แก้ว 3 ประการของการลงทุน

การ  “ปฏิวัติของมวลชน”  ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นระลอกต่อเนื่องกันในตะวันออกกลางและอาฟริกาเหนือนั้น   เป็นเรื่องใหม่ที่คนทั่วโลกต่างก็งวยงง  นัก วิเคราะห์จำนวนมากคิดว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฝ่ายประชาชนผู้ประท้วงทำการได้ สำเร็จอยู่ที่การสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตสมัยใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่าย สังคมอย่างเฟซบุคที่ทำให้คนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยที่ฝ่ายรัฐผู้ครอง อำนาจไม่สามารถขัดขวางได้  ผมเองยังไม่แน่ใจว่าอะไรคือปัจจัยสุดยอดจริง ๆ  ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์แบบนี้   อย่างไรก็ตาม  ถ้าจะศึกษาประวัติศาสตร์การปฏิวัติประชาชนที่ประสบความสำเร็จในอดีต  อย่างในรัสเซียหรือจีน  ก็จะพบว่ามีปัจจัยหรือองค์ประกอบที่สำคัญสุดยอด 3 ประการอย่างที่เลนินหรือเหมาเจ๋อต๋งเรียกว่า  “แก้ว 3 ประการ”  ที่ถ้ามีแล้ว  ความสำเร็จก็จะอยู่แค่เอื้อมนั่นคือ   แก้วประการที่หนึ่ง  มวลชน  แก้วที่สอง  พรรคการเมืองของมวลชน  และแก้วที่สาม  กองกำลังติดอาวุธ  ขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง  โอกาสประสบความสำเร็จก็ยาก

             ในการลงทุนเองนั้น  ผมคิดว่าความสำเร็จที่ใหญ่หลวง  หรือการที่จะเป็น “ผู้ชนะ”  ถ้าวัดจากการที่จะกลายเป็นนักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนใหญ่เป็นร้อย  พัน  หรือแม้แต่หมื่นล้านบาทนั้น  อยู่ที่การมี  “แก้ว 3 ประการของการลงทุน”  มากน้อยแค่ไหน   แก้วที่หนึ่งก็คือ  เม็ดเงินลงทุนเริ่มต้นและที่จะเพิ่มเติมจากแหล่งอื่น ๆ  นอกเหนือจากการลงทุน   แก้วประการที่สองก็คือ  ความสามารถในการสร้างผลผลตอบแทนการลงทุนแบบทบต้นของนักลงทุน   และแก้วประการที่สามก็คือ  ระยะเวลาในการลงทุนที่ต่อเนื่องยาวนาน   ถ้าใครมีแก้วทั้ง 3 ประการดังกล่าวและใช้มันอย่างเต็มที่แล้ว  โอกาสที่จะ  “ชนะ”  หรือประสบความสำเร็จในการลงทุนเหนือกว่าคนอื่นก็มีสูง

             ลองมาดู  “แก้ว”  ทีละลูก   สมมุติว่าคน ๆ  หนึ่ง  มีเงินค่อนข้างมากจากการทำธุรกิจ   เขาตัดสินใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเนื่องจากมองว่าธุรกิจที่ทำอยู่กำลังตกต่ำลงและเขาอาจจะต้องเลิกธุรกิจในไม่ช้า   แต่เขามีเงินสดที่เก็บสะสมไว้สามารถนำมาลงทุนได้ถึง 100 ล้านบาท  นี่คือเขามีแก้วลูกแรก  โชคไม่ดี  เขาไม่มีความรู้ในการลงทุนเพียงพอ  ดังนั้น  สิ่งที่เขาหวังได้จากการลงทุนก็คือ  การซื้อกองทุนรวมหุ้นซึ่งคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวได้แค่ประมาณ 8%  ต่อปีแบบทบต้น  นั่นคือ   เขาไม่มีแก้วลูกที่สอง  เช่นเดียวกัน  เขาอายุ 50 ปีแล้ว  ถ้าคิดว่าเขาจะลงทุนจนกระทั่งอายุแค่ 60 ปีก็จะเลิกเพื่อเกษียณและถอนเงินไปใช้  ดังนั้น  ระยะเวลาการลงทุนของเขาก็มีเพียง 10 ปี  ดังนั้น  แก้วลูกที่สามเขาก็ไม่มี  ผลก็คือ  ในวันแรกที่เขาเริ่มลงทุน  เขาก็อาจจะเป็นนักลงทุน  “รายใหญ่”  ทันที   แต่เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปีที่เขาเลิก  พอร์ตของเขาโตขึ้นเป็น  215 ล้าน  แต่ในวันนั้นและที่อาจจะบันทึกในความทรงจำต่อไปในอนาคต  เขาก็อาจจะเป็นแค่คนที่มีเงินพอสมควรเท่านั้นในแวดวงนักลงทุนที่มุ่งมั่นทั้งหลาย

            สมมุติว่าแทนที่จะลงทุนในกองทุนรวม  เขาได้ศึกษาและมีความรู้ในการลงทุนเป็นเยี่ยมและมีเทคนิคที่ดีมากในการลงทุน  เรียกว่าเป็น  “เซียน”  ประกอบกับช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่หุ้นบูมมาก  ดังนั้น  เขาสามารถลงทุนจนได้ผลตอบแทนแบบทบต้นถึงปีละ 40% โดยเฉลี่ยในระยะเวลา 10 ปี   ผลก็คือ  เงิน 100 ล้านบาทกลายเป็น 2,892 ล้านบาท   พอร์ตการลงทุนระดับนี้น่าจะทำให้เขาถือเป็นระดับนักลงทุนรายใหญ่ที่เป็นที่กล่าวขวัญและจดจำกันในแวดวงนักลงทุนกันพอสมควรทีเดียว   อย่างไรก็ตาม   เงินในระดับนี้  ถ้าพูดในวันนี้ก็คงต้องบอกว่ามากทีเดียว  แต่ถ้าไปพูดกันในอีก 10 ปีข้างหน้าหรือในอนาคตที่ยาวไกลออกไปก็ยังไม่น่าจะถือเป็น  “ตำนาน”  ที่คนรุ่นหลังจะต้องจดจำหรือบันทึกไว้  เพราะในอนาคตก็จะมีนักลงทุนที่มีพอร์ตใหญ่โตมากขึ้นเรื่อย ๆ  และมากกว่า 3,000 ล้านบาท  และนั่นก็น่าจะเป็นคนที่มี  “แก้วทั้ง  3 ประการของการลงทุน”

          สมมุติต่อไปว่าแทนที่เขาจะมีอายุ 50 ปี   เขากลับเป็นลูกของเจ้าของธุรกิจที่ได้เริ่มศึกษาการลงทุนตั้งแต่ยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย  เขาเคยลงทุนด้วยเงินเพียง 1-2 ล้านที่ขอมาจากพ่อและประสบความสำเร็จในการลงทุนสูงมาก  หลังจากนั้น  ทางบ้านก็มั่นใจและในที่สุดให้เงินเขามาลงทุนถึง 100 ล้านบาทเมื่อเขาอายุเพียง 25 ปี  ความสามารถของเขานั้น  เพียงพอที่จะทำให้เขาสร้างผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยระยะยาวได้สุดยอดขนาด  “น้อง ๆ  บัฟเฟตต์”  ที่ 20%  ต่อปี  และเขามีเวลาลงทุนยาวมากถึง 35 ปี  ติดต่อกัน   ผลก็คือ  ในวันที่เขาอายุ 60 ปี  พอร์ตของเขาจะโตขึ้นเป็น  59,066 ล้านบาท   เขากลายเป็น  “ตำนานนักลงทุนไทย”  คนหนึ่งที่มีพอร์ต “มหึมา” ที่ทุกคนรู้จักและสื่อมวลชนกล่าวขวัญถึงเช่นเดียวกับนักลงทุนอีกหลายคนที่อาจจะมี  “แก้ว 3 ประการ”  เช่นเดียวกัน

            แก้วแต่ละลูกนั้น  ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถไข่วคว้าได้ด้วยตนเอง   เงินเริ่มต้นนั้น  ถ้าไม่ได้มีพ่อแม่ร่ำรวย  โอกาสที่จะมีแก้วลูกนี้ก็ยาก  จริงอยู่คนบางคนอาจจะหาเงินได้มากจากการทำงานหรือทำธุรกิจอื่น   แต่เขาก็มักจะต้องใช้เวลาค่อนข้างมากกว่าจะได้เงินเดือนสูงมาก ๆ  หรือธุรกิจจะมีเงินสดมาให้ลงทุนได้มาก  ดังนั้น  แก้วลูกนี้ส่วนใหญ่แล้วก็มาจาก  “โชค”  ที่  “เกิดมารวย”   แก้วลูกที่สองคือฝีมือในการลงทุนนั้น   เป็นแก้วที่สามารถสร้างขึ้นได้หรือคว้ามาได้ด้วยการศึกษาพยายามและการมีทัศนะคติในการลงทุนที่ถูกต้อง   ผมเองรู้สึกว่าคนจำนวนมากมีศักยภาพที่จะเป็นนักลงทุนที่มีความสามารถสูงได้  ปัญหา ก็คือเรื่องของอารมณ์และจิตใจที่จะต้องมุ่งมั่นและมีศรัทธาต่อการลงทุนที่ ได้รับการพิสูจน์แล้วซึ่งเป็นเรื่องยากเมื่อต้องอยู่กับภาวะความผันผวนของ ตลาดหุ้นที่มักทำให้ความคิดไข้วเขวไป

สุดท้ายก็คือ  ระยะเวลาในการลงทุนที่เป็น  “แก้วลูกที่สาม”   นี่คือแก้วที่เราอาจจะทำอะไรกับมันไม่ได้มากนัก  ถ้าเราอายุ 50 ปีแล้ว  โอกาสที่เราจะมีแก้วลูกนี้ก็น้อยมาก  จริงอยู่  ในอนาคตคนอาจจะมีสุขภาพดีและอายุยาวขึ้นเป็น  100 ปี  แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น  คนอื่นที่เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 25 ปี ก็จะมีระยะเวลาลงทุนยาวกว่าคุณ 25 ปีอยู่ดี  อย่างไรก็ตาม  การรักษาสุขภาพให้ดีก็อาจจะช่วยให้ระยะเวลาการลงทุนยาวขึ้นและเพิ่มคุณค่าแก้วลูกนี้ได้  แต่ประเด็นสำคัญจริง ๆ  ในเรื่องของแก้วลูกนี้ก็คือ  คนจำนวนมากที่มีแก้วลูกนี้อยู่  นั่นคือ  เขามีอายุน้อยและถ้าเริ่มลงทุนตั้งแต่เริ่มมีรายได้หรือมีเงินเลย  เขาก็มีแก้วลูกที่สามโดยอัตโนมัติ   น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดอย่างนั้น  เขามักคิดว่า  การลงทุนเป็นเรื่องของคนที่มีครอบครัวและต้องสร้างฐานะ  ดังนั้น  เขาจึงไม่ได้คิดลงทุนจนกระทั่งแก้วที่มีค่า  “หลุดลอย” ไป

ข้อสรุปทั้งหมดก็คือ  แก้ว 3 ประการของการลงทุนนั้น  ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะไข่วคว้ามาได้หมด  มีบางลูกคว้าได้  บางลูกต้องอาศัยดวง  ความ  “สว่าง”  ของลูกแก้วเองก็ไม่เท่ากัน  คนที่เริ่มต้นด้วยเงิน 100 ล้านบาทต้องถือว่ามีลูกแก้วแล้ว  แต่บางคนอาจจะเริ่มด้วยเงิน 500 ล้านบาทซึ่งเป็นแก้วที่  “สว่างจ้า”  กว่า 100 ล้านบาท   ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยระยะยาวที่ทำได้ถึง 15%  ต่อปีผมก็ถือว่ามีแก้วแล้ว   แต่คนที่ทำได้ 20% ต่อปีก็มีแก้วที่สว่างกว่ามาก   ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  หน้าที่ของเราในฐานะของนักลงทุน  ถ้ามีลูกแก้ว  เราต้องใช้มันให้เกิดประโยชน์เต็มที่  ถ้าไม่มีเราก็ต้องพยายามเพิ่มคุณภาพของแก้วลูกนั้นถ้าทำได้  และเมื่อทำเต็มกำลังแล้ว  สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ  “ปล่อยวาง”  อย่าไปคิดถึงผลลัพธ์สุดท้ายว่า เราจะรวยเท่าไรหรือจะทำได้จริงไหม  การลงทุนเป็นเรื่องระยะยาวและเป็นเรื่องของชีวิต  เป้าหมายจริง ๆ  ของเราก็คือ  มีความสุขในทุกเวลาที่เดินไป

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘