กำไรสูงสุด

การลงทุนเป็นอาชีพที่ผมอยากทำ ผมชอบตรงที่มันคล้ายการแข่งขัน ผมเริ่มสนใจตั้งแต่ตอนที่ได้ดูละครเรื่อง เกมเจ้าพ่อตลาดหุ้น ที่ช่องสามนำมาฉายเมื่อหลายปีก่อน

ผมเริ่มลงทุนได้ตอนปี 47 นับจนถึงวันนี้ก็เกือบ 5 ปีแล้ว ผมเองใช้เวลาเกือบ 2 ปีในการลองผิดลองถูก ผมหลุดไปในวังวนของความโลภในการเก็งกำไร ฝันที่จะได้กำไรวันละหลายแสนตามที่ใครๆบอก สุดท้ายความจริงก็ปรากฏ ปรากฏว่าแท้จริงแล้วเราก็เป็นเพียงหมาโง่ๆ หมาที่มองเห็นเงาเนื้อก้อนโต ในน้ำ หมาที่ไม่พอใจเนื้อในปาก แต่เลือกที่จะกระโจนเข้าไปหาเนื้อก้อนใหญ่ในน้ำ สุดท้ายไม่ได้อะไรเจ็บตัวอีกต่างหาก

คนส่วนมากเมื่อลงทุนมัน มองถึงกำไร และด้วยวิชาเศรษฐศาสตร์ที่ผมเรียนมา น้อยนิดพอเป็นน้ำจิ้ม ก็มุ่งเน้นไปที่กำไรสูงสุด แต่แนวคิดนี้ใช้ได้ยากกับการลงทุน เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณมองหากำไรสูงสุด ก็เท่ากับว่าความโลภ ได้เข้ามาตบไหล่ทักทายคุณแล้ว สิ่งที่ตามมาหลังจากความโลภก็มีแค่อย่างเดียวคือความหายนะ
ผมเองไม่ใช้นักลงทุนที่เก่ง แต่ผมเป็นนักลงทุนที่พอเพียง การลงทุนแบบเป็นรอบวัฏจักร ผมเองมักมีเพดานการทำกำไรที่ 25% เมื่อกำไรมาถึงจุดผมจะทยอยรับรู้กำไร และเหลือบางส่วนให้ profit run ต่อไป จนเมื่อกราฟเปลี่ยนเทรนด์ ก็เป็นอันจบรอบนั้น
เพื่อนผมคนหนึ่งวิจารณ์ว่า ผมชอบขายหมู แต่ผมมักเถียงว่าไม่ใช่ แต่มันเป็นการฝึกให้เราพอใจในสิ่งที่เราควรได้และได้มา การได้กำไรแบบพอประมาณจะลดคงามโลภ และแน่นอนว่ามันจะลดความเสียงลงไปด้วย เพิ่มเวลาในการได้พักผ่อนอย่างสบายกับครอบครัว และมีเวลาในการศึกษาหุ้น ตัวต่อไปที่จะลงทุน

ผมเองมีเรื่องคลาสสิกที่นำมาจาก thaivi อยากเอามาประกอบหัวข้อที่เขียนนี้ เพราะแนวคิดนี้เป็นแบบอย่างที่ผมยึดถือ และบางครั้งกำไรสูงสุด ที่มาพร้อมกับความเสี่ยงสูงสุดในตลาดหุ้น อาจจะไม่สามารถเทียบได้กับกำไรที่มาจากความสุข ความสุขในชีวิตนั้นเอง
นักลงทุนชาวอเมริกันนายหนึ่งกำลังยืนอยู่บนท่าเรือ ณ ชายฝั่งหมู่บ้านเม็กซิกันแห่งหนึ่ง ขณะที่มีเรือประมงลำหนึ่งกำลังแล่นเข้ามาจอด แล้วเขาก็ได้เห็นปลาโอครีบเหลืองตัวโตๆกองอยู่บนเรือลำนั้น

ชาวอเมริกันเอ่ยชมชาวประมงพื้นเมืองที่จับปลาได้เก่ง ก่อนจะถามว่า " คุณใช้เวลาในการจับปลาพวกนี้นานไหม"

ชาวประมงตอบว่า " ครู่เดียวเท่านั้นแหละครับ "

" อ้าว ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่อยู่นานอีกหน่อยเพื่อที่จะได้ปลามามากกว่านี้ล่ะ " เขาสงสัย

คนถูกถามตอบเรียบๆ " นี่ก็พอเลี้ยงครอบครัวในวันนี้แล้วครับ "

นักลงทุนผู้มาเยือนถามใหม่ " แล้วคุณเอาเวลาที่เหลือไปทำอะไร "

" ผมก็ยุ่งทั้งวันแหละครับ นอนตื่นสายๆ จับปลาวันละนิดหน่อย เล่นกับลูกๆ นอนพักกลางวันกับมาเรีย ภรรยาของผม เดินเล่นในหมู่บ้าน จิบไวน์และเล่นกีต้าร์กับเพื่อนฝูงในตอนเย็นๆ "

คนอเมริกันจึงพูดอย่างกระหยิ่มว่า " ผมจบเอ็มบีเอจากฮาร์วาร์ด สามารถให้คำแนะนำคุณได้นะ อันดับแรกก็คือ คุณน่าจะจับปลาให้ได้เยอะกว่านี้ เพื่อที่จะได้ซื้อเรือลำโตๆ ผมจากการมีเรือลำโตก็จะทำให้คุณมีเงินมากพอที่จะซื้อเรือเพิ่มขึ้น จากนั้นคุณก็นำปลาที่จับได้ไปขายที่โรงงานโยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางแต่ อย่างในตอนนี้หรือไม่ก็สร้างโรงงานเสียเอง ซึ่งคุณก็จะสามารถควบคุมได้ทั้งหมดนับตั้งแต่กระบวนการผลิต ผลผลิต ตลอดจนการจัดจำหน่าย ถึงตอนนั้นคุณก็สามารถย้ายจากหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆแห่งนี้ไปอยู่ที่เมือง เม็กซิโกซิตี้ จากนั้นก็ขยับขยายย้ายไปแอลเอ แล้วก็ไปนิวยอร์ก ที่ซึ่งคุณจะสามารถขยายกิจการให้เจริญรุ่งเรืองได้ยิ่งขึ้น "

เมือฟังมาถึงตอนนี้ ชาวประมงก็ถามว่า " แล้วทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลาสักกี่ปี "

" สิบห้าถึงยี่สิบปี "

" จากนั้นละ "

คนอเมริกันหัวเราะร่วนและบอกว่า " ที่นี้ก็จะถึงช่วงที่สำคัญที่สุดในชีวิตละ เมื่อโอกาสเหมาะ คุณก็ควรจะทำหนังสือชี้ชวนขายหุ้น เพื่อขายหุ้นทั้งหมดให้แก่สาธารณะ แล้วคุณก็จะกลายเป็นมหาเศรษฐี อาจทำเงินได้เป็นล้านๆเหรียญเลยก็ได้นะ "

" เป็นล้านๆ.......แล้วยังไงล่ะ "

คนอเมริกันแจกแจงต่ออย่างเพลิดเพลิน

" จากนั้นคุณก็ค่อยเกษียณตัวเอง ย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ นอนตื่นสายๆ ตกปลาวันละเล็กๆน้อยๆ เล่นกับลูกๆ นอนพักกลางวันกับภรรยาที่บ้าน ตอนเย็นก็เดินเล่นในหมู่บ้าน จิบไวน์ และเล่นกีต้าร์กับเพื่อนฝูง..."

ชาวประมงก็บอกชาวอเมริกันว่า

"ก็ที่ผมทำอยู่นี่ไงครับ (ทำไมต้องเหนื่อยอีก 20 ปีเล่า)"

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘