หุ้นไทยเนื้อหอม! ยิลด์ติด 1 ใน 3 ของโลก !

สมาคมโบรกเกอร์ ชี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ช่วยดึงดูดนักลงทุนที่เทรดหุ้นในต่างประเทศให้หันกลับลงทุนหุ้นไทย จากให้ผลตอบแทน (ยิลด์) สูงที่สุดติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก เช่นเดียวกับหลายบริษัทที่มีแนวคิดไปจดทะเบียนตลาดต่างแดน เริ่มล้มแผนกลับมาเข้าเทรดในกระดานหุ้นไทยแทน เหตุค่า P/E ไม่ต่างกัน อีกทั้งอานคตยังมีการเชื่อมโยงทั้งภูมิภาค ล่าสุด เล็งศึกษาต้นทุนทำธุรกิจของอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ เพื่อให้ บล.นำไปคิดค่าคอมมิชชันที่เหมาะสมกับการทำธุรกิจของแต่ละแห่ง ส่งผลให้ไม่มีการแข่งขันด้านราคา หนุน บล.กำไรดี เชื่อนักลงทุนเข้าใจหากให้บริการ-สร้างผลตอบแทนที่ดี

นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า จากการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงนั้น ทำให้นักลงทุนที่มีการลงทุนซื้อขายหุ้นต่างประเทศนั้นกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะ ตลาดหุ้นไทยนั้นให้ผลตอบแทนที่สูงที่สุดติด 1 ใน 3 ของโลก แต่ บล.ควรที่จะเตรียมความพร้อมในเรื่องการให้ลูกค้าไปซื้อขายต่างประเทศได้ เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน
นอกจากนี้ ที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนนั้น มีความสนใจ และอยู่ระหว่างพิจารณาที่จะไปจดทะเบียนในต่างประเทศนั้น จากก่อนหน้านี้ค่า P/E ของตลาดหุ้นต่างประเทศนั้นสูงกว่าตลาดหุ้นไทยมาก ทำให้เมื่อไปเสนอขายหุ้นจะได้ราคาที่สูง แต่ปัจจุบันส่วนตัวมองว่าไม่มีความจำเป็นที่จะไปจดทะเบียนต่างประเทศ เพราะ ค่า P/E ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และอนาคตตลาดหุ้นจะมีการเชื่อมโยงกันสามารถที่จะทำการซื้อขายหุ้นระหว่างกันได้ ทำให้ในระยะยาวไม่จำเป็นที่ไปจดทะเบียนในต่างประเทศ และค่าใช้จ่ายในการไปจดทะเบียนในต่างประเทศนั้นสูง

ก่อนหน้านี้ นายยรรยง ไทยเจริญ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า สาเหตุที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นมากในช่วงไตรมาสที่ 3 เป็นเพราะได้รับแรงหนุนจากเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย รวมถึงตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย เพื่อหาผลตอบแทนในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วยังประสบปัญหาเรื่องการฟื้นตัว ประกอบกับผู้ลงทุนมีความเชื่อมั่นแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และสถานการณ์ทางการเมืองที่มีเสถียรภาพมากขึ้น


นอกจากนี้ แนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นตามภูมิภาค จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดตราสารหนี้เป็นจำนวนมากเพื่อหากำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ถือเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยให้ตลาดหุ้นไทยได้รับความสนใจตามไปด้วย โดยทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจากนี้เชื่อว่า ยังมีทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดตราสารหนี้ เพราะเพียงแค่ผลตอบแทนจากการลงทุน ไม่รวมส่วนต่างจากอัตราแลกเปลี่ยนที่จะได้รับ ก็ถือว่าเป็นระดับที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของดัชนีตลาดหุ้นไทย หากจะปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 1,000 จุด ก็คงต้องอาศัยปัจจัยการเติบโตของเศรษฐกิจ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เป็นตัวประกอบสำคัญ

ทั้งนี้ ล่าสุด มีรายงานว่า สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส เตรียมส่งเจ้าหน้าที่มาเก็บข้อมูลของไทย หลังจากที่เลื่อนการจัดเก็บข้อมูลประจำปีมาตั้งแต่ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา จากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมากให้มูดี้ส์ทราบจากปัจจุบันที่มูดี้ส์ จัดอันดับเครดิตประเทศไทย ที่บีบีบีบวก และคาดว่า อย่างน้อยมูดี้ส์จะปรับเพิ่มเครดิตของไทย 1 ขั้น มาเป็นระดับ เอลบ

ด้าน นายเอียน กิสบอร์น หัวหน้าฝ่ายวิจัยการลงทุนของยูบีเอสในไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยตอนนี้ติดหนึ่งในกลุ่มตลาดให้ผลตอบแทนดีสุด นอกเหนือจากอินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ และช่วง 12 เดือนข้างหน้าตลาดยังสามารถปรับขึ้นได้อีก 20% โดยตอนนี้สภาพคล่องการซื้อขายหุ้นไทยมาจากนักลงทุนในประเทศ 80% และมีทุนไหลเข้าต่างประเทศเพียง 20% ซึ่งในอดีตต่างชาติเคยเข้ามาซื้อขายช่วยให้เกิดสภาพคล่องในตลาดมากถึง 40% ทำให้จากนี้ไป ยังมีช่องให้เม็ดเงินนอกเข้ามาได้อีกมาก ผสมกับดีมานด์การออม หรือกำลังซื้อจากคนไทยยังมีอยู่มาก จึงเชื่อว่าความต้องการซื้อหุ้นจากทั้งสองส่วน จะช่วยหนุนดัชนีกับตลาดปรับขึ้นได้

สมาคมโบรกฯเล็งศึกษษต้นทุนธุรกิจ

นอกจากนี้ นางภัทธีรา กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางสมาคมโบรกเกอร์จะมีการศึกษาในเรื่องต้นทุนการดำเนินงานของบล.เพื่อที่จะให้ทราบว่าต้นทุนการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ขณะนี้เป็นอย่างไร เพื่อให้บล.นำไปเปรียบเทียบกับเพื่อที่จะได้กำหนดในการคิดค่าธรรมเนียม (คอมมิชชัน) การให้บริการแก่ลูกค้าได้เหมาะสมกับต้นทุนการทำธุรกิจของแต่ละบล เนื่องจากปัจจุบันการคิดคอมมิชชันมีการเปลี่ยนไป บล.มีการทำการตลาดที่มากขึ้น นักลงทุนมีการลงทุนผ่านอินเทอร์เน็ตที่มากขึ้น และการทำธุรกิจของ บล.นั้นมีการทำธุรกิจที่แตกต่างไปจากเพื่อกระจายฐานรายได้ โดยสมาคมโบรกเกอร์จะศึกษาเรื่องต้นทุนการดำเนินงานของบล.จากผลการดำเนินงานไตรมาส 3/53 เพราะ ในช่วงดังกล่าวภาวะตลาดหุ้นไทยดีนั้น เพื่อให้ทราบว่าภาวะตลาดหุ้นไทยดี บล.จะมีกำไรดีหรือไม่

“เรารอให้งบไตรมาส 3 ของ บล.ออกมาก่อน และจะมีการศึกษาในเรื่องค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจว่าเป็นอย่างไรเพื่อให้ บล.ต่างๆ ทราบว่า ต้นทุนการดำเนินงานเป็นอย่างไร เพื่อที่ บล.จะนำไปเปรียบเทียบและจะได้คิดค่าคอมมิชชันที่เหมาะสมกับต้นทุนการทำธุรกิจของตนเอง ซึ่งจะทำให้บล.ไม่มีการแข่งขันทางด้านราคา และส่วนตัวเชื่อว่านักลงทุนจะไม่บ่นที่คิดค่าธรรมเนียมที่แพง หากเรามีการให้บริการที่ดี และสร้างผลตอบแทนที่ดีกับนักลงทุน ซึ่งขณะนี้ไม่มีใครคิดค่าคอมมิชชั่นที่ 0%” นางภัทธีรา กล่าว

สำหรับกำไรปีนี้ของ บล.เชื่อว่า จะออกมาดีมากเนื่องจากภาวะตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง โดยเฉพาะ บล.ที่มีบัญชีการซื้อขายหุ้นเพื่อบริษัทหลักทรัพย์ (พอร์ตเทรด) ซึ่งจะช่วยทำกำไรให้ บล.ดีมากขึ้น และหลาย บล.มีการทำธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น โดยจากการที่ในปีนี้ผลประกอบการของบล.ดีนั้น บล.ควรที่จะมีการลงทุนในเรื่องเทคโนโลยีระบบการซื้อขาย เพราะระบบที่ใช้ในปัจจุบันนั้นใช้มานานแล้ว เพราะในอนาคตนั้นโบรกเกอร์จะมีการแข่งขั้นเรื่องของเทคโนโลยีในการให้บริการกับลูกค้า

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘