สามก๊ก ฉบับนักบริหาร:บทที่ 9 จับปลาในน้ำขุ่น
แม่ทัพฮัวหยงถูกกวนอูทหารเลวในทัพกองซุนจ้าน1 ใน 18 หัวเมืองฆ่าตาย ทำให้ตั๋งโต๊ะตกใจ สั่งปิดประตูเมืองตั้งหลักใหม่ ลิยูกุนซือแกนนำใหญ่ใช้วิชามารกระซิบตั๋งโต๊ะว่าเสียฮัวหยงเหมือนท่านเสียทหารเลวสิบหมื่นก็ไม่เท่า อ้วนเสี้ยวแม่ทัพใหญ่มีอาที่เป็นขุนนางอยู่ในเมืองนี้ชื่ออ้วนหงุย อาจมีส่วนคบคิดเป็นไส้ศึก ให้จับอ้วนหงุยฆ่าเสีย ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย จึงสั่งลิฉุย กุยกีคุมทหารห้าร้อยไปฆ่าอ้วนหงุยกับพรรคพวกชายหญิงเสียสิ้น ตัดศีรษะไปเสียบไว้หน้าด่านกิสุยก๋วน หวังให้อ้วนเสี้ยวผู้หลานได้เห็นให้เสียขวัญ อ้วนเสี้ยวรู้ข่าวถึงกับเป็นลมล้มพับไป
การรบถึงขั้นแตกหัก เมื่อตั๋งโต๊ะยกทัพหลวงมาเอง แต่งตั้งลิโป้เป็นแม่ทัพ ทัพ18 หัวเมืองต้านทานฝีมือลิโป้ไม่ได้ แม้จะมียอดฝีมืออย่างกวนอู เตียวหุย เล่าปี่สามพี่น้องร่วมสาบานที่รุมกินโต๊ะจนลิโป้ต้องพาทหารหลบเข้าเมือง แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังหาแพ้ชนะกันไม่ ทัพ 18 หัวเมืองแม้จะมีกองกำลังมาก แต่ขาดหัวใจที่จะสู้ศึกอย่างเป็นเอกภาพ แก่งแย่งหาผลประโยชน์ ไม่จริงใจต่อกัน แม่ทัพนายกองของแต่ละเมืองต่างมุ่งหน้า คิดแต่จะจับปลาในน้ำขุ่น แม้ยามศึกสงคราม ก็ยังมิวายยึดติดเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน มิได้ให้ความเกื้อหนุนกัน ความรวนเรจึงเกิดขึ้นในกองทัพอ้วนเสี้ยวรุนแรงถึงขั้นจะแยกย้ายยกพลกันกลับเมือง
ครั้งนั้น ลิยูกุนซือคนเก่งผู้ถนัดแนวความคิดวิชามาร แนะนำตั๋งโต๊ะให้ย้ายเมืองหลวงจากลกเอี๋ยงไปตั้งที่เมืองเตียงฮันซึ่งอยู่ด้านตะวันตกมีภูเขาล้อมรอบเหมาะแก่การป้องกัน มีขุนนางหลายคนคัดค้าน แต่ตั๋งโต๊ะหาฟังไม่ กลับให้เอาขุนนางที่ขัดขวางไปประหารชีวิตเสีย 2 คน โดยมิต้องใช้วิธีอุ้มฆ่าในสมัยนั้น ลิยูยังให้ความคิดแบบเพี้ยน ๆ อีกว่า การสร้างเมืองใหม่ อาหารและเงินทองในท้องพระคลังมีอยู่น้อยไม่พอทำการ ก็ให้ไปยึดทรัพย์จากเศรษฐีพ่อค้าในเมืองลกเอี๋ยงที่มีเงินทองข้าวของ รวมทั้งพรรคพวกอ้วนเสี้ยวกับพวกที่มีอยู่ในเมืองหลวงให้จับฆ่าแล้วยึดทรัพย์มาทั้งหมด ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วยจึงให้ลิฉุย กุยกีจัดทหารห้าพันคนไปทำการ แล้วเร่งอพยพราษฎรไปเมืองหลวงใหม่ บ้านเมืองจึงตกอยู่ในลักษณะกลียุค ประชาราษฎร์ได้รับความเดือนร้อนเสียงคร่ำครวญร้องไห้ได้ยินกันทั้งเมือง ก่อนจากเมืองตั๋งโต๊ะสวมบทบาทจักรพรรดิเนโรในยุคเผากรุงโรม ตั๋งโต๊ะสั่งเผาพระนครลกเอี๋ยงแล้วให้ลิโป้คุมทหารไปขุดรื้อฮวงซุ้ยบุรพกษัตริย์กับฮวงซุ้ยชาวบ้าน เก็บกวาดทรัพย์ที่ฝังไว้หลายพันเล่มเกวียน เสร็จแล้วจึงเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กับเหล่าสนมกำนัลใน ยกไปประทับ ณ เตียงฮันเมืองหลวงใหม่
อ้วนเสี้ยวเห็นเพลิงไหม้ใหญ่ จึงให้ทหารเข้าไปดับไฟ แล้วยกทัพเข้าไปตั้งในกำแพงเมือง โจโฉขอยกทัพไปตามตีขนาบตั๋งโต๊ะ อ้วนเสี้ยวกับทัพหัวเมืองไม่เห็นด้วยบอกว่าทหารยังอิดโรย โจโฉเคืองหนักตำหนิอ้วนเสี้ยวด้วยสำนวนเผ็ดร้อน"ตั๋งโต๊ะมันเผาวัง ขับไล่ฮ่องเต้ ทั่วหล้าสะเทือน ไม่มีหลักยึด ราชวงศ์สะเทือน เป็นตายเท่ากัน จะยั้งทัพอยู่ทำไม..ตั๋งโต๊ะมันกลัวกองทัพหัวเมือง จึงได้ย้ายราชธานีหนีไปเตียงฮัน สงครามเฮาโลก๋วน ลิโป้พ่ายแพ้ พวกโจรขวัญสลาย ฝ่ายเราฮึกเหิม เผด็จศึกตอนนี้ ใต้หล้าจะสันติ ใยมัวลังเลไม่รบ เสียโอกาสทองทำไม...ไม่ได้เรื่องเลยสักคน บ้าทั้งนั้น..." โจโฉประณามอ้วนเสี้ยวว่าเป็นเด็กเลี้ยงโค หุนหันคุมทหารส่วนน้อยของตนตามติดตั๋งโต๊ะไป แต่ถูกกองทัพตั๋งโต๊ะแอบซุ่มตีแตกกลับมา จึงนำกองกำลังแยกทางกลับตงกุ๋น กองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป๋งที่มีเล่าปี่อยู่ด้วยก็ว่า ใครขืนร่วมคิดการใหญ่กับผู้นำอย่างอ้วนเสี้ยวจักต้องตายเปล่า ผู้นำอย่างอ้วนเสี้ยวเปรียบเสมือนศพแห้งที่อยู่ในกระท่อมร้าง ในเข้าร่วมพรรคการเมืองจึงต้องตระหนักถึงข้อนี้ให้จงหนัก บางทีหัวหน้าพรรคยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่แตกต่างอะไรกับศพแห้งในกระท่อมร้าง
ความแตกแยกของทัพ 18 หัวเมืองมาถึงที่สุด เมื่อซุนเกี๋ยนเจ้าเมืองเตียงสาไปพบตราหยกวิเศษพระราชลัญจกรมีค่า ตกทอดมาแต่สมัยราชวงศ์จิ๋น จึงแอบเก็บรักษาเอาไว้ อ้วนเสี้ยวรู้ข่าวเกิดแก่งแย่งกัน ซุนเกี๋ยนจึงยกทัพกลับเมืองเตียงสา ทัพ 18 หัวเมืองจึงแตกแยกสลายตั้งแต่เพลานั้น
พอร้างศึกตั๋งโต๊ะเร่งสร้างราชธานีใหม่ ควบคุมอำนาจการบริหารเข้มงวดแต่งตั้งญาติพี่น้องแซ่ตั๋งกับพรรคพวกใกล้ชิดกับตนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยกันถ้วนหน้า มีอยู่วันหนึ่งตั๋งโต๊ะเชิญขุนนางมากินโต๊ะ แล้วให้ทหารเอาพวกก่อการขบถตามหัวเมืองฝ่ายเหนือ 500 คนมาตัดแขน ตัดขา ตัดหู ตัดลิ้น ควักตา จับใส่กระทะทอด ตั๋งโต๊ะเสพสุราพลางหัวเราะจนกระทั่งคนทั้ง 500 คนขาดใจตายหมดต่อหน้าคนทั้งปวง
อีกครั้งหนึ่งตั๋งโต๊ะจัดเลี้ยงขุนนางขึ้นอีก ขณะที่ทุกคนกำลังเสพสุราเพลินอยู่ ลิโป้เข้ามากระซิบข้างหูตั๋งโต๊ะ จึงให้ลิโป้ไปลากตัวเตียวอุ๋นขุนนางผู้หนึ่งที่อยู่ในงานเลี้ยง ลากออกไปข้างนอก ขุนนางทั้งหลายตกตะลึงดูตากัน สักครู่หนึ่งลิโป้หิ้วเอาศีรษะเตียวอุ๋นใส่กระบะเข้ามาให้ตั๋งโต๊ะดู คนทั้งปวงก็ยิ่งตกใจ ตั๋งโต๊ะหัวเราะแล้วจึงว่าท่านทั้งหลายอย่าได้ตกใจ ที่เกิดเหตุนี้เพราะเตียวอุ๋นคิดขบถไปเข้าด้วยกับอ้วนเสี้ยวจะทำร้ายเราจึงให้ฆ่าเสีย พวกท่านมิได้คิดร้ายสมรู้ร่วมคิดด้วยกับมัน ก็อย่าได้เป็นทุกข์กินโต๊ะกันตามสบายต่อไป ตั๋งโต๊ะกับลิโป้ทำการเชือดไก่ให้ลิงดู
ตั้งแต่นั้นมาตั๋งโต๊ะกำเริบเสิบสานหนักข้อขึ้นทุกวัน จัดหาสาวน้อยรูปงามประมาณ800 คนตั้งฮาเร็มสำหรับบำเรอความสุขให้แก่ตน แต่งตั้งยศตัวเองใหม่ เกณฑ์ให้คนทั้งปวงเรียกว่า ซ่องฮู แปลว่าพระราชบิดาเลี้ยง เวลาตั๋งโต๊ะจะไปแห่งใดก็จัดตั้งกระบวนแห่แหนเทียบฮ่องเต้เสด็จ พระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นแค่หุ่นเชิดของ แม่ทัพตั๋งโต๊ะผู้อยู่เหนือกษัตริย์ เหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นเป็นที่ขุ่นเคืองของขุนนางและปวงประชาอย่างยิ่ง พรรคพวกญาติพี่น้องของตั๋งโต๊ะก่อการคอรัปชั่นกันอย่างโจ๋มครึ่มไม่มีใครกล้าหือที่จะเข้าไปตรวจสอบ ไม่กล้าแม้แต่จะคัดค้านท้วงติง ภายในทัพอ้วนเสี้ยวมีการ แอบจับปลาในน้ำขุ่น แต่ทางด้านตั๋งโต๊ะขุนนางกับแม่ทัพนายกอง ต่างจับปลากันในน้ำใส ๆ เห็นกันชัด ๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าหือหรือกล้าเข้าไปแตะต้องแต่อย่างใดไม่ สังคมจีนในยุคนั้นจึงตกอยู่ในสภาพมือใครยาวสาวได้สาวเอา บ้านเมืองระส่ำระสายตกอยู่ในสภาพพาราสาวัตถี ไม่มีใครปราณีใคร
ฝ่ายอ้องอุ้นขุนนางที่มอบดาบโบราณให้โจโฉไปลอบฆ่าตั๋งโต๊ะ ก็ยังคงครุ่นคิดกำจัดตั๋งโต๊ะอยู่มิได้ขาด คืนหนึ่งคิดมากหาได้หลับนอนไม่ ถือไม้เท้าไปยืนพิงถอนหายใจเฮือก ๆ น้ำตารักชาติไหลอยู่ในสวนดอกไม้ ได้ยินเสียงทอดใจของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ก็พบเตียวเสี้ยนบุตรเลี้ยงวัย 16 ปีนั่งทอดใจอยู่ จึงถามว่าดึกสงัดอย่างนี้ทำไม่ยังไม่นอน ลงมาอยู่ในสวนดอกไม้ จะคอยคู่ กำลังมีรักหรือย่างไร
เตียวเสี้ยนคุกเข่าคำนับอ้องอุ้นแล้วจึงว่า มิได้มาคอยใคร ตัวข้าพเจ้าเป็นทาสีที่ท่านเลี้ยงมาแต่เล็ก และให้หัดร้องรำมาแต่น้อย พระคุณท่านหาสุดมิได้ แอบเห็นท่านมีทุกข์ จึงอยากสนองคุณท่าน มาตรว่าชีวิตตัวเองจะตายกระดูกละลายเป็นผง ก็จะมิเสียดายชีวิต วันนี้เห็นท่านมีทุกข์ใหญ่หลวงเศร้าหมองยิ่งกว่าวันก่อน ข้าพเจ้าจึงตามมาดู เผื่อจะได้คิดอ่านสนองคุณท่านจนกว่าชีวิตจะหาไม่
อ้องอุ้นได้ฟังดังนั้น ก็เริ่มมองเห็นอุบายที่จะขจัดตั๋งโต๊ะได้ จึงพาเตียวเสี้ยนลูกเลี้ยงคนงามเข้าห้องหนังสือ ให้เตียวเสี้ยนขึ้นนั่งบนเก้าอี้ แล้วตัวเองคุกเข่าคำนับเตียวเสี้ยน หญิงสาวเห็นดังนั้นก็ตกใจ ลงจากเก้าอี้แล้วกอดขาอ้องอุ้นบิดาเลี้ยงเอาไว้ อ้อนว่าท่านคำนับข้าพเจ้านั้นมิเป็นการสมควร อ้องอุ้นจึงว่าทุกวันนี้ประชาราษฎร์เดือดร้อน ขอให้เจ้าช่วยธุระของแผ่นดินด้วยเถิด ว่าแล้วอ้องอุ่นก็ร่ำไห้พร้อมกับเล่าความนัยของสถานการณ์การบ้านเมืองให้เตียวเสี้ยนฟัง แผนการอุบายหญิงงามจึงได้อุบัติขึ้นตั้งแต่วันนั้น
การรบถึงขั้นแตกหัก เมื่อตั๋งโต๊ะยกทัพหลวงมาเอง แต่งตั้งลิโป้เป็นแม่ทัพ ทัพ18 หัวเมืองต้านทานฝีมือลิโป้ไม่ได้ แม้จะมียอดฝีมืออย่างกวนอู เตียวหุย เล่าปี่สามพี่น้องร่วมสาบานที่รุมกินโต๊ะจนลิโป้ต้องพาทหารหลบเข้าเมือง แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังหาแพ้ชนะกันไม่ ทัพ 18 หัวเมืองแม้จะมีกองกำลังมาก แต่ขาดหัวใจที่จะสู้ศึกอย่างเป็นเอกภาพ แก่งแย่งหาผลประโยชน์ ไม่จริงใจต่อกัน แม่ทัพนายกองของแต่ละเมืองต่างมุ่งหน้า คิดแต่จะจับปลาในน้ำขุ่น แม้ยามศึกสงคราม ก็ยังมิวายยึดติดเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน มิได้ให้ความเกื้อหนุนกัน ความรวนเรจึงเกิดขึ้นในกองทัพอ้วนเสี้ยวรุนแรงถึงขั้นจะแยกย้ายยกพลกันกลับเมือง
ครั้งนั้น ลิยูกุนซือคนเก่งผู้ถนัดแนวความคิดวิชามาร แนะนำตั๋งโต๊ะให้ย้ายเมืองหลวงจากลกเอี๋ยงไปตั้งที่เมืองเตียงฮันซึ่งอยู่ด้านตะวันตกมีภูเขาล้อมรอบเหมาะแก่การป้องกัน มีขุนนางหลายคนคัดค้าน แต่ตั๋งโต๊ะหาฟังไม่ กลับให้เอาขุนนางที่ขัดขวางไปประหารชีวิตเสีย 2 คน โดยมิต้องใช้วิธีอุ้มฆ่าในสมัยนั้น ลิยูยังให้ความคิดแบบเพี้ยน ๆ อีกว่า การสร้างเมืองใหม่ อาหารและเงินทองในท้องพระคลังมีอยู่น้อยไม่พอทำการ ก็ให้ไปยึดทรัพย์จากเศรษฐีพ่อค้าในเมืองลกเอี๋ยงที่มีเงินทองข้าวของ รวมทั้งพรรคพวกอ้วนเสี้ยวกับพวกที่มีอยู่ในเมืองหลวงให้จับฆ่าแล้วยึดทรัพย์มาทั้งหมด ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วยจึงให้ลิฉุย กุยกีจัดทหารห้าพันคนไปทำการ แล้วเร่งอพยพราษฎรไปเมืองหลวงใหม่ บ้านเมืองจึงตกอยู่ในลักษณะกลียุค ประชาราษฎร์ได้รับความเดือนร้อนเสียงคร่ำครวญร้องไห้ได้ยินกันทั้งเมือง ก่อนจากเมืองตั๋งโต๊ะสวมบทบาทจักรพรรดิเนโรในยุคเผากรุงโรม ตั๋งโต๊ะสั่งเผาพระนครลกเอี๋ยงแล้วให้ลิโป้คุมทหารไปขุดรื้อฮวงซุ้ยบุรพกษัตริย์กับฮวงซุ้ยชาวบ้าน เก็บกวาดทรัพย์ที่ฝังไว้หลายพันเล่มเกวียน เสร็จแล้วจึงเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กับเหล่าสนมกำนัลใน ยกไปประทับ ณ เตียงฮันเมืองหลวงใหม่
อ้วนเสี้ยวเห็นเพลิงไหม้ใหญ่ จึงให้ทหารเข้าไปดับไฟ แล้วยกทัพเข้าไปตั้งในกำแพงเมือง โจโฉขอยกทัพไปตามตีขนาบตั๋งโต๊ะ อ้วนเสี้ยวกับทัพหัวเมืองไม่เห็นด้วยบอกว่าทหารยังอิดโรย โจโฉเคืองหนักตำหนิอ้วนเสี้ยวด้วยสำนวนเผ็ดร้อน"ตั๋งโต๊ะมันเผาวัง ขับไล่ฮ่องเต้ ทั่วหล้าสะเทือน ไม่มีหลักยึด ราชวงศ์สะเทือน เป็นตายเท่ากัน จะยั้งทัพอยู่ทำไม..ตั๋งโต๊ะมันกลัวกองทัพหัวเมือง จึงได้ย้ายราชธานีหนีไปเตียงฮัน สงครามเฮาโลก๋วน ลิโป้พ่ายแพ้ พวกโจรขวัญสลาย ฝ่ายเราฮึกเหิม เผด็จศึกตอนนี้ ใต้หล้าจะสันติ ใยมัวลังเลไม่รบ เสียโอกาสทองทำไม...ไม่ได้เรื่องเลยสักคน บ้าทั้งนั้น..." โจโฉประณามอ้วนเสี้ยวว่าเป็นเด็กเลี้ยงโค หุนหันคุมทหารส่วนน้อยของตนตามติดตั๋งโต๊ะไป แต่ถูกกองทัพตั๋งโต๊ะแอบซุ่มตีแตกกลับมา จึงนำกองกำลังแยกทางกลับตงกุ๋น กองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป๋งที่มีเล่าปี่อยู่ด้วยก็ว่า ใครขืนร่วมคิดการใหญ่กับผู้นำอย่างอ้วนเสี้ยวจักต้องตายเปล่า ผู้นำอย่างอ้วนเสี้ยวเปรียบเสมือนศพแห้งที่อยู่ในกระท่อมร้าง ในเข้าร่วมพรรคการเมืองจึงต้องตระหนักถึงข้อนี้ให้จงหนัก บางทีหัวหน้าพรรคยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่แตกต่างอะไรกับศพแห้งในกระท่อมร้าง
ความแตกแยกของทัพ 18 หัวเมืองมาถึงที่สุด เมื่อซุนเกี๋ยนเจ้าเมืองเตียงสาไปพบตราหยกวิเศษพระราชลัญจกรมีค่า ตกทอดมาแต่สมัยราชวงศ์จิ๋น จึงแอบเก็บรักษาเอาไว้ อ้วนเสี้ยวรู้ข่าวเกิดแก่งแย่งกัน ซุนเกี๋ยนจึงยกทัพกลับเมืองเตียงสา ทัพ 18 หัวเมืองจึงแตกแยกสลายตั้งแต่เพลานั้น
พอร้างศึกตั๋งโต๊ะเร่งสร้างราชธานีใหม่ ควบคุมอำนาจการบริหารเข้มงวดแต่งตั้งญาติพี่น้องแซ่ตั๋งกับพรรคพวกใกล้ชิดกับตนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยกันถ้วนหน้า มีอยู่วันหนึ่งตั๋งโต๊ะเชิญขุนนางมากินโต๊ะ แล้วให้ทหารเอาพวกก่อการขบถตามหัวเมืองฝ่ายเหนือ 500 คนมาตัดแขน ตัดขา ตัดหู ตัดลิ้น ควักตา จับใส่กระทะทอด ตั๋งโต๊ะเสพสุราพลางหัวเราะจนกระทั่งคนทั้ง 500 คนขาดใจตายหมดต่อหน้าคนทั้งปวง
อีกครั้งหนึ่งตั๋งโต๊ะจัดเลี้ยงขุนนางขึ้นอีก ขณะที่ทุกคนกำลังเสพสุราเพลินอยู่ ลิโป้เข้ามากระซิบข้างหูตั๋งโต๊ะ จึงให้ลิโป้ไปลากตัวเตียวอุ๋นขุนนางผู้หนึ่งที่อยู่ในงานเลี้ยง ลากออกไปข้างนอก ขุนนางทั้งหลายตกตะลึงดูตากัน สักครู่หนึ่งลิโป้หิ้วเอาศีรษะเตียวอุ๋นใส่กระบะเข้ามาให้ตั๋งโต๊ะดู คนทั้งปวงก็ยิ่งตกใจ ตั๋งโต๊ะหัวเราะแล้วจึงว่าท่านทั้งหลายอย่าได้ตกใจ ที่เกิดเหตุนี้เพราะเตียวอุ๋นคิดขบถไปเข้าด้วยกับอ้วนเสี้ยวจะทำร้ายเราจึงให้ฆ่าเสีย พวกท่านมิได้คิดร้ายสมรู้ร่วมคิดด้วยกับมัน ก็อย่าได้เป็นทุกข์กินโต๊ะกันตามสบายต่อไป ตั๋งโต๊ะกับลิโป้ทำการเชือดไก่ให้ลิงดู
ตั้งแต่นั้นมาตั๋งโต๊ะกำเริบเสิบสานหนักข้อขึ้นทุกวัน จัดหาสาวน้อยรูปงามประมาณ800 คนตั้งฮาเร็มสำหรับบำเรอความสุขให้แก่ตน แต่งตั้งยศตัวเองใหม่ เกณฑ์ให้คนทั้งปวงเรียกว่า ซ่องฮู แปลว่าพระราชบิดาเลี้ยง เวลาตั๋งโต๊ะจะไปแห่งใดก็จัดตั้งกระบวนแห่แหนเทียบฮ่องเต้เสด็จ พระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นแค่หุ่นเชิดของ แม่ทัพตั๋งโต๊ะผู้อยู่เหนือกษัตริย์ เหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นเป็นที่ขุ่นเคืองของขุนนางและปวงประชาอย่างยิ่ง พรรคพวกญาติพี่น้องของตั๋งโต๊ะก่อการคอรัปชั่นกันอย่างโจ๋มครึ่มไม่มีใครกล้าหือที่จะเข้าไปตรวจสอบ ไม่กล้าแม้แต่จะคัดค้านท้วงติง ภายในทัพอ้วนเสี้ยวมีการ แอบจับปลาในน้ำขุ่น แต่ทางด้านตั๋งโต๊ะขุนนางกับแม่ทัพนายกอง ต่างจับปลากันในน้ำใส ๆ เห็นกันชัด ๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าหือหรือกล้าเข้าไปแตะต้องแต่อย่างใดไม่ สังคมจีนในยุคนั้นจึงตกอยู่ในสภาพมือใครยาวสาวได้สาวเอา บ้านเมืองระส่ำระสายตกอยู่ในสภาพพาราสาวัตถี ไม่มีใครปราณีใคร
ฝ่ายอ้องอุ้นขุนนางที่มอบดาบโบราณให้โจโฉไปลอบฆ่าตั๋งโต๊ะ ก็ยังคงครุ่นคิดกำจัดตั๋งโต๊ะอยู่มิได้ขาด คืนหนึ่งคิดมากหาได้หลับนอนไม่ ถือไม้เท้าไปยืนพิงถอนหายใจเฮือก ๆ น้ำตารักชาติไหลอยู่ในสวนดอกไม้ ได้ยินเสียงทอดใจของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ก็พบเตียวเสี้ยนบุตรเลี้ยงวัย 16 ปีนั่งทอดใจอยู่ จึงถามว่าดึกสงัดอย่างนี้ทำไม่ยังไม่นอน ลงมาอยู่ในสวนดอกไม้ จะคอยคู่ กำลังมีรักหรือย่างไร
เตียวเสี้ยนคุกเข่าคำนับอ้องอุ้นแล้วจึงว่า มิได้มาคอยใคร ตัวข้าพเจ้าเป็นทาสีที่ท่านเลี้ยงมาแต่เล็ก และให้หัดร้องรำมาแต่น้อย พระคุณท่านหาสุดมิได้ แอบเห็นท่านมีทุกข์ จึงอยากสนองคุณท่าน มาตรว่าชีวิตตัวเองจะตายกระดูกละลายเป็นผง ก็จะมิเสียดายชีวิต วันนี้เห็นท่านมีทุกข์ใหญ่หลวงเศร้าหมองยิ่งกว่าวันก่อน ข้าพเจ้าจึงตามมาดู เผื่อจะได้คิดอ่านสนองคุณท่านจนกว่าชีวิตจะหาไม่
อ้องอุ้นได้ฟังดังนั้น ก็เริ่มมองเห็นอุบายที่จะขจัดตั๋งโต๊ะได้ จึงพาเตียวเสี้ยนลูกเลี้ยงคนงามเข้าห้องหนังสือ ให้เตียวเสี้ยนขึ้นนั่งบนเก้าอี้ แล้วตัวเองคุกเข่าคำนับเตียวเสี้ยน หญิงสาวเห็นดังนั้นก็ตกใจ ลงจากเก้าอี้แล้วกอดขาอ้องอุ้นบิดาเลี้ยงเอาไว้ อ้อนว่าท่านคำนับข้าพเจ้านั้นมิเป็นการสมควร อ้องอุ้นจึงว่าทุกวันนี้ประชาราษฎร์เดือดร้อน ขอให้เจ้าช่วยธุระของแผ่นดินด้วยเถิด ว่าแล้วอ้องอุ่นก็ร่ำไห้พร้อมกับเล่าความนัยของสถานการณ์การบ้านเมืองให้เตียวเสี้ยนฟัง แผนการอุบายหญิงงามจึงได้อุบัติขึ้นตั้งแต่วันนั้น