วงล้อแห่งความสำเร็จ

บทความดีๆจากห้องสินธรโดยท่านขอบฟ้าบูรภา ผมเชื่อว่าคนเราจะประสบความสำเร็จ ต้องเริ่มด้วยตนเอง จากภายในไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม การลงทุนก็เช่นกัน เราสามารถเริ่มได้จากประสบการณ์ของพี่ๆที่เริ่มมาก่อน แบบที่เขาเคยบอกกันว่า ผู้ใหญ่โดนน้ำร้อนลวกมาก่อน ลองศึกษาดูกันนะครับ

1) ตลาดสั่งให้เรามีวินัย
การซื้อขายอย่างมีวินัยจะทำให้เราได้เงินเข้ามาในกระเป๋ามากกว่าที่จะส่งมันออกไป ความจริงที่แน่นอนอย่างหนึ่งของตลาดหุ้นก็คือ วินัย=กำไร

2) มีวินัยทุกๆวัน ในทุกๆการซื้อขาย และตลาดจะให้รางวัลกับเรา แต่อย่าบอกว่าตัวคุณเองมีวินัยแล้ว ถ้ายังทำไม่ได้ทุกครั้ง
การมีวินัยในการซื้อขายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำในบางครั้งเท่านั้น ก็เหมือนกับการที่เรามีพฤติกรรมที่ไม่ดีอย่างการสูบบุหรี่ ถ้าเราบอกว่าเราเลิกบุหรี่แล้วมีแค่สูบนิดๆหน่อยๆบางเวลา อย่างนั้นไม่เรียกว่าเราได้เลิกบุหรี่แล้วจริงๆหรอก และเช่นกันถ้าเราซื้อขายอย่างมีวินัยทุกๆ9ใน10ครั้ง เราก็อย่าเพิ่งบอกใครๆเขาว่าเราเป็นนักลงทุนที่มีวินัยเลยครับ และการซื้อขายที่ไร้วินัยครั้งเดียวของเรานี่แหละที่จะทำลายผลตอบแทนดีๆทั้งเก้าครั้งที่ผ่านมาของเรา (ชอบนักล่ะกำไรนิดหน่อยรีบขาย ขาดทุนหนักๆเก็บไว้เนี่ย) การมีวินัยต้องมีในทุกๆครั้งของการซื้อขาย
ตอนที่ผมบอกว่าตลาดจะให้รางวัลเราโดยปกติแล้วผมหมายถึงเราจะเสียหายน้อยๆในการซื้อขายที่ผิดพลาด มากกว่าที่จะติดดอยตลอดช่วงฤดูหนาว(อันแสนหนาวเหน็บ) เช่นผมอาจจะเสีย2,000บาทแทนที่จะเสีย10,000บาทถ้าผมไม่ยอมขายตัดขาดทุนโดยเร็ว ดังนั้นคงไม่ผิดถ้าผมจะพูดว่าผมได้เงินเพิ่ม8,000จากการที่ผมขายหุ้นแย่ๆออกไป

3) ซื้อขายให้น้อยลงถ้าช่วงนั้นเราทำผลงานได้ไม่ดี
เทรดเดอร์ที่ดีทุกคนต้องทำตามกฏข้อนี้ครับ ทำไมจะต้องขาดทุนมากขึ้นด้วยการทู่ซี้ขาดทุนละ 50,000 หุ้นต่อไป ทั้งๆที่เราสามารถประหยัด(การขาดทุน)ไปได้มากมายหากลดการซื้อขายของเราให้อยู่เพียงแค่10,000หุ้นต่อครั้งแทน ถ้าผมขาดทุนจากการซื้อขายสองครั้งติดๆกันผมจะลดจำนวนการซื้อขายสู่ระดับที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้
มันก็เหมือนนักเบสบอลที่ตีลูกพลาดไปแล้วสองครั้ง สิ่งที่เค้าจะทำในครั้งที่สามคือเค้าจะเหวี่ยงไม้สั้นๆเอาแค่ให้โดนลูกก็พอ ในการลงทุนก็เช่นกันลดจำนวนการซื้อขายของเรา ทำกำไรช่องสองช่องให้มีกำลังใจ หรือเอาว่าเสมอตัวก็พอได้ แล้วค่อยเพิ่มจำนวนการซื้อขายหลังจากเอาชนะได้แล้วสองครั้งติดๆกัน

4) อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน
คนส่วนใหญ่ชื่นชอบเหลือเกินที่จะละเมิดกฏข้อนี้ แต่อย่างไรก็ตามมันควรจะเป็นเป้าหมายอันยิ่งยวดที่เราจะต้องปฏิบัติตามให้ได้นะครับ สิ่งที่เราพูดถึงในตอนนี้ซึ่งสำคัญมากๆเลยนการลงทุนคือเรื่องของความโลภ ตลาดให้ผลตอบแทนเราหากว่ามันเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับการลงทุนของเรา แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่เคยพอใจในผลตอบแทนของเราเลย ดังนั้นแล้วเราก็จะถือต่อไป”ด้วยความหวังที่มิอาจเป็นจริง” เพื่ออะไร เพื่อที่จะรอว่าวันนึงตลาดกลับตัวจากแนวโน้มเดิมของมัน และแน่นอนในฝั่งตรงข้ามกับเรา และพอมันเป็นแบบนั้นเราก็จะละล้าละลัง ขายดีไม่ขายดีว้า ถึงที่สุดเราจะทำอะไรไม่ถูก และเป็นเหมือนกับคนส่วนใหญ่ คือ ล่องจุ๊น
มันอย่าไปโลภหรือกลัวเลยครับ คิดซะว่ามันก็ค่าการซื้อเข้ามาครั้งเดียว เราซื้อขายกี่ครั้งในหนึ่งวัน กี่ครั้งในหนึ่งเดือน แล้วจะเอาอะไรมากมายกับการซื้อขายเพียงแค่ครั้งเดียว(ฮะ) โอกาสน่ะมันมีทั้งวันนั่นแหละ ดังงนั้นนะครับท่องไว้เลยว่า การเทรดครั้งเดียวเนี่ยมันไม่ได้ทำให้เราประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวได้หรอก

5) การขาดทุนที่ใหญ่ยิ่ง อย่าให้มากกว่ากำไรที่ยิ่งใหญ่
เก็บประวัติการเทรดของเราไว้อย่างสม่ำเสมอ(หลายคนอยากเป็นนักลงทุนมืออาชีพ แต่ดันทำตัวแบบมือสมัครเล่น) เราจะต้องทำให้แน่ใจว่าการขาดทุนที่หนักที่สุดของเราจะไม่มากไปกว่ากำไรที่มากที่สุดของเราในรอบนั้นๆ(รอบการเทรด เช่น สรุปรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน) จำไว้ว่ากฏค่าเฉลี่ยคือ ทุกสิบครั้งเราจะทำกำไรใหญ่ๆได้1-2ครั้ง ขาดทุนหนักๆ1-2ครั้ง และ 6-8ครั้งที่จะทำกำไรและขาดทุนถัวๆกันไป ดังนั้นเราจะทำกำไรได้ยังไงถ้าเราปล่อยให้การขาดทุนหนักๆมากเกินไป

6) พัฒนาระบบน่ะใช่ แต่อย่าเปลี่ยนมันทุกวัน
เราจะต้องเขียนวิธีการในการตัดสินใจของเราออกมา(ถ้าเราอธิบายไม่ได้แปลว่าเรายังเข้าใจมันไม่ถ่องแท้) แล้วจากนั้นก็เทรดตามสิ่งที่เราเขียนมันออกมานั่นแหละ ผมไม่สนใจหรอกว่าจะใช้วิธีการแบบไหน(เดี๋ยวก็บอกว่าโยนหัวก้อยซะหรอก อิอิ) แต่ผมต้องการให้เราตั้งกฏไว้ อะไรก็ตาม ลักษณะตลาด หรือรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคา ว่าถ้าเป็นแบบไหนแล้วเราจะทำยังไงกับมัน เราต้องมีกลยุทธ์ในการเข้าออกนะครับ
ถ้าเรามีวิธีการที่แน่นอนในการเทรดแล้ว แต่อาจจะรู้สึกว่าวันนี้หรือช่วงนี้มันไม่ค่อยได้ผลเลย อย่าเพิ่งกลับบ้านไปร้องไห้แล้วแก้กฏที่ตั้งไว้นะครับ ถ้ากฏคุณถูกแค่1ใน3ของการซื้อขายทั้งหมด แค่นั้นก็ทำกำไรได้แล้ว
ขอบฟ้า: สังเกตุนะครับว่าผู้เขียนเน้นที่เรื่องของการบริหารเงินและวินัยเป็นอย่างมาก เท่าที่ผมศึกษานักลงทุนมืออาชีพต่างๆเค้าก็ไม่ได้ซื้อหุ้นถูกต้องทั้ง100% เพียงแต่ครั้งไหนที่เข้าถูกเค้าจะปล่อยยาวเลย(หุ้นขึ้นต้องมีเรา) แต่ถ้าหุ้นตกเค้าจะออกเร็วมาก(หุ้นลงมีเราตลอดทางน่าเศร้านัก) ดังนั้นวิธีการก็สำคัญครับ แต่การบริหารเงินและวินัยสำคัญมากกว่าเท่านั้นเอง จึงเป็นที่มาว่าทำไมโอกาสชนะแค่1ใน3ก็ถือว่าดีแล้ว

7) ถ้าเป็นคนอื่นไม่ได้ ก็เป็นตัวของตัวเองซะ
ตลอดชีวิตนักลงทุนของผม ผมไม่เคยเทรดเกิน50สัญญาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แน่นอนว่าผมก็อยากเทรดให้เหมือนเพื่อนร่วมงานของผมที่เทรดทีละ100-200สัญญา แต่ผมไม่สามารถควบคุมอารมณ์และภาวะทางจิตได้ดีพอที่จะทำแบบนั้น ผมสามารถเทรดด้วยความรู้สึกสบายใจที่คราวละ10-20สัญญา โดยปกติถ้าผมเทรดมากเกิน20สัญญาขึ้นไปผมจะทำได้ไม่ดีเพราะผมไม่สามารถทนความกดดันจากการซื้อขายมากขนาดนั้นได้ ผลการเทรดมักจะออกมาไม่ดีเพราะผมไม่สามารถใช้ความสามารถออกมาเท่าที่ผมเทรดแค่คราวละ10สัญญาได้
พยายามค้นหาขนาดที่พอเหมาะพอสมกับเรา “เป็น อย่างที่เราเป็น”

8) คุณต้องพร้อมที่จะกลับมาในวันรุ่งขึ้นเสมอ
อย่าอมหุ้นที่ขาดทุนไว้จนแก้มตุ่ย เพราะเดี๋ยวมันจะอ้วก ความรู้สึกที่แย่ที่สุดในโลกแห่งการเทรด คือการที่อยากจะเข้าไปแจมกับชาวบ้านแต่ดั๊นอมหุ้นเน่าไว้จนแก้มตุ่ยแล้วนี่สิ
ผมกำหนดให้นักเรียนของผมจำกัดส่วนที่จะขาดทุนได้ในหนึ่งวัน ตัวอย่างเช่น ในหนึ่งวันห้ามขาดทุนเกิน5,000บาท ถ้าวันไหนที่ขาดทุนถึง5,000บาทสิ่งที่ต้องทำก็คือ ปิดคอม แล้วไปหาอะไรอย่างอื่นทำซะ เพราะเราสามารถกลับมาเทรดได้ใหม่ในวันรุ่งขึ้นที่เราสบายใจมากกว่านี้

9) เทรดให้ได้ เทรดให้ดี เพื่อเทรดให้ใหญ่ขึ้น
คนส่วนใหญ่คิดว่าเมื่อเขามีเงิน1,000,000บาทเขาก็สามารถซื้อปตทได้3,000หุ้น ตรงนี้อาจจะไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก เพราะถ้าคุณเทรดแค่100หุ้นยังขาดทุน แล้วจะเอาอะไรมาการันตีว่าเทรด3,000หุ้นแล้วจะได้กำไรผมบอกนักเรียนของผมว่าถ้าเค้าเทรด100หุ้นให้ได้กำไรสิบวันติดต่อกันให้ได้ นั่นแหละถึงจะแสดงว่าเค้ามีความสามารถมากพอที่จะเทรดได้200หุ้นในช่วงต่อไป
สิ่งที่ควรระลึกเสมอ: ถ้าเราเทรดครั้งละ200หุ้นได้ยังไม่ดี ก็ลดลงไปเหลือครั้งละ100ก่อนนะจ๊ะ

10) ขายมันทิ้งซะ!!!
เราไม่ได้เป็น”ไอ้ขี้แพ้”ถ้าเราขาดทุนจากการซื้อขาย แต่เราจะเป็น”ไอ้ขี้แพ้”ก็ต่อเมื่อเราไม่ขายหุ้นที่ขาดทุนที่ดูยังไงก็ฟื้นขึ้นมาไม่ได้ มันน่าประหลาดใจมากว่าหลายครั้งลางสังหรณ์ของเราก็ถูกต้อง ถ้าคุณคิดว่าหุ้นตัวนี้ “อาจจะแย่” นั่นอาจหมายถึงเวลาที่เราควรจะขายแล้ว
เป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนจะขาดทุน ในการลงทุนช่วงหนึ่งนักลงทุนอาจจะขาดทุน1ใน3 เสมอตัว1ใน3และทำกำไรได้1ใน3เช่นกัน ผมขายขาดทุนเร็วมาก มันเลยทำให้ผมขาดทุนนิดๆหน่อยๆ ดังนั้นต่อให้ผมจะขาดทุนและเสมอตัวถึง2ใน3ของการเทรด แต่ผมก็ยังได้กำไรในท้ายที่สุด

11) การขาดทุนครั้งแรกนั้นดีเสมอ
หากว่าคุณคิดแล้วว่าการซื้อหุ้นครั้งเข้ามานั้นมัน”ผิดพลาด” สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำก็คือ “ขายมันทิ้งไปซะ” ไอ้คำพูดหรูหราแต่ไม่ได้ความประเภท “ไม่ขายไม่ขาดทุน” “อย่าไปกังวล” “เดี๋ยวมันก็ขึ้น” คำพวกนี้ถูกพูดกันจนติดปากขวงพวกขี้แพ้อย่างแท้จริง ถ้าเราพูดคำพวกนี้ออกมาเมื่อไหร่นั่นหมายความว่าการซื้อของเราครั้งนั้นอาจจะพลาดไปแล้ว และสิ่งที่ควรทำคือ “ไม่ต้องภาวนาให้พวกมันกลับมา แต่ขายมันไปซะ”

12) ถ้าไม่อยากขาดทุน แค่ความหวังมันไม่พอ
สมัยที่ผมยังใหม่และยังไม่มีวินัยในการลงทุน ผมบอกคุณไม่หวาดไม่ไหเลยว่าผมภาวนาต่อพระเจ้าไปกี่ครั้ง ผมสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้าให้ผลการซื้อขายออกมาเป็นที่น่าพอใจ ผมสวดภาวนามากจนกระทั่งผมรู้ว่ามันไม่เคยได้ผลไม่ว่าจะสวดมนต์ต่อ พระเจ้าของหุ้น พระเจ้าของพันธบัตร แม้กระทั่งพระเจ้าของฟิวเจอร์ สิ่งที่ผมทำลงไปมันไม่เคยได้ผล จนกระทั่งผมตระกหนักรู้ว่า “แค่ขายมันทิ้งไปซะ”

13) อย่าไปกังวลกับข่าว มันก็แค่ประวัติศาสตร์แบบนึง

ผมไม่เคยเข้าใจพวกนักลงทุนที่วันๆเอาแต่นั่งฟังข่าวหุ้น อ่านหนังสือพิมพ์หุ้นตลอดทั้งวัน พวกนักข่าวเค้าไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับพลวัตรของตลาด หรือรูปแบบของราคาหรอก มีนักข่าวสักกี่คนเชียวที่จะเคยแม้กระทั่งซื้อหรือขายหุ้นสัก100หุ้น ฟิวเจอร์สักสัญญา แต่พวกเค้ากลับทำตัวราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ถูกส่งมาจากเบื้องบนมาช่วยพวกเรา

ก่อนที่จะมาเป็นผู้เชี่ยวชาญผ่านหน้าจอได้เนี่ย เค้าเคยทำอะไรมาก่อนหรอ เป็นมาร์เก็ตติง? เป็นนักข่าวการเงิน? เคยเขียนหนังสือการเงิน? หรือนี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เค้าเป็นผู้เชี่ยวชาญเนี่ย เค้าไม่สามารถช่วยเหลือหรือให้อะไรคุณได้มากมายหรอก คิดซะว่าดูเพื่อความบันเทิงละกันนะครับ

ความจริงก็คือ: สิ่งที่เราได้ยินได้ฟัง หรือได้อ่านน่ะมันเป็นเรื่องที่ “โคตรล้าหลัง” ข้อมูลเหล่านั้นพวกวงในเค้ารู้และตอบสนองกันไปหมดแล้ว ดังนั้นใครที่จะซื้อขายตามข่าวล่ะก็ It’s too late.

14) อย่าเดา นั่นจะทำให้เสีย

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผมเป็นเทรดเดอร์และเกี่ยวข้องกับเทรดเดอร์คนอื่นๆ ผมไม่เคยเจอพวกเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จเลย มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเก็งกำไรแล้วสามารถทำเงินได้อย่างมากมายและต่อเนื่อง อย่าเป็นพวกเก็งกำไรแต่จงเป็นเทรดเดอร์

การ”จับ”ตลาดในช่วงระยะเวลาสั้นๆนี่แหละคือคำตอบ โอกาสที่จะชนะในวันหรือสัปดาห์จะเพิ่มขึ้นอย่างมากถ้าเราเทรดในช่วงสั้นๆ

“จงมีชัยชนะเล็กๆ แต่แพ้ให้น้อยกว่า”

หมายเหตุ:ผม(ขอบฟ้า)คิดว่าคนเขียนคงฝห้ความหมายพวกเก็งกำไรว่าพวกเดาไปเรื่อย ซื้อเพราะข่าว อะไรทำนองนั้น แต่เทรดเดอร์คนที่ใช้กราฟเพื่อทำนายตลาดในช่วงสั้นๆ ซึ่งจะแม่นยำกว่าการต้องทำนายตลาดในระยะที่ยาวขึ้น

15) รักที่จะเสียเงิน

กฏข้อนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยมากที่สุดโดยนักลงทุนทั้งหลายที่เคยได้ยินมา นักลงทุนมักจะสงสัยว่า “คุณหมายความว่ายังไง รักที่จะเสียเงิน นี่มันบ้าชัดๆ”

ไม่หรอก ผมไม่ได้บ้า สิ่งที่ผมตั้งใจจะนำเสนอคือ จงยอมรับความจริงที่ว่าเรามีโอกาสที่จะขาดทุนในทุกๆช่วงของการเทรด แต่จงขายมันทิ้งให้เร็วที่สุด จงรักและเต็มใจที่จะขายหุ้นที่ขาดทุนอย่างรวดเร็ว มันจะช่วยรักษาเงินของเราและทำให้เราพัฒนาในฐานะของเทรดเดอร์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘