เทคนิคการพูด 02

ช่วยให้การแก้ไขต้นฉบับการพุดครบถ้วยสมบูรณ์ที่สุด เมื่อได้ต้นฉบับการพูดที่สมบูรณ์แบบตามที่ปรารถนาแล้ว ผู้พูดควรพิมพ์ต้นฉบับโดยใช้กระดาษพิมพ์อย่างหนา ระวังอย่าให้คำผิดพลาด ปรากฏ ต้นฉบับพิมพ์ควรสะอาด เนื้อเรื่องควรพิมพ์เป็นตอนสั้น ๆ ข้อความแต่ละตอนต้องจบในหน้าเดียวกันไม่ควรต่อไปหน้าอื่น ริมกระดาษซ้ายมือควรเว้นว่างประมาณ ๓ นิ้ว พิมพ์เลขหน้าทุกหน้าตามลำดับ หมายเลขขอบขวาด้วนบนเพื่อป้องกันการสลับหน้าผิด ควรใช้ลวดเย็บต้นฉบับรวมกันเพื่อป้องกันการหลุดและสูญหาย เวลาอ่านต้นฉบับผู้พูด ต้องอ่านโดยใช้เสียงที่เหมือนกับเสียงพูดปกติ เพราะแม้นว่าผู้พูดจะเขียนข้อความด้วยคำพูดของตนเองก็ตาม แต่ก็ไม่แน่ว่าเวลาเขาจะอ่านออกเสียงดุจเสียงพูดตามธรรมชาติของเขาหรือไม่ ดังนั้นเขาควรพยายามที่จะ แสดงพฤติกรรมทุกประการ นับตั้งแต่การแสดงออกทาง สีหน้า แววตา น้ำเสียง ให้กลมกลืนกับเรื่องที่อ่านมากที่สุด
ดังที่กล่าวแล้วว่าการพูดแบบอ่านจากต้นฉบับนี้ จะทำให้ผู้พูดไม่สามารถติดต่อสื่อสารทางสายตา กับผู้ฟังได้ อันเนื่องจากผู้พูด ต้องละสายตาจากผู้ฟัง มาอยู่ที่ต้นฉบับตลอดเวลา แต่ผู้พูดก็อาจแก้ปัญหาดังกล่าวได้โดยช่วงเวลาที่หยุดเว้นระยะในการพูด ก่อนที่จะอ่าน ข้อความต่อไป ผู้พูดควรเงยหน้าขึ้น มองผู้ฟังก่อนแล้วจึงอ่านต่อไป การกระทำเช่นนี้สำหรับคนเริ่มต้นฝึกหัดใหม่ๆ นับว่ายากมาก แต่เมื่อฝึกฝนบ่อย ๆ แล้วจะเกิดความชำนาญจนเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

ตัวอย่างการพูดแบบอ่านจากต้นฉบับ
ตัวอย่างที่ ๑
คำกล่าวรายงานการจัดการสัมมนาทางวิชาการ
เรื่อง บทบาทของสถาบันอุดมศึกษาในการแก้ปัญหาวิกฤตสังคม
     ในวันจันทร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๙
โดย
ดร. จันทร์ วงษ์ขมทอง
ประธานกรรมการวิชาการ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชาแห่งประเทศไทย
กราบเรียน ท่านประธาน
     ในนามของสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ใคร่ขอแสดงความขอบคุณ ฯพณฯ องคมนตรี ที่ได้ให้เกียรติ และสละเวลาอันมีค่าของท่านมาเป็นประธานการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง บทบาท
ของสถาบันอุดมศึกษาในการแก้ปัญหาวิกฤตสังคม ในวันนี้เป็นอย่างยิ่ง ดิฉันใคร่ขอกราบเรียนถึงหลักการ เหตุผล ของการจัดสัมมนา ซึ่งเป็นเรื่องของสังคมและประเทศชาติโดยตรง เป็นเรื่องที่ ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าประเทศของเรามีปัญหาที่ร้ายแรง โดยเฉพาะเรื่องปัญหาแรงงาน อันเกิดจากความด้อยประสิทธิภาพ ของการจัดการบริหาร ทำให้ครอบครัวขนบทซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาล่มสลาย ส่วนชุมชนในเมืองใหญ่ ก็เต็มไปด้วย ธุรกิจทางเพศ การล่อลวงเด็กหญิงเพื่อการค้าประเวณี และปัญหาโรคเอดส์ วัณโรค ยาบ้า อาชญากรรมแทบทุกรูปแบบ ความตายและความสูญเสียทรัพย์สิน จากการจราจรและโรงงานอุตสาหกรรม และการทำลายแหล่งน้ำโดย โรงงานอุตสาหกรรม และประชาชนส่วนหนึ่ง การจราจรติดขัดก่อให้เกิดผลทางลบคิดเป็นมูลค่าความสูญหายอย่างมหาศาล มีการตัดไม้ทำลายป่า จนเหลือป่า เพียงร้อยละ ๑๘ ค่าแรงสำคัญมีราคาสูงกระทบต่อการผลิตสินค้าและการส่งออก การสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญ ของการพัฒนา ไม่มีคุณภาพและไม่เพียงพอ เป็นวิกฤตการทางสังคมซึ่งหลายฝ่ายได้พยายามแก้ไขแต่ก็ไร้ผล จนทำให้คณะกรรมการ พัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ กำหนดแผนและเป้าหมายการพัฒนาสังคมใหม่
การสัมมนาในวันนี้ มีวัตถุประสงค์สำคัญที่จะหาข้อเสนอแนะจากผู้เข้าสัมมนาซึ่งมีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ด้าน อุดมศึกษา และการพัฒนาในการหาแนวทางแก้ไขและวิธีการพัฒนาให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตามนโยบายของ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๘
การสัมมนาจะเป็นการอภิปรายทั้งวัน โดยช่วงเช้าจะเป็นเรื่องสภาพปัญหา และบทบาทสถาบันอุดมศึกษาในการแก้ปัยกาเยาวชน และสวัสดิการตามความมั่นคงแห่งชาติ และสิ่งเสพติด
สำหรับช่วงบ่าย เป็นเรื่องของสุขภาพอานามัย ปัญหาศีลธรรมทางเพศ และอุบัติภัย และมลพิษสิ่งแวดล้อม
บัดนี้ได้เวลาอันเป็นอุดมฤกษ์แล้ว ดิฉันใคร่ของกราบเรียนเชิญท่านประธานได้กระทำพิธีเปิดการสัมมนา และกล่าวปราศรัย เพื่อเป็นสิริมงคล ขวัญกำลังใจ และแนวทางการสัมมนาให้บรรลุวัตถุประสงค์
ขอกราบเรียนเชิญท่านประธาน

ตัวอย่างที่ ๒
คำกล่าวเปิดการสัมมนาทางวิชาการ
เรื่อง บทบาทของการสถาบันอุดมศึกษาในการแก้ปัญหาวิกฤติทางสังคม
วันจันทร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๙
ฯพณฯ ดร.อำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี
]
ท่านผู้เข้าร่วมสัมมนาและท่านแขกผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่าน
     กระผมรู้สึกมีความยินดีและ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมการสัมมนาทางวิชาการ ซึ่งทางสมาคม สถาบันอุดมศึกษาเอกชน แห่งประเทศไทยและทบวงมหาวิทยาลัยจัดขึ้นในวันนี้ กระผมเห็นด้วยกับรายงานของท่านประธานกรรมการ ฝ่ายวิชาการของสมาคม ที่ได้กล่าวว่าสังคมของเรากำลังประสบกับปัญหา ในระดับที่รุนแรงน่าวิกนยิ่ง ท่านทั้งหลายคงทราบดีว่าหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และประชาชนไม่น้อยได้พยายามที่จะคลี่คลายปัญหาและการจัดเตรียมแผนการทำงานใหม่ให้มีความเป็นไปได้ แต่ก็ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร จนทำให้รู้สึกว่ายิ่งพัฒนาก็ยิ่งทำให้สังคมของเราเสื่อมลง จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยและควรทำการวิจัยศึกษาเป็นอย่างยิ่งว่า อะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การพัฒนาของเรามีปัญหาและหาแนวทางปรับปรุงแก้ไขอย่างไร สังคมของเราจึงจะเป็นสังคมที่มีการพัฒนาที่ยั่งยืน กระผมเข้าใจว่ามหาวิทยาลัยของไทยเรามีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ ๔ ประการ ซึ่งได้แก่ การจัดการเรียนการสอน การวิจัย การบริการสังคม และการรักษาจรรโลงไว้ซึ่งวัฒนธรรมอันดีงามของประเทศ หลาย ๆ มหาวิทยาลัยได้บรรลุเป้าหมายพอสมควร โดยเฉพาะในปัจจุบัน ทบวงมหาวิทยาลัย ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในการที่จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น โดยจัดให้มี การประกันคุณภาพ และการควบคุมคุณภาพทางการศึกษา ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของการพัฒนา ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ คงมีความเห็นพ้องกันว่าความก้าวหน้าของ การพัฒนาสังคมโดย มุ่งเน้นไปที่คุณภาพ ชีวิตของคน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญ ของแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ ๘ นั้นย่อมขึ้นกับตัวแปรหรือปัจจัยสำคัญหลายอย่าง กระผมตระหนักดีว่า การศึกษาเป็นปัจจัยและ ขบวนการที่จะทำให้เกิดการพัฒนาที่แท้จริงได้ หมายความว่า เราจะต้องใช้สาระทางวิชาการ และขบวนการทางการศึกษา ที่จะทำให้เด็ก และเยาวชนได้รู้ได้เข้าใจสาระความเป็นจริงของแก่นสารของชีวิตรู้จัก และเข้าใจธรรมชาติและสามารถใช้ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม แต่ถ้ามีก็จะเป็นการสูญเสียเพียงเล็กน้อย ขณะเดียวกันเราก็ต้องพยายามค้นคว้าหาสิ่งใหม่มาทดแทนสิ่งที่กำลังจะหมดไป และเป็นสิ่งที่ มีราคาค่าใช้จ่าย น้อยลง เพื่อให้เกิดการสมดุล การที่เราจำเป็นจะต้องทำเช่นนี้ ก็เพราะคนเรากับธรรมชาติแยกกันไม่ได้ ต้องมีลักษณะ พึ่งพาซึ่งกันและกัน นั่นหมายความว่า การทำลายทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ก็คือการทำลายตนเอง ครอบครัว และสังคม ซึ่งเกิดปัญหา หลายประการ ดังที่สมาคม ได้กล่าวถึง จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องช่วยกันหาทางแก้ไขปัญหาให้ได้ ผมขอกล่าวเพิ่มเติม อีกเล็กน้อยว่าการจัดการการศึกษาที่ดีที่เหมาะสม จะต้องกระทำในทุกระดับโดยเฉพาะในการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปรียบเสมือน การปลูกต้นไม้ หากการเตรียมดิน การจัดการสิ่งแวดล้อม และการดูแลรักษาต้นไม้ ไม่ดีไม่ถูกต้อง เราก็จะไม่ได้รับประโยชน์ จากการปลูกต้นไม่นั้น ขณะเดียวกันก็จะเป็นผลร้ายด้วยซ้ำไป ดังนั้นการที่เราจะปล่อยปละละเลย ไม่ดำเนินการจัดการ พัฒนาให้ถูกต้อง มาตั้งแต่เล็กๆ เมื่อเขาเติบโตขึ้นก็จะเป็นปัญหาของสังคมดังที่ปรากฏอยู่ ดังนั้นในการสัมมนาในวันนี้ ท่านทั้งหลายคงจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดความเห็น ในเรื่องบทบาทของสถาบันอุดมศึกษา ในการแก้ปัญหาวิกฤติทางสังคม เพื่อเป็นพื้นฐานและแนวทางในการแก้ปัญหาหาต่อไป กระผมมั่นใจว่าผลการสัมมนาครั้งนี้ จะบรรลุวัตถุประสงค์ ตามที่ตั้งไว้ทุกประการ บัดนี้ได้เวลาอันสมควรแล้วกระผมของเปิดการสัมมนาทางวิชาการ เรื่องบทบาทของสถาบันอุดมศึกษา ในการแก้ปัญหาวิกฤติ ทางสังคม ณ บัดนี้ ขออวยพรให้การสัมมนาจงดำเนินไปด้วยดีได้ผลสมปรารถนาอันจะเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาวิกฤติทางสังคม และเป็นแนวทางในการดำเนินงาน ที่จะทำให้ประเทศของเราบรรลุขั้นการพัฒนาแบบยั่งยืนต่อไป และขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกท่าน
ขอขอบคุณ

๓. การพูดแบบพูดจากการท่องจำ (Memorized Speech)
     ถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องแล้ว การพูดแบบนี้ถือเป็นการ ท่อง มากกว่า เพราะเกิดจาการท่องจำถ้อยคำที่เขียนไว้เป็นต้นฉบับสมบูรณ์ (Manuscript) หรือท่องจำแบบคำต่อคำนั่นเอง ถ้าจะวิเคราะห์คุณค่าทางวาทศาสตร์หรือศาสตร์แห่งการพูดแล้วการพูดแบบนี้มีคุณค่าน้อย การพูดแบบนี้นักพูดไม่นิยมใช้กันเพราะเป็นรากฐานที่จะทำให้ผู้พูด เกิดความกังวลใจและความเคร่งเครียด อันเนื่องมาจาก ผู้พูดก็ไม่แน่ใจว่า จะจดจำคำพูดได้ทุกถ้อยคำหรือเปล่า และถ้าหากเกิดการผิดพลาด หลงลืมขึ้นมากลางคันผู้พูดก็จะเกิดความระหม่า และอาจไม่สามารถแก้ปัญหา เฉพาะหน้าได้ หรือแม้แต่เกิดการผิดพลาดขึ้นผู้ฟังจับได้ว่าเป็นการ ท่อง เพระเสียงของผู้พูดจะราบเรียบเป็นทำนองเดียว (Monotonous) สายตาก็อาจจะไม่มองผู้ฟัง ท่าทางประกอบก็อาจจะไม่มีทำให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่ายและขาดความเชื่อถือต่อผู้พูดขึ้นได้
     ดังนั้นผู้พูดที่จึงควรหลีกเลี่ยงการพูดแบบท่องจำต้นฉบับทั้งหมด แต่อาจใช้วิธีการท่องจำเพียงเล็กน้อยหรือเพียงบางส่วน (Quotation) เท่านั้น จะดีกว่า

๔. การพูดแบบพูดโดยการเตรียมตัวหรือการพูดจากความเข้าใจ (Extemporaneous Speech)
     เป็นการพูดจากใจ จากภูมิรู้ และจากความรู้สึกจริง ๆ ของผู้พูดเอง เป็นการพูดที่นิยมใช้กันมากที่สุดเพราะมีข้อดีหลายประการ คือ
– เป็นตัวของตัวเอง
-    พรั่งพรู
- เป็นธรรมชาติ
- เร้าใจ
- จริงใจ
- แสดงภูมิรู้ของตนเอง
- ยืดหยุ่นให้เหมาะสมกับเวลาได้
- ตอบปัญหาผู้ฟังและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้
ซึ่งก่อนการพูดแบบนี้ผู้พูดต้องเตรียมตัวในการคัดเลือกหัวข้อเรื่อง ค้นหาเนื้อเรื่อง แนวคิดและตัวอย่าง จากนั้นเรียบเรียงเนื้อเรื่อง แนวคิด และตัวอย่างให้สมบูรณ์และอ่านให้เข้าใจถ่องแท้เสียก่อน โดยมีขั้นตอนการดำเนินการเตรียมตัว ดังนี้

๑. ขั้นเตรียมตัวทั่วไป
     ได้แก่ การที่ผู้พูดพยายามหาความรู้ อ่านมาก ฟังมาก เพราะผู้ที่มีความรู้กว้างขวางมักเป็นนักพูดที่ดี ความรู้ในเรื่องต่างๆ จะช่วยให้การพูดสนุกสนานน่าฟังและช่วยสร้างศรัทธาแก่ผู้ฟังด้วย
๒. ขั้นเตรียมตัวเฉพาะคราว
ได้แก่ การที่ผู้พูดเตรียมตัวพูดเฉพาะในคราวใดคราวหนึ่ง ซึ่งมีขั้นตอนวิธีการดังนี้
     ๒.๑ เมื่อได้รับเชิญให้พูด ผู้พูดต้องมีวิธีการเตรียมตัวล่วงหน้าพอสมควร ถ้าสามารถเลือกเรื่องที่จะพูดเองได้ผู้พูดควรเลือกเรื่องที่เหมาะสมกับตัวเอง เหมาะสมกับผู้ฟัง และเหมาะสมกับโอกาสที่จะพูดจากนั้นจึงค่อนรวบรวมเอกสารหรือความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะพูด เรียก ขั้นนี้ว่าขั้นเตรียมการ (Invention)
๒.๒ เมื่อได้เอกสารหรือข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่จะพูดแล้ว ผู้พูดก็จะจัดเนื้อหาให้เหมาะสมว่า คำนำ เนื้อเรื่อง และสรุปควรจะมีเนื้อหาสาระอะไรบ้าง คัดมาจากเอกสารฉบับใดบ้าง อะไรที่ไม่เหมาะสมก็ตัดทิ้งไป เรียกขั้นนี้ว่าขั้นรวบรวม (Disposition)
๒.๓ เมื่อเตรียมเนื้อเรื่องในแต่ละตอนแล้วผู้พูดจะต้องเตรียมต่อไปว่าเนื้อเรื่องในแต่ละตอนนั้น ควรจะพูดอะไรก่อนหลัง ควรใช้สำนวนโวหารอย่างไร ใช้ภาษาระดับใดจึงจะเหมาะสม กับผู้ฟัง เรียกขั้นนี้ว่าขั้นวิธีการ (Style)
๒.๔ เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เราก็จัดเรื่องที่จะพูดให้เป็นส่วนๆ โดยมีคำนำ เนื้อเรื่อง และ สรุป เรียกขั้นนี้ว่าขั้นโครงเรื่อง (Form)
๒.๕ เมื่อผู้พูดได้เรื่องที่เหมาะสมที่จะพูดแล้ว หากนำไปพูดทันทีอาจจะพบปัญหาบางอย่างได้ ดังนั้นผู้พูดจึงต้องทดลองพูดด้วยตนเองเสียก่อน เรียกขั้นนี้ว่าขั้นฝึกซ้อม (Rehearsing)
     ในการพูดแบบนี้หากผู้พูดกลัวว่าจะลืมเนื้อเรื่องที่เตรียมไว้ ผู้พูดอาจบันทึกสั้นๆ นำติดตัวขึ้นไปพูดด้วย หากตอนใดผู้พูด เกิดการหลงลืมก็อาจหยิบบันทึกนั้นขึ้นมาดูเพื่อให้สามารถพูดได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน ซึ่งวิธีการบันทึก และการใช้บันทึกในเวลาพูด ผู้พูดควรปฏิบัติดังนี้
๑) การเตรียมบันทึก
     ในบันทึกนั้นจะประกอบด้วย ลำดับขั้นตอนแนวคิดที่จะเสนอต่อผู้ฟัง โดยทั่วไปมักเขียนไว้เพียงคำเดียวหรือ สองคำเท่านั้น เพื่อช่วยความจำ บันทึกที่ดีควรทำด้วยกระดาษการ์ดแข็งเพราะใช้สะดวก บนมุมกระดาษการ์ด ควรเขียน เลขกำกับบอกแผ่นไว้ เช่น ๑-๒-๓-๔ ฯลฯ
(๒) การใช้บันทึกเวลาพูด
เมื่อผู้พูดก้าวขึ้นไปยืนบนเวทีผู้พูดควรวางกระดาษไว้บนโต๊ะ หรือถือไว้ในมือในลักษณะที่ไม่เกะกะ เมื่อต้องการจะ ใช้กระดาษบันทึก ผู้พูดควรหยิบกกระดาษบันทึกมาอ่านโดยตรงหรือมิเช่นนั้นอาจจะอ่านบันทึกในลักษณะที่คนฟังไม่เห็นบันทึก คือ วางอ่านกับโต๊ะนั่นเอง อนึ่งผู้พูดอย่าไปมัวพึ่งบันทึกอย่างเดียว ก่อนการพูดผู้พูดควรทบทวนเนื้อเรื่อง หัวข้อ ขั้นตอน และแนวคิดจนจำได้ตลอด เมื่อทำได้เช่นนี้ผู้พูดจะกลายเป็น นาย ของเรื่องที่พูดโดยละเอียด

หลักการทั่วไปในการเตรียมตัวเพื่อเป็นนักพูดที่ดี]
     เท่าที่ผ่านมามีนักวิชาการทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ได้ให้หลักเกณฑ์สำหรับการฝึกฝนการพูดเอาไว้มากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่งมีสารประโยชน์ ทั้งสิ้น แต่เนื่องจาก เนื้อที่ในหนังสือเล่มนี้มีจำกัด ผู้เรียบรียงจึงใคร่ของนำเสนอเฉพาะหลักการฝึกฝนการพูดของนักวิชาการบางท่านที่น่าสนใจ และไม่ยุ่งยากในการทำควรเข้าใจ อาทิเช่น
๑. หลักสิบประการของสมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
๑.๑ จงเตรียมพร้อม

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘