สัมภาษณ์ โน้ต อุดม แต้พานิช 01

“ผมจะออกจากบ้านสี่โมงเช้านะ” เป็นคำสัญญาจากผู้ชายหน้าธรรมดาที่มีจมูกไม่ธรรมดา จึงเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องไปกะกันเองว่าจะได้พบกับเขาตอนไหน    แต่ไม่ว่าจะกะกันไว้อย่างไร ชุดหมีที่ตัดเย็บจากตุ๊กตาหมีร้อยกว่าตัวนั้นก็นับว่าเกินความคาดหมายจริง ๆ
“ใส่ถ่ายโปสเตอร์แล้วก็ลงแพรวเท่านั้นนะ นอกนั้นไม่มีใครได้เห็นอีกแล้ว” เขาคุยราวกับจะเอาบุญเอาคุณ ก่อนจะลงทุนกระโดดโลดเต้น ซึ่งก็ไม่ถนัดนักหรอก เพราะชุดที่ทรงอยู่นั้นหนักเหลือเกิน
เป็นชุดที่ใส่ในการแสดงหรือคะ
ขืนใส่ อุดมไม่ต้องทำอะไรกันพอดี หนักนะ ใส่เองก็ไม่ได้ ต้องมีคนช่วย แต่ที่ทำชุดนี้ขึ้นมาเพราะอยากให้เข้ากับคอนเซ็ปต์การแสดงเดี่ยวไมโครโฟน ครั้งที่ 3 ซึ่งผมใช้ชื่อว่า “อ.อุดมการช่าง” โดยอุดมจะเป็นช่าง และช่างก็ต้องใส่ชุดหมีใช่มั้ยครับ (ยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อคนฟังร้องอ๋อ)
ความคิดในการทำเดี่ยวไมโครโฟนมีที่มาจากอะไรคะ
ก่อนที่ผมคิดจะทำเดี่ยวไมค์ขึ้นมานั้น มีคนหลายคนพูดว่าผมน่าจะทำอาชีพเล่าเรื่องได้ เช่น อาจารย์คณิต คุณาวุฒิ ผมพบอาจารย์ที่โรงละครกาดสวนแก้ว คุยกันแล้วอาจารย์บอกว่า …มีโรงละครเล็ก ๆ อย่างนี้นะ มึงชอบเล่าเรื่องนี่ มึงขึ้นไปเล่าสิ เปิดเป็นการแสดงให้คนเข้ามาฟัง ต่างประเทศเขาทำกันมานานแล้วนะ เรียกว่า “One Stand up Comedy” เป็นการแสดงแบบเล่าเรื่องตลกเหมือนที่มึงเล่านี่แหละ คือเวลาผมเล่า ท่าจะเยอะ เสียงก็ไปตามเนื้อเรื่อง อาจารย์บอกว่าสนุก คนฟังได้อารมณ์ดี
ตอนนั้นผมฟังแบบผ่านหู แต่ต่อมาครูช่าง (อาจารย์ชนประคัลภ์ จันทร์เรือง) บอกอีกว่า เวลาผมเล่าเรื่อง เล่าได้อารมณ์ฉิบหาย และพี่จุ้ย (ศุ บุญเลี้ยง) ก็พูดว่า ถ้าเขาจะไปไหน ให้ผมไปแทนก็ได้ แล้วกลับมาเล่า จะมันกว่าเขาไปเองเสียอีก (หัวเราะ)
พอพูดหนาหูขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็ชักคล้อยตาม เริ่มสังเกตตัวเองเวลาเล่าเรื่อง เออ…ใช่เว้ย ผมชอบเล่าเรื่องนี่หว่า งั้นลองดูดีมั้ย
แต่การเล่าเรื่องไม่เหมือนการแสดงละคร ที่จะมาท่องบท ทำมือทำท่าหน้ากระจก มันไม่ได้ ต้องมีคนฟัง ต้องมีปฏิกิริยาตอบโต้ คือคนฟังหัวเราะในเรื่องที่เราเล่ามั้ย ฉะนั้นจึงต้องพบปะเพื่อนฝูงอยู่เป็นนิจศีล แต่ต้องไม่ให้เขารู้ตัวนะ ไม่ใช่ไปถึง นี่ ๆ มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง
ต้องทำท่าเรื่อย ๆ พูดโน่นพูดนี่ พอได้โอกาสค่อยเล่า ถ้าเพื่อนขำ ใช้ได้ ๆ จดไว้
หลังจากนั้นก็เริ่มลองด้วยการไปเล่าตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ไปเล่าให้ฟังฟรี ๆ เพราะถือว่ากำลังอยู่ในช่วงทดลอง ขณะที่ตระเวนเล่าไปแต่ละมหาวิทยาลัย ผมก็ทำวิจัยไปด้วย เฮ้ย…เรื่องนี้เล่าทีไรสนุกทุกที เรื่องนี้เล่าไม่ได้หรอก อุดมไม่ควรพูดเรื่องแบบนี้เลย หรือเรื่องนี้ท่าน้อย ๆ ก็ได้ เพราะเวลาทำท่าน้อย ๆ มันดูลึกลับ สะกดคนดูได้
สมมติผมมีเรื่องเล่า 30 เรื่อง ที่แรกเล่ามันทั้ง 30 เรื่อง แล้วดูปฏิกิริยาคนฟัง ไปอีกที่หนึ่งตัดเหลือ 15 เรื่องที่เด็ด และอีกที่หนึ่งเหลือ 8 เรื่อง ที่เด็ดสุดจริง ๆ วิธีการเล่าก็ลองปรับเปลี่ยนดู ลองเพิ่มเสียงเข้าไป เพิ่มท่าเข้าไป เล่นกับคนดู จนความมั่นใจมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า โอ.เค. ฉันเล่าเรื่องให้คนฟังเข้าใจ และสนุกได้
แต่ตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจว่า “One Stand up Comedy” คืออะไร ซื้อหนังสือโรลลิ่ง
สโตนสัมภาษณ์ซายน์ฟิลด์ ซึ่งเป็นสุดยอด One Stand up Comedy ของยุคนั้น ให้น้องแปลให้ฟัง พอรู้คร่าว ๆ ว่าไม่ต้องไปกังวลหรอกเรื่องเล่านานไม่นาน เพราะซายน์ฟิลด์เขาเริ่มที่ 4 นาทีเอง ในคลับเล็ก ๆ ตลกบ้างไม่ตลกบ้าง พอวิชาแก่กล้าจึงเพิ่มเป็น 15 นาที จนสุดท้ายที่เล่นอยู่คือ 47 นาที อ้อ…เขาเล่นกันอยู่ในเวลานี้เองหรือ
เรื่องที่เขาพูดก็เกี่ยวกับการเมือง ล้อนักการเมืองคนโน้นคนนี้ เฮ้ย…ไม่ต่างกันเลยนี่หว่า แต่ที่อยากรู้คือรูปแบบว่าต้องทำยังไงเวลาแสดง ต้องมีคติธรรมเวลาพูดมั้ย ผมจะมีภาพของทอล์คโชว์ติดอยู่ในใจว่าต้องขึ้นต้นด้วยคำคมหรือบทกลอน จบด้วยคติธรรม จะต้องมีบุคลิกท่าทาง น้ำเสียงเหมือนที่โรงเรียนสอนการพูดสอนมั้ย
หาวิดีโอมาดู เขาก็ยืนพูดธรรมดานี่ ไม่ยากนี่หว่า ลองดูดีมั้ย ก็เลยเปิดเป็นเดี่ยวไมโครโฟนขึ้นมา    ชื่อ “เดี่ยวไมโครโฟน” นี่คิดขึ้นเอง?
อยากให้ฟังเป็นไทย แต่ทำยังไงให้คนดูรู้ว่าอุดมจะพูดคนเดียว ตอนนั้นกำลังดูข่าวกีฬา แข่งเทนนิสเดี่ยวมือหนึ่งวิมเบิลดัน เราใช้ไมโครโฟน ไม่ได้ใช้ไม้เทนนิส เออ…เดี่ยวไมโครโฟนแล้วกัน (หัวเราะสนุก)
ตอนที่คิดจะแสดงเดี่ยวไมค์ครั้งแรกนั้น ในเมืองไทยยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน มั่นใจได้อย่างไรว่าจะมีคนซื้อบัตรเพื่อฟังอุดมพูดคนเดียว
ตอบจริง ๆ คือไม่มีความมั่นใจเลย มีเงินในธนาคารเท่าไหร่ลงทุนหมด ถ้าเจ๊งคือบรรลัยอีกครั้ง เหมือนเสี่ยงตาย เพราะไม่รู้ว่าจะมีใครมาดูหรือเปล่า ขอสปอนเซอร์ก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่เข้าใจว่าแสดงอะไร อาศัยว่าใช้วาจาพะเน้าพะนอ จึงได้สปอนเซอร์จากร้านตั้งหลัก รามคำแหง กับลีวายส์ ซึ่งชอบพอกันเป็นการส่วนตัว
สถานที่ ผมเลือกหอประชุมเมืองไทยประกันชีวิต เขาคิดราคาถูกมาก แต่ขอให้ใช้ชื่อว่าโครงการสืบสานรักษ์ศิลป์ เป็นการช่วยโปรโมท โอ้…ยินดีอยู่แล้ว เขียนตัวใหญ่ ๆ ก็ได้
ผลออกมาค่อนข้างดี แต่รายได้ที่ได้ หักหนี้สิน หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้วไม่เหลือเลย ทั้ง ๆที่ประหยัดกันสุดชีวิต ทีมงานเป็นญาติสนิทมิตรสหาย อย่างคนทำเวที ทำโปสเตอร์ ก็เป็นเพื่อนน้องคอสตูมก็ใส่ของที่มีอยู่แล้ว
จำได้ว่าไปซื้อสูทที่คลองหลอดเขาตั้งราคาไว้ 320 บาท แพงจัง กำลังคิดว่าจะต่อยังไงดี วูบ ฟ้ามืด ผนตั้งเค้า เดินอีกรอบแล้วกัน ฝนต้องตกแน่ และก็ตกจริง ๆ ผมเดินกลับไปร้านนั้น…ฝนตกแล้ว ลดได้เท่าไหร่ เขาบอก สุดขีด 250 บาท
กลับมาถึงบ้าน แขวนอย่างดี มะรืนนี้จะเล่น ปรากฏว่าตื่นเช้าขึ้นมา สูทไปอยู่บนราวตากผ้า แม่เอาไปซัก (หัวเราะ) แล้วที่บ้านไม่เคยมีใครมีสูทที่ผมใส่ออกงานก็เช่าเขาทั้งนั้น สูทที่ซักด้วยมือคุณนายทองสุข ซึ่งในชีวิตไม่เคยจับสูทมาก่อน เลยขยี้เสียเหมือนซักผ้าถุง โฮ้ย…เคยเห็นด้ายขดหยิก ๆ มั้ย นั่นแหละ ร่นเป็นอย่างนั้นเลย
โกรธแม่ เพราะจะไปหาซื้อใหม่ก็ไม่ได้ เขามีวันขายของเขา พรุ่งนี้ต้องแสดงแล้ว ทำลายอนาคตกันชัด ๆ คิดดูภาพพจน์ผมป่นปี้หมด อุดมใส่สูทยับ ๆ เดินออกไป สุดท้ายแปรพลังงานความโกรธเป็นพลังงานกล้าหาญ ใส่ไปทั้งยับ ๆ อย่างนั้นแหละ
ได้ข่าวว่ายังมีเรื่องที่แย่กว่าสูทยับใช่ไหม
ใช่ แต่นั่นเป็นตอนเล่นโชว์ห่วย (เดี่ยวไมโครโฟน 2) คืนก่อนวันแสดง ผมท้องเสีย โหด…ทรมานสุด ๆ สาเหตุเพราะกินอาหารพลาด บุกตะลุยโดยไม่บันยะบันยัง ประเภทแนวปูยำ ปกติผมกินอาหารทุกอย่างที่ไม่มีประโยชน์อยู่แล้ว ทีนี้บรรลัยสิ พรุ่งนี้แสดง คืนนี้ท้องเสีย ไม่ได้นอนเลย กินยาแก้ปวดตรากระต่ายบินเอย อีโมเดียมเอย ก็ยังไม่หยุด ในฉลากเขียนว่ากินหลังอาหารครั้งละ 2 เม็ด ผมแทบจะคลุกข้าวกินเลย แม่บอกดื่มเกลือแร่หาย ดื่มจนเบื่อก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสีย
พอบ่ายวันรุ่งขึ้นต้องหอบสังขารโทรม ๆ ไปดูเขาเซ็ทอัพไฟ แสง เสียง ของเวทีก่อนแสดงจริง ถึงเวลาแต่งหน้าก็นั่งอย่างเบื่อ ๆ ไม่คึกเลย แต่จะออกไปบอกคนดูว่า…ท่านครับ พรุ่งนี้มาใหม่ได้มั้ยครับ วันนี้ไม่ค่อยตลกเลย ไม่อยากเล่นแล้ว ก็ไม่ได้
มีแต่แบบ ต้องฮึดโว้ย เอารูปหลวงพ่อวัดปากน้ำมาตั้งหลังเวที เคยเห็นแม่ค้าแถวท่าพระจันทร์เขาวางบนหาบคล้าย ๆ วางเป็นมิ่งขวัญเวลาขายของ ผมเลยเอามาวางเป็นมิ่งขวัญผมเหมือนกัน บอกหลวงพ่อว่า…หลวงพ่อคร้าบ ผมไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง ยาช่วยไม่ได้แล้ว หลวงพ่อช่วยผมที
หายไหมคะ
ไม่หาย สงสัยท่านไม่ได้อยู่รุ่นระงับอาการ (หัวเราะ) เล่นอยู่บนเวทีท้องยังลั่นครอก ๆ ดีนะที่คนดูมัวแต่หัวเราะตลกที่ผมเล่า ถ้าเงียบกันทั้งหอประชุมมีหวังต้องได้ยินเสียงครอก ๆ แน่ ๆ เพราะไมค์มันไว
และเสียงครอกนี่แหละทำเอาอารมณ์ผมไม่ขึ้น ถึงตอนที่เล่าเรื่องตื่นเต้น มันต้องมีแอ๊คชั่น นึกภาพคุณเฉลิมชัย (โฆษิตพิพัฒน์) ออกมั้ย แอ๊คชั่นมันต้องออกอย่างนี้ (ทำท่ากวาดมือวุ่นวาย) …ผมเจอตุ๊กแก แทนที่จะออกเสียงอย่างมีพลังเต็มที่ก็เหลือแค่เสียงอ่อย ๆ กลายเป็นตุ๊กแกตัวเล็ก ๆ จากแปดตัวดูแล้วเต็มประตู ก็เป็นตัวเล็ก ๆ กระจุกเท่าเนี้ย (แบมือให้ดู)  พลังมันไม่ออกเลย แล้วก็จำเรื่องมั่วไปหมด เพราะคิดแต่จะเข้าห้องน้ำ
ตลอดสองชั่วโมงที่ยืนอยู่บนเวที ขาสั่นพั่บ ๆ ๆ เลยนะ เรื่องที่เล่าก็ไม่กระชับ การตัดสินใจไม่แน่นอนเลย เช่น คิดว่าเรื่องนี้ตัดไปเลยแล้วกัน อย่ายึดเลยอุดม แต่ก็เผลอหลุดเรื่องนั้นไปคำหนึ่ง ฉิบหายสิ…หลุดไปแล้ว แสดงว่าต้องเล่าต่อ แล้วไงล่ะ ห้องน้ำ ตูดกู กับเรื่องที่หลุดไป โอ๊ย…สับสนมาก
จนแสดงเสร็จ ผมรู้สึกไม่พอใจกับการแสดงรอบนั้นมาก คิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่านั้น
แต่สรุปผลโดยรวมเป็นไปตามที่คาดหวังไว้
ดีกว่าที่คาดด้วยซ้ำ แต่เดี่ยวไมค์ครั้งแรกคนดูค่อนข้างเกร็งนิดหนึ่งนะ เพราะการแสดงแบบนี้ใหม่สำหรับเขาเหมือนกัน เหมือนคนเพิ่งจีบกัน นัดมาเจอกัน จะเขิน ๆ หน่อย
ครั้งแรกนั้นตัวโต้ตตื่นเต้นไหม
สุดชีวิตเลย เพราะไม่รู้ว่าเรื่องแรกที่พูดไปเขาจะขำมั้ย คิดมากถึงขนาดว่า ถ้าเขาไม่ขำจะลาตายน่ะ โฮ่…เขาเสียเงินมาฟังเรื่องขำขันของเรา แต่เขายังนั่งนิ่งมันก็บรรลัยแล้ว
หลังประสบความสำเร็จจากเดี่ยวไมค์ครั้งแรก คิดเลยไหมว่าจะต้องมีครั้งที่สอง ที่สาม และต่อ ๆ ไป
คิดว่าจะประกอบเป็นอาชีพแล้ว อาชีพนักเล่าเรื่องนี่แหละ เราค้นพบวงจรชีวิตว่ามาถูกทางแล้ว เรียกว่าเจอทำเลดินดำน้ำชุ่มก็ได้ เป็นทำเลที่ยังไม่มีใครมาจับจอง
แต่เชื่อมั้ย พอถึงครั้งที่ 2 จริง ๆ ผมกลับกังวลหนักขึ้น เพราะคนเริ่มสนใจกันหนักขึ้นกว่าเดิม จะทำยังไงดี แต่ตอนเห็นวิดีโอที่น้อง ๆ ทีมงานถ่ายคนไปยืนเข้าแถวรอซื้อบัตรยาวเหยียดนั้น เป็นครั้งแรกที่ผมรู้ซึ้งถึงคำว่าอิ่มใจ วันนั้นทั้งวันไม่ต้องกินข้าว ถึงเวลานอนก็นอนไม่หลับ เพราะมัวแต่นอนอมยิ้ม สุขใจจริง ๆ และพร้อม ๆ กันนั้นผมก็แน่ใจเลยว่า ยังไงผมก็ต้องไม่ทำให้คนดูผิดหวัง
ถ้าให้เปรียบครั้งแรกก็เหมือนการออกป่าล่าสัตว์โดยไม่รู้ว่าป่านั้นมีสัตว์อยู่มั้ย ส่วนครั้งที่ 2 นั้น สติสัมปชัญญะครบถ้วน เพราะรู้แล้วว่าคนให้ความสนใจเยอะ เปรียบได้กับเรารู้แล้วว่าป่านั้นมีสัตว์แน่นอน
แต่ก็ยังลำบาก เพราะดันคิดจะสร้างสรรค์วิธีดักสัตว์ คือครั้งที่แล้วใช้ปืนยิง ซึ่งยังไงก็โดนอยู่แล้ว ดูน่าเบื่อเกินไป น่าจะมีวิธีที่ลุ่มลึกกว่านั้น เช่น ใช้แหหว่านหรือทำเป็นกับดัก
หมายถึงเรื่องที่เล่าซับซ้อนขึ้น
ใช่ครับ เดี่ยวไมโครโฟนครั้งแรก ผมตั้งเป็นหัวข้อขึ้นมาหนึ่งหัวข้อว่าจะพูดเรื่องวงการบันเทิง ฉะนั้นมันง่ายอยู่แล้ว เพราะในวงการบันเทิงมีนักแสดงนางแบบ ดี.เจ. ประเภทของหนัง

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘