เทคนิคการพูด 01

การเตรียมตัวและการฝึกฝนการพูดเบื้องต้น

วิชาการพูดเป็นวิขาการพูดทั้งศาสตร์และศิลป์
     การพูดเป็นพฤติกรรมสื่อสารของมนุษย์ ซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ไม่ใช่สัญชาตญาณตามธรรมชาติ และความจำเป็น ทำให้มนุษย์ต้องพูด และพูดได้แต่มนุษย์ก็ไม่สามารถพูดได้เองตามธรรมชาติ ต้องอาศัยการเรียนรู้จาก บุคคลแวดล้อม และเรียนรู้ตามลำดับแห่งความเจริญเติบโต เริ่มต้นด้วยคำพูดที่มีฐานที่เกิดของ เสียงจากริมฝีปากก่อน แล้วจึงเรียนรู้วิจิตพิสดารมากขึ้น การเรียนรู้เพื่อให้พูดได้เป็นเพียงพื้นฐานเบื้องต้นของการพูดเท่านั้น เพราะหากทำได้เพียงเท่านั้นก็จะต้องประสบกับปัญหาในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างแน่นอน ดังนั้นหากต้องการพูดให้ได้ผลดีจริงๆ ต้องฝึกฝนการพูดโดยอาศัยหลักวิชาการพูดซึ่งมีหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่สามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้
การพูดที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้นมิ ใช่ว่าผู้พูดอยากจะพูดอะไรก็ได้เพราะนั้น อาจส่งผลกระทบในทางลบกับตัวผู้พูดเอง การจะเป็นผู้พูดที่ดีต้องมีการศึกษาและฝึกฝนวิธีการพูดที่ถูกต้อง ซึ่งวิธีการพูดที่ถูกต้องนั้นก็มีหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้เพื่อให้ผู้พูดสามารถจะนำไปศึกษาและฝึกฝนได้ ดังนั้นจึงถือว่าการพูดเป็นทั้งศาสตร์ (science) อันหมายถึง เป็นวิชาความรู้ และความเชื่อที่กำหนดไว้อย่างมีระบบระเบียบ และสามารถพิสูจน์หรือสามารถหาข้อเท็จจริงได้ และ ศิลป์ (art) เพราะต้องอาศัยการฝึกฝน โดยใช้เทคนิควิธีการที่จำเป็น ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีหรือพลิกแพลงในด้านต่างๆ ให้เหมาะแก่ผู้พูดแต่ละคน เพื่อให้การพูดของเขาในแต่ละครั้งนั้นเป็นการพูดที่ดีมีรสชาติ มีชีวิตชีวาและทำให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจ สนุกสนานเพลิดเพลิน คล้อยตาม หรือประทับใจขึ้นได้ เป็นต้น
 มีหลายคนที่เชื่อว่าการพุดเป็นพรสวรรค์ หรือเป็นธรรมชาติที่ติดตัวมาแต่กำเนิด จึงไม่อาจศึกษาและฝึกฝนได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าจะกล่าวโดยทั่วไป การเรียนในทุกสาขาวิชาก็ต้องอาศัยพรสวรรค์อยู่บ้าง ในแง่ที่ว่าบางคนอาจเรียนได้ดีกว่า เร็วกว่า หรือ รู้จักประโยชน์ได้มากกว่าบางคน ไม่ว่าจะเป็นวิชาคณิตศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์แม้กระทั้งวิชาคัดลายมือ ในวิชาการพูดก็เช่นกันบางคนอาจจะเรียนได้ดีกว่า เร็วกว่า หรือ รู้จักประโยชน์ใช้ได้มากกว่าบางคน แต่ทุกคนสามารถเรียนได้ ผุ้ที่เรียนย่อมมีหลีกที่ดีกว่าเดิมและดีว่าผู้ที่ไม่ได้เรียนการเรียนวิชาการพูดที่ถูกต้องต้องเรียนทั้งในฐานะที่เป็นศาสตร์และศิลป์ ดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว

วัตถุประสงค์ของการฝึกฝนการพูด
 วัตถุประสงค์ของการพูดมี ๕ ประการ คือ
     ๑. เพื่อให้รู้จักการสื่อสารด้วยคำพูดที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญในการอยู่และทำงานร่วมกับบุคคลอื่นในสังคม บางคนอาจเรียนมาสูงสามารถพูดได้หลายภาษาแต่กลับพูดกับคนอื่นไม่รู้เรื่องพูดแล้วคนฟังไม่เข้าใจ บุคคลเหล่านี้ต้องมาฝึกฝนการพูดกันใหม่ มิฉะนั้นจะไม่สามารถอยู่และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้
     ๒. เพื่อเตรียมตัวเป็นผู้นำที่ดี ผู้นำต้องพูดเป็นเพราะ ผู้นำทำงานด้วยปาก ผู้ตามทำงานด้วยมือ แม้นว่ามนขณะนี้เราอาจจะเป็นผู้ตามก็ตาม แต่วันหนึ่งข้างหน้าเราอาจมีโอกาสได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำคนหนึ่ง ดังนั้นเราจึงต้องเตรียมตัวตั้งแต่บัดนี้
     ๓. เพื่อวางรากฐานของประชาธิปไตย ในสังคมประชาธิปไตยนั้น ประชาชนจะต้องกล้าพุดกล้าแสดงออก รู้จักพุด รู้จักเสนอแนะ รู้จักคัดค้าน ถ้าไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าคัดค้าน ก็จะกลายเป็นคนที่เอื้ออำนวยให้เกิดระบบเผด็จการในสังคมขึ้นได้
     ๔. เพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์ มนุษย์เราต้องอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคม ทั้งกับครอบครัว เพื่อนบ้าน เพื่อร่วมงาน ฯลฯ ผู้ใดเป็นผู้มีมิตรภาพ มีสัมพันธ์ภาพที่ดี รู้จักพูดคุยตามกาลเทศะ ย่อมทำให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข บางคนอาจมีนิสัยดีไม่เป็นพิษไม่เป็นภัยกับใครแต่ปากไม่ดีชอบพูดพล่ามโดยไม่ทันคิดทำให้คนอื่นไม่อยากคบหาสมาคมด้วย กลายเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจ จนเป็นเหตุให้ขาดเพื่อนแท้ ขาดบริวารที่ดีไปได้
     ๕. เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ ผู้ที่มีโอกาสได้พุดในชุมชนบ่อยๆ จำทำให้เกิดผลดีในด้านการพัฒนาบุคลิกภาพไปในตัว เพราะในการฝึกฝนการพูดเราก็จะต้องฝึกด้านการพัฒนาบุคลิกภาพของเราควบคู่ไปด้วย ซึ่งส่งผลทำให้บุคลิกภาพของเราดีขึ้น เช่น การวางตัวดีขึ้น กิริยาท่าทางไม่เคอะเขิน แต่งการได้เหมาะสม มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความกระตือรือร้น มีมนุษยสัมพันธ์ และมีคุณลักษณะอีกหลายประการที่หาไม่ได้จากที่ไหน

การเตรียมตัวเพื่อการพูดแบบต่างๆ
     นักวิชาการ และนักพูดส่วนใหญ่ จำแนกวิธีการพูดออกเป็น ๔ วิธี คือ
-    การพูดแบบไม่มีการเตรียมตัว
-    การพูดแบบอ่านจากต้นฉบับ
-    การพูดแบบพูดจากการท่องจำ
-    การพูดแบบพูดจากเตรียมตัวหรือพูดโดยความเข้าใจ
-    ซึ่งแต่ละวิธีก็มีหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติและวิธีการในการเตรียมตัวที่แตกต่างกัน ดังนี้
๑. การพูดแบบไม่มีการเตรียมตัว ( Impromptu Speech ) ]
     การพูดแบบไม่มีการเตรียมตัวนั้น มักเกิดขึ้นได้เสมอในชีวิตประจำวัน เช่น ในงานเลี้ยงสังสรรค์ในโอกาสต่างๆ งานพิธีมงคลสมรส ฯลฯ ที่ผู้พูดอาจได้รับเชิญให้พูดโดยกะทันหัน ทำให้ไม่มีเวลาในการเตรียมตัว เตรียมใจ และเตรียมเนื้อหาสาระในการพูด ซึ่งความไม่พร้อมนี้ อาจจะส่งผลกระทบให้การพูดในครั้งนั้น ไม่มีประสิทธิผลเท่าที่ควร
     การพูดแบบนี้ถือว่าอันตรายที่สุด เพราะหากไม่มีประสบการณ์หรือ ชั่วโมงบิน มากจริงๆ จะทำไม่ได้ โดยเฉพาะในการบรรยายที่ผู้ฟังไม่สนใจฟัง ด้วยเหตุนี้ผู้พูดที่ดีซึ่งต้องการประสบความสำเร็จในการพูด จึงควรมีการเตรียมตัวเพื่อ แนวทางในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไว้จะได้ประโยชน์ในยามที่ได้รับเชิญให้พูดโดยกะทันหัน
     ในการพูดแบบนี้ผู้พูดมักไม่มีเวลาในการเตรียมตัว และเตรียมเนื้อหาสาระในการพูดมากนักอย่างเพียงแค่ไม่กี่นาทีก่อนขึ้นพูด ซึ่งวิธีการเตรียมตัว ในระยะเวลาอันสั้น เช่นนี้ผู้พูดอาจกระทำได้โดย หากในสถานการณ์ที่ผู้พูดได้รับเชิญให้พูดโดยกะทันหันไม่มีการเตรียมตัวมาก่อน ผู้พูดอาจอาศัย สังเกตข้อความที่ผู้อื่นเขาพูดมาก่อนหน้าเรา (ถ้ามี) แล้วอาศัยความชัดเจนที่มีอยู่ในตัวเป็นวัตถุดิบในการพูด (ถ้าหากว่าผู้พูดเคยมีความรู้ และประสบการณ์ เกี่ยวกับการพูด ในที่ชุมชนมาแล้ว ย่อมเป็นของง่ายที่จะพูดแบบนี้ โดยฉับพลันทันใด) ซึ่งผู้พูดจะต้องมองถึงหัวข้อเรื่องที่จะพูดในรูปโครงเรื่องย่อเสียก่อน และเข้าใจวัตถุประสงค์พิเศษของการพูดในครั้งนั้นๆ จากกนั้นจึงคิดหาตัวอย่าง คำคม หรือสุภาษิต เพื่อนำมากล่าวนำ แล้วรวบรวมเหตุผลและตัวอย่างประกอบ (เนื้อเรื่อง) เพื่อหาข้อยุติก่อนการพูดผู้พูดจะต้องพยายามสงบระงับความกระวนกระวายใจ ทำจิตใจให้สบาย ระงับความตื่นเต้นโดยการหายใจเข้าออกช้าๆ หลายๆ ครั้ง พอเริ่มพูดจะต้องเพ่งพินิจแต่เฉพาะเรื่องที่กำลังพูดอยู่เท่านั้น การรวมจิตใจเพ่งพินิจแต่เฉพาะเรื่องที่จะพูดเช่นนี้ จะทำให้สามารถควบคุม ความตื่นเต้นของตนเองได้
สำหรับแนวทางในการกำหนดเนื้อเรื่องประกอบ ในการพูดแบบไม่มีการเตรียมตัวนั้น ผู้พูดอาจเลือกใช้แนวใดแนวหนึ่งดังนี้
-    แนวส่วนของเรื่อง (Space Order)
-     หมายถึง แนวทางในการพูดที่ยึดการแบ่งเรื่องออกเป็นส่วนๆ ผู้พูดต้องแบ่งให้ดีว่าเรื่อวงที่เราจะพูดนั้นสามารถกล่าวในลักษณะของรูปธรรมได้หรือไม่ หากได้ให้เริ่ม กล่าวจากรูปธรรมซึ่งผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายก่อน จากนั้นจึงเปลี่ยนไปสู่นามธรรมดาตามหัวข้อเรื่อง ไม่ควรเริ่มพูดจากนามธรรมเพราะผู้ฟังอาจไม่เข้าใจได้ - แนวลำดับเวลา (Time Order)
-    หมายถึง แนวทางในการพูดที่ยึดถือเรื่องเวลาเป็นหลักการดำเนินเรื่อง จะกล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน และที่น่าจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
-    แนวเหตุและผล (Causal Order) ]
-    หมายถึง แนวทางในการพูดที่ยึดถือเรื่องเหตุและผลเป็นหลัก โดยกล่าวถึงสาเหตุก่อนว่าทำไมจึงเกิดเรื่องนั้นๆ ขึ้น และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะมีผลอย่างไร - แนวหัวเรื่อง (Topic Order)
หมายถึง แนวทางในการพูดที่ยึดถือหัวเรื่องเป็นหลัก เราสามารถพูดโดยกล่าวถึงชื่อเรื่องที่เราจะพูด เช่น อาจจะกล่าวว่าหมายถึงอะไร หรือโดยทั่วไป หมายถึงอะไรแต่ในที่นี้หมายถึงอะไร เป็นต้น

ตัวอย่างการพูดแบบไม่มีการเตรียมตัว
     ตัวอย่างที่ ๑ เมื่อได้รับเชิญให้กล่าวอวยพรในวันขึ้นปีใหม่ (ในฐานะประธานบริษัท)

ท่านผู้มีเกียรติและเพื่อร่วมงานที่รักทั้งหลาย
     ในนามของบริษัทฯ ผมมีความรู้สึกชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นเพื่อร่วมงานมาร่วมสนุกสนานกันอย่างเต็มที เนื่องในโอกาส ฉลองวันขึ้นปีใหม่ ในวันนี้ ทุกปีที่ผ่านมาเราถือว่าวันนี้เป็นวันแห่งความรัก และความสามัคคีเพราะพนักงานทุกระดับ จะได้มีโอกาสมาสังสรรค์ และร่วมสนุกสนานกัน หลังจากที่เราได้เหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งปี
     ความก้าวหน้าของบริษัทเรา นับว่าเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราทุกคน ในปีนี้ผมขอเรียนให้ทุกท่านทราบว่า  กิจการของบริษัทเรา ได้พัฒนาก้าวหน้าไปมาก โดยเฉพาะสินค้าของเราได้รับการยอมรับ และการสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าจำนวนมาก ซึ่งผมเองในฐานะ ประธานกรรมการ ของบริษัท ก็มีนโยบายในการขยายงานของบริษัทออกไผสู่ภูมิภาคให้มากขึ้น มีการเร่งผลิตให้เพื่อสูงขึ้น ทั้งในด้านปริมาณและ คุณภาพ ให้สินค้าของเราเป็นที่นิยมของ ประชาชนอย่างกว้างขวาง
     ความสำเร็จของการดำเนินงานตลอดระยะเวลา ๑ ปีที่ผ่านมานั้น มาจากการทุ่มเทเสียสละ ในการทำงานของเพื่อนพนักงาน และท่านผู้บริหาร ทุกท่าน ดังนั้นเพื่อตอบแทนในการเสียสละที่เพื่อนพนักงานและท่านผู้บริหารทุกท่านได้ทุ่มเทให้กับบริษัท ทางบริษัทของเราก็จะมีการปรับเงินเดือน ของพนักงานทุกระดับชั้นให้สูงขึ้น
      ขณะเดียวกันก็จะมีการปรับปรุงด้านสวัสดิการให้ดีขึ้นด้วยเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่นี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงดลบันดาลให้เพื่อพนักงานทุกท่าน จงประสบความสำเร็จ ความสุข ความเจริญตลอดไป ไชโย! ไชโย! ไชโย!

ตัวอย่างที่ ๒ เมื่อกล่าวอวยพรคู่สมรส

ท่านผู้มีเกียรติ เพื่อเจ้าบ่าว และเพื่อเจ้าสาว
     ผมรู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีเป้นอย่างยิ่ง ที่ท่านเจ้าภาพได้มอบหมายให้ผมมาเป็นผู้กล่าวอวยพรคู่สมรสในครั้งนี้
     คู่สมรส คือ คุณวิภาพักตร์และคุณรัตนพล นับว่าเป็นคู่สมรสที่น่ารักและเหมาะสมกันมากที่สุดคู่หนึ่ง ผมรู้จักท่านสองท่านมานานแล้ว และรู้จักเป็นอย่างดีเพราะทั้งสองท่าน เป็นลูกน้องของผมเอง ผมได้แอบสังเกตอย่างเงียบๆ มานานแล้วว่า ทั้งคู่มีความสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ แต่ก็คิดว่าไม่มีอะไรมากไปกว่าการเป็นเพื่อนร่วมงาน จนถึงวันนี้ทั้งคู่มาพบผม และบอกให้ผมทราบว่ากำลังจะแต่งงานกันแล้ว ซึ่งทำให้ผมรู้สึกดีใจ เป็นอย่างยิ่ง
     ในโอกาสอันดีนี้ ผมอยากจะฝากข้อคิดสำหรับคู่สมรสว่า ชีวิตสมรสจะราบรื่นได้นั้นจำเป็นที่จะต้องมีความอดทน เพราะแม้นลิ้นกับฟัน ก็ยังมีวันกระทบกันได้ สามีและภรรยาก็เช่นเดียวกัน หนักนิดเบาหน่อยก็ต้องให้อภัยกัน ชีวิตคู่จะมีความสุขและความเจริญก้าวหน้า ถ้าทั้งคู่อยู่ร่วมกันด้วยความเห็นอกเห็นใจ มีความซื่อสัตย์ รู้จักวิธีถนอมน้ำใจกัน มีวาจาไพเราะต่อกัน แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อกัน ขยันทำมาหากิน และรู้จักเก็บหอมรอมริบ  ผมก็คิดว่าชีวิตนี้จะต้องมีความสุขตามอัตภาพอย่างแน่นอน
     ท้ายที่สุดนี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงดลบันดาลให้คู่บ่าวสาวประสบแต่ความสุขความเจริญในชีวิต และรักกันตราบชั่วนิรันดร์ ไชโย! ไชโย! ไชโย!

๒. การพูดแบบอ่านจากต้นฉบับ (Manuscript Speech)
     การพูดแบบนี้ผู้พูดจะเขียนข้อความที่จะพูดลงไปในต้นฉบับ แล้วเมื่อถึงสถานการณ์การพูดจริง ผู้พูดก็จะนำต้นฉบับนั้นมาอ่านให้ผู้ฟัง ได้รับฟังอีกทีหนึ่ง ซึ่งวิธีการพูดแบบนี้มักใช้ในสถานการณ์การพูดทีเป็นทางการมาก ๆ เช่น ในการกล่าวรายงานทางวิชาการการกล่าวเปิดงาน การกล่าวเปิดประชุม การสรุปผลการประชุม การอ่านข่าวหรือบทความทางวิทยุ-โทรทัศน์ ที่ผ่านการตรวจสอบมาแล้ว การกล่าวตอบโต้ในพิธีต่างๆ หรือการกล่าวแถลง เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกล่าว ต่อหน้าพระพักตร์ ซึ่งถือกันว่าควรใช้วิธีการอ่านมากกว่าการพูดสด แต่ถ้าหากเป็น สถานการณ์ การพูดโดยทั่วไปเป็นทางการหรือ เป็นทางการไม่มากแล้ว ไม่ควรใช้วิธีนี้ เป็นอย่างยิ่ง เพราะอาจจะทำให้ผู้ฟัง รู้สึกเบื่อหน่าย และหมดความรู้สึกสนใจในตัวผู้พูด อันเนื่องมาจากการที่ผู้พูดต้อง ละสายตามาจากผู้ฟัง มาอยู่ที่ต้นฉบับตลอดเวลา ทำให้ขาดการติดต่อสื่อสาร ทางสายตากับผู้ฟัง และข้อเสียอีกอย่างหนึ่งก็คือวิธีการพูดแบบอ่านจากต้นฉบับ หรืออาจเรียกว่า อ่านให้ฟัง จะทำให้ผู้พูด ขาดลีลาน้ำเสียง อันมีชีวิตชีวา และบุคลิกภาพอันเป็นตัวของตัวเอง นอกจากนั้นผู้ฟังส่วนใหญ่มักไม่ชอบการพูดแบบนี้ เนื่องจากผู้ฟังมักคิดว่าผู้พูดคงไม่เข้าใจถ่องแท้ในเรื่องที่พูดหรืออาจจะไม่ได้เขียนต้นฉบับด้วยตนองก็ได้
     สำหรับประโยชน์ของการพูดแบบอ่านจากต้นฉบับอยู่ที่ว่าผู้พูดสามารถพูดในเรื่องนั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง ไม่มีข้อผิดพลาด อันเนื่องมาจาก การหลงลืม ความตื่นเต้น ความประหม่า ความสับสน หรืออื่นๆ ซึ่งเรื่องนี้นับว่าเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการพูดแบบเป็นทางการมาก ๆ หรือการพูดต่อหน้าพระพักตร์ เนื่องจากว่าภาษาพูด ที่เขียนไว้อย่างสมบูรณ์แบบในต้นฉบับ ย่อมสามารถเขียนได้ ไพเราะสละสลวย และมีน้ำหนักมากกว่าการพูดแบบ ปากเปล่า และจะช่วยให้ผู้พูด เกิดความรู้สึกปลอดภัย จากการพุดที่ผิดพลาด
     ส่วนวิธีการเขียนต้นฉบับ (Manuscript) เพื่อการพูดแบบนี้ให้สมบูรณ์แบบที่สุดนั้น ก่อนการเขียนต้นฉบับผู้พูด ต้องเตรียมจัดทำ โครงเรื่องเสียก่อน ครั้นวางโครงเรื่อง ได้สมบูรณ์แล้วผู้พูดจึงเขียนต้นฉบับการพูดลงไปทุกคำพูด ดุจเดียวกับเวลาพุดกับเพื่อนๆ เมื่อเขียนต้นฉบับจบแล้ว ต้นฉบับนั้นยังไม่ถือว่า เป็นต้นฉบับที่สมบูรณ์ ยังเป็นเพียงการร่างครั้งแรกเท่านั้น ผู้พูดต้องอ่านทบทวนร่างนั้นหลายๆ ครั้งแล้วแก้ไข สำนวน ลีลา น้ำหนักคำ และรูปประโยคโดยละเอียด จนเกิดความแน่ใจว่าสิ่งที่เขียนไว้นั้น ถูกต้องตรงกับสิ่งที่เขาประสงค์จะพูด ทุกประการ      แม้นว่าจะแก้ไขปรับปรุงหลายครั้งจนผู้พูดเกิดความรู้สึกพอใจในต้นฉบับของเขาแล้วก็ตาม ผู้พูดกูควรจะทดสอบ ต้นฉบับของเขา เป็นครั้งสุดท้าย โดยการอ่าน ต้นฉบับดังกล่าว ให้ผู้ร่วมคณะหรือเพื่อบางคนฟัง (หากหาคนฟังไม่ได้อาจอ่านออกเสียงดังๆ ให้ตนเองฟังเพียงลำพัง คนเดียวก็ได้) การทดสอบแบบนี้จะ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘