16พ.ต.ท.มนัส สัตยารักษ์

พ.ต.ท.มนัส สัตยารักษ์

เมื่อพูดถึงตำรวจ เพื่อนๆอาจจะให้คำจำกัดความของคำนี้ต่างกันออกไป บางคนอาจคิดไปถึงฮีโร่ในใจที่ช่วยปราบปรามโจรผู้ร้าย , เป็นคนที่แต่งชุดสีกากีมีปืนเป็นอาวุธ หรือในอีกแง่หนึ่งคนอาจจะมองว่าเป็นพวกที่ชอบทำผิดเสียเองโดยใช้เครื่องแบบบังหน้า แต่คำว่าตำรวจในพจนานุกรมนั้นหมายความว่า……………
     ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสืออยู่ 2 เล่ม ชื่อ “เขียนด้วยปืน” “ปืนพูดได้” ที่ พ.ต.ท.มนัส สัตยารักษ์ เขียนขึ้น ข้าพเจ้ารู้จักเขาครั้งแรกในฐานะนักเขียน ในหนังสือทั้ง 2 เล่มนั้นได้เล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ต่างๆ ที่เขาประสบมาจาการเป็นตำรวจ และได้เขียนความรู้สึกของตนเองลงไปในเรื่องต่างๆที่เขียนด้วย
     สิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจในตัวของ พ.ต.ท.มนัส สัตยารักษ์ มีอยู่ 2 ประเด็นใหญ่ๆ ด้วยกัน
ประเด็นที่หนึ่ง คือ เขาเป็นนักเขียนที่ดี ในการเขียนเรื่องในแต่ละเรื่องของเขานั้นมีความสนุกสนาน ,ความตื่นเต้นและสอดแทรกข้อคิดและความรู้สึกส่วนตัวของเขาเองลงไปด้วย
      ลักษณะเด่นในการเขียนเรื่องเรื่องสั้นคือ
     1.เขียนด้วยถ้อยคำที่สละสลวย แต่รุนแรงด้วยการเสียดสี ถากถางความเลวร้ายในสังคม เช่น ข้าพเจ้าจำสายตาของหมวดสิทธิ์ขณะมองแมลงวันดิ้นอยู่ในถ้วยกาแฟได้ เป็นสายตาที่เต้นระริก ยังกับคนได้รับความสุขสมใจ , ภาพที่เห็นไม่ชวนขย้อน…หากเป็นภาพที่ชวนให้สมเพชเหลือจะกล่าว , เวลามันยิ่งเรา มันไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่เราซิ ก่อนจะตัดสินใจเหนี่ยวไก เราต้องคิดอะไรหลายอย่าง…
     2.เขียนเล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับตนเอง
     3.แสดงความรู้สึกของตนที่มีต่อเรื่องต่างๆ ที่เขาได้ประสบมา และนำมาเขียนได้อย่างสนุกสนาน    เมื่อข้าพเจ้าอ่านเรื่องที่ พ.ต.ท.มนัส สัตยารักษ์ เขียนข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกคล้ายๆ กับว่าได้ยินคนฉลาด พูดจาคมคาย มาเล่าเรื่องต่างๆ ให้เราฟัง บางเรื่องก็สนุกสนาน บางเรื่องก็เหมือนกับเรื่องจริงที่เราประสบอยู่ทุกวัน มีอยู่เรื่องหนึ่งในหนังสือ เรื่อง “เขียนด้วยปืน” ที่ข้าพเจ้าชอบมาก คือ เรื่อง แหลมตะลุมพุก ชอบทั้งเนื้อเรื่องและวิธีการบรรยายเหตุการณ์ได้ดีจนเราเห็นภาพตาม มีเนื้อความว่า “แขน ขา หัว ตัว ตีน ลอยไปเกยหาดอยู่คนละทิศละทาง เห็นภาพแล้วได้กลิ่นและเป็นกลิ่นที่เตือนสติให้เรารำลึกถึงความไม่จีรังยั่งยืนของสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวงในโลก”
     คนที่เขียนหนังสือให้คนอื่นอ่านนั้นใครจะคิดว่าเป็นคนอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ข้าพเจ้าคิดเองว่า คนเขียนหนังสือนั้นจะยืนอยู่บนเส้นทางสายที่กึ่งกลางไม่ได้ จะต้องเอนเอียงอยู่ข้างใดข้างหนึ่งเสมอไป ระหว่าง ความดีกับความชั่ว , จริยธรรมกับกามคุณ , สุจริตกับทุจริต , เรีบยร้อยกับเลวร้าย , สัจจะกับอสัตย์ ฯลฯ เหล่านี้ และ พ.ต.ท.มนัส สัตยารักษ์ เป็นผู้ยืดถือความดี จริยธรรม สุจริตฯลฯเสมอ
     ประเด็นที่สอง คือ “เป็นตำรวจที่ดี” ในความรู้สึกส่วนตัวแล้วข้าพเจ้าชอบตำรวจเอามาก ชอบดู ชอบอ่าน เรื่องเกี่ยวกับการจับกุมคนร้ายที่ตำรวจทำ ข้าพเจ้ารู้สึกชื่นชมตำรวจมากเพราะไม่ว่าคดีนั้นจะซับซ้อนเพียงใดเขาก็สามารถคลี่คลายคดีได้
     ความประทับใจของข้าพเจ้าที่มีต่อ พ.ต.ท.มนัส สัตยารักษ์ มีด้วยกัน คือ
     1.ความรักในความเป็นตำรวจ เช่น ประโยคที่ว่า “เขาทำให้คำว่า เป็นถึงนายตำรวจ ลดลงเหลือ เป็นเพียงนายตำรวจ” เป็นข้อความหนึ่งที่เขาเขียนจากความรู้สึกที่ถูกมองว่าตำรวจซื้อได้ด้วยเงิน “หากเอาชีวิตราชการของข้าพเจ้าไปเทียบกับของเขา ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้ทำอะไรให้กรมตำรวจเลย” เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อเห็นทหารที่ได้รับบาดเจ็บในการปฏิบัติหน้าที่
     2.มีความซื้อสัตย์ ไม่ว่าจะมีใครให้เงินกับเขาเท่าไรหรือติดสินบนด้วยสิ่งของ ตลอดชีวิตของการเป็นตำรวจของเขาไม่เคยคิดที่จะรับมันเลย เช่น มีคดีฆ่ากันตายเกิดขึ้นแล้วญาติของผู้ต้องหาได้เสนอเงินให้เขา 20,000 บาท แต่เขากลับตอบไปว่า “ขอบคุณที่มีความปรารถนาดีต่อผม แล้วก็ขอบคุณอีกทีที่อยากให้ผมมีสตังค์ใช้ ผมก็อยากได้เงินนั้น แต่ผมเอามันไม่ได้”
     3.เป็นคนตรงไปตรงมา การที่เขาเป็นตำรวจนั้นต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาของหัวหน้าเมื่อการกระทำอะไรที่เขาทำขึ้นต้องรับผิดชอบ เขาไม่เคยเอาตัวรอดด้วยการโกหกเลย เช่น การที่เขาเข้าประชุมแทนหัวหน้า ซึ่งผู้บังคับบัญชาได้ถามถึงคำสั่งเมื่อครั้งก่อนที่ให้ตำรวจต้องฝึกแถวทุกวัน เมื่อผู้บังคับบัญชาถาม เขาตอบตามความจริงว่า โรงพักของเขาไม่ได้ทำหรอก เพราะงานในท้องที่ก็หนักมากอยู่แล้ว ถึงแม้จะทำให้ผู้บังคับบัญชาโกรธ แต่เขาก็คิดว่านั้นคือคำตอบที่ดีที่สุดที่เขาจะคิดได้ในขณะนั้นเพราะมันคือความจริง
     4.เป็นคนที่ดีมีศีลธรรม เช่น คดีที่ยายม่วนซึ่งขายเหล้าเถื่อนอยู่ปลายหมู่บ้าน แกเป็นคนตาบอดทั้งสองข้าง และที่แกขายเหล้าเถื่อนนั้นไม่ได้เพราะความตั้งใจ แต่เพราะสังคมได้บีดบังคับให้แกต้องทำ และเป็นหนทางเดียวที่แกจะพอหาเงินมาเลี้ยงชีพ เมื่อยายม่วนถูกจับ พ.ต.ท.มนัส สัตยารักษ์ ยอมที่จะปล่อยยายม่วนไปแทนที่จะปรับเป็นเงิน 11,00 บาท แล้วพูดประโยคหนึ่งว่า “บางที่เราต้องเสียสละบางอย่าง ซึ่งเรารู้สึกว่ามีค่าน้อยกว่ามนุษยธรรม” นั้นก็คือ เงิน 11,00 บาท
     5.เป็นคนช่างคิดช่างสงสัย สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมากในชีวิตตำรวจ เพราะต้องใช้ไหวพริบในการแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งความรอบคอบเป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อย และ พ.ต.ท.มนัส สัตยารักษ์ นั้นมีอยู่ในตัวแล้ว มีอยู่คดีหนึ่ง มีคนฆ่าตัวตายในห้องที่โล่งไม่มีอะไรเลยโดยดารแขวนคอ และที่สำคัญประตูและหน้าต่างทั้งหมดได้ล็อคจากข้างในด้วยกลอน จนทำให้ทุกคนคิดว่า หากเขาถูกฆาตกรรม ก็คงจะเป็นสิ่งที่สามารถออกมาจากห้องได้โดยไม่ต้องเปิดประตู หรือหน้าต่าง หากเขาฆ่าตัวตายเอง ก็ไมม่มีใครรู้อีกว่าอะไรที่เขาใช้เหยียบเพื่อแขวนคนตัวเองจากเพดานที่สูงเกือบ 3 ม แต่เพราะความเป็นคนช่างสังเกตของ พ.ต.ท.มนัส สัตยารักษ์ ทำให้เขาได้คำตอบว่าผู้ตายได้ใช้ก้อนน้ำแข็งเหยียบขึ้นไปเพื่อผูกคอตัวเอง แล้วเมื่อก้อนน้ำแข้งละลายก็ทำให้ไม่พบหลักฐานอะไร
6.ความเป็นคนสุภาพ ถึงแม้ว่าเขาเองจะมียศเป็นถึง พ.ต.ท. แต่ไม่มีซักครั้งที่เขาจะเอาเปรียบลูกน้องไม่ใช้อำนาจไปเบ่งกับใครที่ไหนไม่โอ้อวยศักดิ์ศรี
     ข้าพเจ้าประทับใจบุคคลคนนี้ทั้งในด้านหน้าที่การงาน ความรู้สึกนึกคิด และอุปนิสัยส่วนตัวของเขา ข้าพเจ้าชอบตำรวจ และอยากให้ตำรวจทั้งหมดมีสำนึกในหน้าที่ ที่ดีอย่างเขา มันเป็นสิ่งที่จะช่วยส่งเสริมประเทศไทยให้ก้าวหน้าไปได้มาก
     การที่ พ.ต.ท.มนัส สัตยารักษ์ เป็นคนที่ดีมีศีลธรรมข้าพเจ้าจึงเห็นว่าการที่จะเอาแบบอย่างในการดำเนินชีวิตของเขามาปฏิบัติเป็นแนวทางในการศึกษาให้ประสบความสำเร็จ เป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่มีความแตกต่างกัน ในแต่ละชนชั้นทำให้เรารู้ว่าควรวางตัวยังไง ควรทำยังไงกับคนประเภทไหน.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘