น้ำผึ้งในช้อนกาแฟ

ผม มักเจอปัญหาแบบนี้บ่อยๆมากคือแยกไม่ออกระหว่างการเรื่องการขอคำปรึกษากับการ ขอหุ้นเด็ด หลายท่านเข้ามาขอคำปรึกษาเรื่องการลงทุนในหุุ้น ผมก็พยายามแนะนำไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคนิคหรือเรื่องพื้นฐาน เท่าที่ตนเองจะรู้ ช่วยเต็มที่ แต่ที่หลายคนมักไม่เลือกที่จะขอความรู้ แต่เลือกที่จะขอหุ้น ราวกับผมเป็นอาจารย์ใบหวย คิดง่ายๆนะครับถ้าผมรู้ว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นเยอะๆผมคงรวยไปแล้ว ไม่ต้องมาทำงานให้ลำบาก คนอื่นๆก็เช่นกันถ้าเขารู้อนาคต รู้ในสิ่งที่ยังไม่เกิดเขาไม่มาลำบากทำงาน หาเงินหรือนั่งเล่นหุ้นหรอกครับ ดังนั้นส่วนมากที่ให้หุ้นก็คือเดาแบบมีหลักการนั้นแหละ ผิดบ้างถูกบ้าง พอผิดก็มีเหตุผลมาแก้ตัวต่างๆนานา ดังนั้นเล่นหุ้นหรือลงทุนอย่าไปเดา ทดลองทำตามระบบที่เราคิด และอยู่กับปัจจุบันดีที่สุด



แต่ ประเด็นมันอยู่ที่ คนส่วนใหญ่มักคิดที่จะรวยแบบรวดเร็ว การได้หุ้นเด็ด หุ้นแรง ซื้อปุ๊บก็รวย แต่ถามว่าซื้อ 10 ครั้งจะแจ๊คพอต ได้ถึง 5 ครั้งหรือเปล่า ??? ที่สำคัญเมื่อเสียแล้ว เรามักจะเสียติดๆกัน เมื่อเสียแล้วแมงเม่ามักจะติดดอยไม่ค่อยคัดลอส ทำให้เงินทุนก็ลดลง โอกาสกลับมาก็ยาก 


การ มีความรู้การเข้าใจวิธีคิดและความสามารถในการบริหารจัดการเงินทุน จึงมีความสำคัญมาก หลายบทความผมพยายามโฟกัสาและเน้นเรื่องพวกนี้มากกว่าเรื่องของการวิเคราะห์ เทคนิคเสียอีก เพราะการจัดการเงิน (Money management) นั้นสำคัญมาก



การ ลงทุนมีความเสี่ยง เสี่ยงมากยิ่งได้รับผลตอบแทนมาก หัวใจสำคัญคือการเลือกความเสี่ยงที่เหมาะกับตัวเรา แล้วทดลองไปตามจังหวะของการลงทุน อย่าไปเก็ง อย่าไปเร่งจนเกินไป หลายคนไม่กล้าเสี่ยง เพราะความกลัว แล้วก็มานั่งรู้งี้ รู้งี้ แท้จริงแล้วมันคือการทดลอง ไม่มีใครรู้แนวโน้มที่ชัดเจน 100% หรอกครับ เรารู้จริงๆก็แค่ 70% อีก 30 % ก็ต้องทดลอง แต่การที่เรามีจุด cut loss มีการจัดการเงินทุนที่ดีทำให้โอกาสผิดพลาดขาดทุนก็จะมีน้อย หรือมีความสูญเสียที่ไม่มาก


ผม ของยกตัวอย่างระบบการเทรดของผม ผมเทรดหุ้น 10 ครั้ง ถ้าแย่จริงๆ(มือตกหรือห่วยมากๆ) จะผิดได้ 5 ครั้ง (win/lose ที่ 50%) การขาดทุน 5 ครั้ง ถ้า cut loss ที่ 2% การขาดทุนรวม ก็จะเท่ากับ 10% แต่การกำไร 5 ครั้งถ้าเรานิ่งปล่อยให้ profit run โอกาสจะกำไรเกินครั้งละ 5 % ก็มีสูง ผลกำไรรวมก็เท่ากับ 25%


ดัง นั้นภาพรวม ต่อให้วันที่เราแย่หรือฝีมือห่วยจริงๆ แต่มีระบบ MM ที่ดี ยังไงเราก็กำไรครับ นี้ยังไม่รวมกลไกการ hedging ที่สามารถทำป้องกันความเสี่ยงได้อีก ที่ผมเขียนมาเพราะอยากจะยืนยันแนวคิดที่ว่า "ถ้าท่านมีปัญญาเป็นอาวุธแล้ว อย่างไรเสียก็ไม่มีทางขาดทุน" แต่ถ้าท่านยังคิดที่จะขอปลาเขากิน ท่านก็จะได้เศษปลาที่เขากินแล้ว ยังไงก็ไม่มีวันอิ่ม ไม่มีวันยั่งยืนได้ ก่อนจบของฝากกาตูนดีๆผมนำมาจากห้องสินธร เป็นการตูนที่สอนใจนักลงทุนได้ดีทีเดียวครับ











โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ วันพฤหัสบดี ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ วันเสาร์ ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓