีลาเสียงสูงต่ำ เว้นจังหวะการพูดได้อย่างน่าอัศจรรย์ซึ่งดึงดูดความสนใจของคนฟังให้จิตใจจดจ่ออยู่กับน้ำเสียงของท่านโดยที่ไม่อาจละได้เลย
ประการที่สาม การยกตัวอย่างและเหตุผลประกอบ พระพยอมสามารถนำตัวอย่างมาชี้แจงให้ผู้ฟังเกิดภาพพจน์ได้ชัดเจน เป็นตัวอย่างง่ายๆที่อยู่ใกล้ตัวทำให้เข้าใจได้ง่าย
นอกจากนี้พระพยอมยังเป็นพระนักเทศน์ที่ทันสมัย ตานข่าว ตามเหตุการณ์ในโลกปัจจุบัน ทำให้ท่านสามารถนำประสบการณ์ ความรู้ใหม่ๆมาประยุกต์ใช้กับการเทศนาธรรมของท่านได้อย่างเป็นเนื้อเดียวกัน ผู้ฟังจึงไม่รู้สึกเบื่อหรือเซ็งเพราะท่านสามารถยกตัวอย่างได้โดยไม่ซ้ำแบบเดิมแต่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามยุคตามสมัย
ประการที่สี่คือ การเลือกสรรคำพูด จะสังเกตได้ว่าทุกคำพูดของพระอาจารย์พยอมนั้นจะฟังสะดุดหูมาก เน้น และกินใจ บางครั้งยังใช้บทกวีดึงความสนใจได้อีกทางหนึ่งด้วย ตรงนี้ย่อมเป็นผลมาจากการที่ท่านเป็นผู้ใฝ่รู้ กระตือรือร้น เกิดเป็นปฏิภาณไหวพริบอันชาญฉลาดในการใช้ภาษาให้ประทับใจผู้ฟัง การเทศน์ของท่านจึงไม่ใช่การอ่านตามพระคำภีร์แต่เป็นการพูดที่พูดออกมาจากความรู้อันแท้จริงทำให้ดูแล้วเป็นธรรมชาติ ฟังแล้วน่าติดตาม
ประการที่ห้า คือ การเตรียมพร้อม พระพยอมท่านมีการเตรียมตัวอยู่ตลอดเวลาเพราะท่านจะใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ทุกนาทีไม่ว่าจะเป็นการศึกษาหาความรู้เรื่องธรรมะเพิ่มเติม การไปดูงานในต่างประเทศ หรือแม้แต่การตั้งโครงการอบรมจริธรรมต่างๆ ทั้งนี้ทำให้เกิดมุมมองใหม่ที่กว้างออกไปซึ่งจะนำมาสู่การปรับปรุง พัฒนารูปแบบการเทศนาธรรมให้น่าสนใจยิ่งๆขึ้นไป
พระพยอม กัลยาโณ จึงจัดได้ว่าเป็นนักพูดฝีปากเอกที่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลของเมืองไทยเลยทีเดียว เรายังได้เห็นอีกด้วยว่าการเป็นนักพูดที่ประสบความสำเร็จได้นั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งสำคัญนั้นอยู่ที่ตัวเราเองว่า ใส่หัวใจลงไปในสิ่งที่เราต้องการทำหรือเปล่า หากสิ่งไหนที่เราทำด้วยใจแล้วย่อมประสบความสำเร็จเสมอ ขอเพียงมีความมุ่งมั่นสักวันเราก็จะไปถึงที่หวังเช่นเดียวกับการพูดซึ่งหลักการนั้นท่องจำได้แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่การฝึกฝนมากกว่า และจากตัวอย่างนักพูดเช่นพระพยอม กัลยาโณ ท่านมีองค์ประกอบของนักพูดอย่างครบถ้วน ทั้งความน่าเชื่อถือของตัวท่านเอง เนื้อหาสาระที่ท่านเทศนา และการศึกษาถึงสิ่งแวดล้อมในการพูดด้วย นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดี เป็นนักพูดที่น่าติดตามอีกท่านหนึ่งเลยทีเดียว
สุดท้ายนี้อยากจะฝากบทกลอนไว้ให้คิดสักนิด ไม่ว่าจะเป็นนักพูดหรือคนธรรมดาทั่วๆไปก็ตาม ขอให้ใช้คำพูดที่ดีที่สร้างสรรค์ต่อกันนะคะ แล้วเราก็จะเป็นนักพูดที่ประทับอยู่ในใจอีกหลายๆคนไม่แพ้นักพูดระดับโลกเลยหละค่ะ
                                       อันรสปากหากหวานก็หวานเด็ด
                                     บรเพ็ดก็ไม่มากเท่าปากขม
                                     มีดว่าคมก็ไม่มากเหมือนปากคม
                                      รสหวานขมคมไม่มากเหมือนปากคน

     ฟังกลอนบทนี้กันแล้ว เพื่อนๆคงจะนึกถึงคนที่มีวาจาเชือดเฉือนกันขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหมคะ ดิฉันเชื่อว่าหนึ่งในนั้นย่อมมีบุคคลท่านนี้อยู่แน่นอน เพราะท่านเป็นพระนักเทศน์ฝีปากเอกของเมืองไทยเลยทีเดียว ท่านจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากท่านพระอาจารย์พยอม กัลยาโณ ผู้มีลีลาการเทศน์ที่แปลกใหม่นั่นเองค่ะ
     พระพยอม กัลยาโณ หรือพระพิศาลธรรมวาที ท่านเป็นพระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงมาก ทุกครั้งที่ท่าน
เทศนาธรรมจะได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างเนืองแน่น ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าการเทศน์ของท่านนั้นได้รับทั้งความรู้และความสนุกสนาน ถือเป็นความสำเร็จอันสูงสุดของนักพูดเลยทีเดียว ท่านเป็นนักพูดที่ประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้เพราะอะไร เพื่อนๆคงอยากทราบแล้วใช่ไหมคะ
คุณสมบัติประการแรกของท่านที่เราเห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ การสร้างความน่าเชื่อถือในตัวผู้พูด จัดเป็นคุณสมบัติแรกในการดึงดูดความสนใจจากผู้ฟังเลยที่เดียว ทั้งนี้ก็เพราะว่าท่านเป็นพระนักพัฒนาสังคมคนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งโครงการต่างๆเพื่อช่วยเหลือสังคม หรือการเผยแพร่พระธรรมเทศนาแก่       พุทธศาสนิกชนอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ท่านได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากบรรดาสาธุชนทั้งหลายอย่างแน่นแฟ้น
     ประการที่สองคือ การพูดในสิ่งรู้แจ้งเห็นจริง เพราะทุกเรื่องที่ท่านเทศน์นั่นหมายถึงท่านรู้และเข้าถึงสัจธรรมในเรื่องนั้นๆ ทำให้ท่านสามารถเทศนาธรรมได้อย่างมีชีวิตชีวา ทุกอย่างสามารถถ่ายทอดออกมาได้ทั้งทางสายตา ลีลาท่าทาง และน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความแน่วแน่ ชัดเจน และเชื่อมั่นในสิ่งที่พูด
     ประการที่สามคือ การยกตัวอย่างและเหตุผลประกอบ พระพยอมท่านเป็นผู้ที่ใฝ่รู้ ติดตามข่าวและ
เหตุการณ์บ้านเมืองอยู่ตลอดเวลา ทำให้ท่านสามารถวิเคราะห์และนำเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นมาเป็นตัวอย่างในการเทศนาธรรมของท่านได้อย่างดี
ประการที่สี่คือ การเลือกใช้คำ ทุกถ้อยคำในการเทศนาธรรมของท่านนั้นจะถูกคัดสรรมาอย่างลงตัว ฟังแล้วเข้าใจง่าย จำได้ขึ้นใจ ใช้ภาษาใกล้เคียงกับผู้ฟังทำให้ไม่เกิดความเบื่อหน่ายเช่นการเทศน์ทั่วๆไป
ประการที่ห้าคือ การเตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลา เพราะท่านจะใช้เวลาทุกวินาทีอย่างมีค่าเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาพระธรรมคำสอน การไปดูงานในโครงการต่างๆ การเทศน์โปรดญาติโยม สิ่งเหล่านี้ทำให้ท่านจึงสามารถสั่งสมประสบการณ์ไว้อย่างมากมาย พร้อมที่จะถ่ายทอดให้คนทั่วไปได้รับฟังตลอดเวลา
จากที่กล่าวมาแล้วนี้ ทำให้เห็นได้ว่าการเป็นนักพูดที่ดีนั้นไม่ใช่เรื่องยากขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่าตั้งใจจะทำมากน้อยแค่ไหน ทุกคนอาจมีพรสวรรค์ต่างกันแต่สิ่งที่มีได้เหมือนกันคือพรแสวง หากตั้งใจที่จะแสวงหาสักวันก็ต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนเช่นเดียวกับท่านพระพยอมกัลยาโณ.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘