สมการความรวย..สง่า ตั้งจันสิริ เซียนหุ้นวัย 32


จากเงินก้อนแรก 500,000 บาท เล่นหุ้น 4 ปี
วันนี้เขามีพอร์ตแล้ว 50 ล้าน ชายหนุ่มวัย32
'โนเนม' แต่ไม่ 'โนวิชั่น' สง่า ตั้งจันสิริ ...
แท้ที่จริง ตระกูลตั้งจันสิริ ไม่ใช่โนบอดี้ในวงการธุรกิจ
ทายาทหนุ่มวัย 32 ปี อาสา พาไปรู้จักเคล็ดลับ
ความสำเร็จของตัวเอง ที่วันนี้มีพอร์ตเล่นหุ้น
เป็นตัวเป็นตนแล้ว 50 ล้านบาท แม้ไม่มาก
แต่ถ้าดูจากจุดเริ่มต้นที่ 5 แสนบาท กับระยะเวลา
เพียง 4 ปี หนุ่มคนนี้ถือว่าฝีมือ "ไม่ธรรมดา"
สง่า ตั้งจันสิริ มีพื้นฐานครอบครัว อยู่ในระดับ
เศรษฐีของเมืองไทย บางคนอาจจะคุ้นๆกับนามสกุล
"ตั้งจันสิริ" กับ "จันศิริ" ใน บมจ.ไทยยูเนียน
โฟรเซ่น โปรดักส์ หรือ ทียูเอฟ ใช่เลย!
เขาเป็นหลานชาย ไกรสร จันศิริ ประธานกรรมการ
และผู้ก่อตั้งทียูเอฟ บริษัทผู้ส่งออกปลาทูน่ากระป๋อง
รายใหญ่ระดับโลก และมีศักดิ์เป็นญาติผู้น้อง
ธีรพงศ์ จันศิริ ซีอีโอทียูเอฟ ปัจจุบัน สง่านั่งแท่น
บริหารบริษัท โบรกเกอร์ประกันภัยของตัวเอง
ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจครอบครัว
และรักการลงทุนในตลาดหุ้นเป็นชีวิตจิตใจ
"ตกลงครับ..แต่พอร์ตผมไม่ได้ใหญ่มากเท่าไรนะ
ไม่รู้จะน่าสนใจหรือเปล่า" ชายหนุ่มวัย 32 ปี
ยอมเปิดตัวกับกรุงเทพธุรกิจ BizWeek
เรานัดหมายกับเขา ที่ร้านกาแฟใต้ อาคาร
เอสเอ็ม ทาวเวอร์ ย่านสนามเป้า โดยมี
"ก๋อย" ยุทธพงษ์ เสรีดีเลิศ เซียนหุ้นร้อยล้าน
"หลานชาย" ชนะชัย ลีนะบรรจง เป็นคนชักนำ
"นิด" ชื่อเล่นของสง่า เพียงกาแฟแก้วแรก
หย่อนวางลงบนโต๊ะนิดก็รีบออกตัวก่อนว่า
"หุ้นทุกตัวที่ผมไปลงทุน ไม่เกี่ยวอะไรกับธุรกิจ
ครอบครัวแม้แต่น้อยเป็นเพียงการลงทุนส่วนตัว"
นิดบอกว่า แม้จะเติบโตมา กับธุรกิจอาหารทะเล
ของครอบครัวตั้งแต่เด็ก แต่ขอเลือก ที่จะเป็นผู้บุกเบิก
ธุรกิจของตัวเอง หลังจบปริญญาตรี ที่เอแบค
ด้านประกันภัย ก็มาเปิดบริษัทโบรกเกอร์ประกันภัย
ซึ่งบริหารมาแล้ว 8 ปี และยังร่วมลงขันกับเพื่อน
ขายเครื่องมือแพทย์ ธุรกิจรับสแกนหนังสือ
และมีร้านกาแฟของตัวเอง
ก้าวแรกในตลาดหุ้นของสง่า เพิ่งเริ่มเมื่อประมาณ 4 ปี
ที่ผ่านมา โดยเข้ามา ในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังบูม
ตอนนั้นคือ "อยากลอง" และได้รู้จักกับผู้ใหญ่
ในวงการหลักทรัพย์ แนะนำให้ลองลงทุนดู บอกว่า
ดีกว่าเงินฝาก โดยปัจจุบันมีพอร์ตลงทุนอยู่ที่
บล.เคที ซีมิโก้ เป็นหลัก
สำหรับเงินลงทุนก้อนแรก นิดเล่าว่าเริ่มจากเงิน
500,000 บาท เริ่มนับหนึ่งจากหุ้นบลูชิพพิมพ์นิยม
อย่าง BANPU, PTT, PTTEP และแน่นอนต้องมี
TUF ด้วยเพราะเป็นธุรกิจของครอบครัว
โดยมี ยุทธพงษ์ เสรีดีเลิศ "เพื่อนซี้" ที่เรียนด้วยกัน
มาตั้งแต่ป.1 เป็นที่ปรึกษา และทุกวันนี้หัวข้อหลัก
ในการสนทนา ระหว่างเพื่อน ก็คือเรื่องหุ้น
ที่ฝังอยู่ในสายเลือดโดยไม่รู้ตัว
วิธีการลงทุน ของเซียนหุ้นรายนี้ เขาจะแบ่งพอร์ตลงทุน
ออกเป็น "สามส่วน" คือ สั้น-กลาง-ยาว
ถ้าเป็นหุ้นบลูชิพชั้นดี "เกรดเอ" ถ้าถือต้นทุนต่ำ
ก็จะถือยาว 2-3 ปี โดยจะดูที่ Dividend Yield
ถ้าอยู่ประมาณ 5-6% ก็จะถือไว้กินปันผล
ส่วนหุ้น TUF จะไม่แตะ (ขาย) เลยเพราะปันผลดีมาก
อีกตัวที่ชอบคือ CSL ที่ทำธุรกิจเป็นเงินสด
แถมจ่ายปันผลดีปีละ 2-3 ครั้ง
ส่วนพอร์ต "ระยะกลาง" จะเน้นหุ้นกลุ่มแบงก์
กับอสังหาริมทรัพย์ ถ้าเป็นพอร์ต "ระยะสั้น"
จะเน้นเล่นหุ้นหวือหวาโดยจะ "เล่นตามข่าว"
(หุ้นมีสตอรี่) ถ้าเล่นสั้นจะ "ไม่ถือนาน"
แต่บางครั้งจะสลับตัวเล่น "กลาง-สั้น"
ตามความเหมาะสม
สำหรับหุ้นกลุ่มที่เล่นเป็นประจำ ยังคงเป็น
"พลังงาน" กับ "แบงก์" ที่ผ่านมาได้กำไรมาตลอด
ส่วนหุ้นที่โปรดปรานเป็นพิเศษ อันดับหนึ่งคือ TUF
เพราะโตมากับธุรกิจนี้ ปัจจุบันถือ TUF อยู่ในพอร์ต
"มากที่สุด" โดยหุ้นบางส่วนได้รับโอนมาจาก
"คุณพ่อ" ตอนก่อนแต่งงาน มีต้นทุนที่ 10 บาท
แต่ไม่เคยขายและไม่คิดจะขายด้วย
อีกตัว ที่ชื่นชอบเป็นพิเศษคือ PS เพราะเป็นบริษัท
ที่ตอบโจทย์ชนชั้นกลาง ที่อยากมีบ้านได้ดีที่สุด
และมั่นใจในตัว "เจ้าของ" ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์
ที่ถือหุ้นไว้จำนวนมาก ถ้าหุ้นตกเขาย่อมเจ็บกว่าแน่นอน
ทำให้มั่นใจเต็มร้อยว่าเลือกหุ้นไม่ผิด
"ปี 2551 ผมเล่นหุ้นพฤกษา เรียลเอสเตทถึง 20 รอบ
แต่พอปีนี้ราคาเริ่มสูง ก็ขายออกไปรอเล่นรอบใหม่"
ผ่านมา 4 ปี พอร์ตลงทุน ของสง่าโตขึ้นมา
อยู่ในระดับ 50 ล้านบาท สิ่งที่เซียนหุ้นรุ่นใหม่
ต้องท่องเป็นประจำคือ "อย่าโลภมาก"
หุ้นทุกตัวที่เข้าไปลงทุนเขาจะตั้ง "เป้าหมายกำไร"
เมื่อถึงเป้าก็ต้อง "ขาย" โดยปกติจะตั้งไว้ที่ 20%
และตั้งจุด Stop Loss (หยุดขาดทุน) ไว้
ที่ลง 10% ต้องตัดขายทันที
"ที่เล่นมาเคย Cut Loss หนักสุด 3 ล้านบาท
ไม่งั้นขาดทุนแน่ๆ 6-7 ล้านบาท แต่ถ้ารีบขายก่อน
อาทิตย์หนึ่งจะขาดทุนแค่ล้านเดียว ประสบการณ์
เลยสอนผมว่าต้องกล้าตัดสินใจ(ถึงขาดทุนก็ต้องกล้าขาย)"

เซียนนิดที่มีพอร์ตไม่นิดบอกว่า จากประสบการณ์
ถ้าอยากได้กำไรเยอะๆ ต้องเล่นหุ้นขนาดกลางหรือเล็ก
ที่มี "พื้นฐานดี" (ไม่ใช่หุ้นปั่น) และจะได้แรงบวก
ต้องเป็นธุรกิจกำลังจะ "เทิร์นอะราวด์" หุ้นพวกนี้เวลาขึ้น
มีโอกาสได้กำไรเกิน 20% แต่ถ้าเป็นหุ้นขนาดใหญ่
จะมีโอกาสแบบนี้ไม่บ่อย สำหรับรอบนี้ที่ได้กำไร
เป็นเนื้อเป็นหนังคือหุ้น BCP และ THCOM
กำไรประมาณ 50% แต่ตอนนี้ขายไปหมดแล้ว
"การลงทุนในตลาดหุ้นคือการอยู่กับอนาคต
อย่าดูแต่ปัจจุบัน ต้องมองไปข้างหน้า" เซียนนิดย้ำ
ที่สำคัญ ในตลาดหุ้น อะไรก็ไม่แน่นอนทั้งนั้น
จึงต้องมี "เงินสดติดกระเป๋า" ไว้ตลอดเวลา
ถ้ามีเงิน 100 บาท ส่วนตัวจะพยายามเก็บเงินสด
ไว้ 40% เสมอๆ เพราะโอกาสซื้อ “ของถูก”
ไม่ได้มีมาบ่อยๆ เขายกสัจธรรมที่สุดแสน
จะเบสิคแต่ใช้ได้ดีเสมอว่า “จงเข้าซื้อเมื่อหุ้นตก
และจงขายเมื่อหุ้นขึ้น” ง่ายๆ อย่างงี้แหละ!

"ผมมองว่านักลงทุนไทยส่วนใหญ่ใจไม่เย็นพอ
และบางคน เอาเงินร้อนมาเล่นด้วย ของผมจะใช้
เงินเย็นมาลงทุน และไม่เคยซี้ซั้วจะค่อยๆ ดูทีละตัว"

ส่วนหลักการจำกัดความเสี่ยง ง่ายๆ คือ อย่าไปลงทุน
ในสิ่งที่ไม่รู้ หรือรู้น้อยกว่าคนอื่น จะต้องรู้
ให้มากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าวเสมอ
ข้อจำกัด ของตลาดหุ้นไทย คือตลาดเล็ก
และคนมีเงินเยอะๆ สามารถคุมหุ้นได้
นักลงทุน ที่รู้ทีหลังค่อนข้างเสียเปรียบ
ก่อนลงทุนจำเป็นต้อง "เช็คข่าว"
ต่อสายคุยกับนักวิเคราะห์ คุยกับคนในวงการ
หาข่าวก่อนลงทุนจะปลอดภัย เราไม่จำเป็น
ต้องรู้มากที่สุดแต่ต้องไม่น้อยกว่าคนอื่น

สง่าบอกว่า พอร์ตของเขาโตมากช่วงปลายปี 2551
ช่วงที่เกิดวิกฤติซับไพร์ม ก่อนหุ้นจะตกใหญ่
เมื่อเดือนตุลาคม 2551 นักลงทุนที่ตามข่าว
จะได้กลิ่นไม่ดี มาก่อนแล้ว อยู่ที่ว่า ใครจะตัดสินใจ
อย่างไร ส่วนตัวเองเลือกที่จะ "เผ่น"

"ผมคุยกับรุ่นพี่ที่เล่นหุ้นมา 20 ปี เขาบอกว่าถ้าเป็นเขา
จะขายหุ้นทิ้ง ผมก็ฟังข่าว วิเคราะห์ต่อแล้วจึงตัดสินใจ
Cut Loss ยอมขายขาดทุน ตอนนั้นเจ็บหนักที่สุด 3 ล้านบาท
แล้วถือเงินสดรอ จากนั้นก็นั่งดูหุ้นตัวใหญ่ๆ อย่าง PTT, BANPU
ราคาตกเอาๆ ผมเอาเงินสดที่มีอยู่มารับไว้ หลังจากนั้นไม่นาน
หุ้นที่ซื้อไว้บางตัวราคาขึ้นเป็นเท่าตัว ช่วงนั้นถือว่า
ทำให้พอร์ตโตมากที่สุด"
นอกจากลงทุนหุ้นไทยแล้ว สง่ายังแบ่งเงินส่วนหนึ่ง
ไปลงทุน ผ่านกองทุนผสมสัญญาประกันชีวิต
บริหารโดย เอไอจี ที่ประเทศฮ่องกง มีนโยบายลงทุน
ในสินทรัพย์ต่างๆ ที่ไม่ใช่หุ้น เช่น น้ำมัน ทองคำ ฯลฯ
จุดประสงค์เพื่อเก็บออมเงินระยะยาวเอาไว้ให้ "ไกลมือ"
นอกจากนี้ ยังนำกำไรไปซื้อสินทรัพย์ระยะยาว
เช่น ซื้อที่ดิน และซื้อคอนโดมิเนียมให้เช่า
สง่าตั้งเป้าหมายชีวิตว่า พอถึงอายุ 55 ปี ก็จะเกษียณตัวเอง
จากงานประจำ หลังจากนั้น จะใช้เงินเก็บที่สะสม
มาจากการทำธุรกิจส่วนตัวและการลงทุนใช้ชีวิตอย่างสบายๆ

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในตลาดหุ้น ต้องมีทั้งสีขาว
และสีดำ มีขึ้นและมีลง แต่คนที่จะยืนบนเวทีนี้ได้
ในระยะยาวสำคัญที่สุด "ต้องมีวินัย"

"ถ้าขาดทุนต้องรับกับมันได้ ถ้ากำไรก็อย่าดีใจกับมันมาก
เห็นหุ้นวิ่งอย่าแหกกฎของตัวเอง เหมือนกฎหมาย
ถ้าใครไม่ทำตามมันก็มีบทลงโทษรออยู่ ถ้าคิดว่า
ทำตามไม่ได้ก็อย่าตั้งกฎให้ตัวเอง" ง่ายๆ แต่ไม่ง่าย
สง่า ตั้งจันสิริ เซียนรุ่นใหม่ที่กำลังไต่ระดับมา
พร้อมกับวิกฤติ..ลูกไม่ไกลต้นของครอบครัวทียูเอฟ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘