ตอนที่ 98. พลังชีวิตกับพิษสุรา
โจโฉออกคำสั่งสนามวางโทษประหารชีวิตแก่แม่ทัพนายกองด้านที่ฝ่ายลิโป้เข้าออกเมืองได้แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นคำสั่งปกติ แต่เล่าปี่ยินแล้วไม่วางใจโจโฉเกรงว่าหากพลาดพลั้งโจโฉอาจพาลหาเหตุเอาถึงตาย ครั้นกลับถึงค่ายจึงรีบเรียกกวนอู เตียวหุยมากำชับว่าเจ้าทั้งสองอย่าดูแคลนคำสั่งครั้งนี้ของโจโฉเป็นอันขาด เพราะโจโฉอาจถือเอาเป็นเหตุกำจัดพวกเราก็เป็นได้ กวนอู เตียวหุย ก็รับคำเล่าปี่แล้วออกมาถ่ายทอดคำสั่งให้บรรดาทหารในบังคับบัญชาปฏิบัติต่อไป
ฝ่ายเค้ากี๋และอ๋องก้ายเมื่อหลบหลีกเข้าเมืองแห้ฝือได้จึงพากันเข้าไปพบลิโป้รายงานการไปเจรจาความกับอ้วนสุดให้ทราบทุกประการ ลิโป้จึงว่าสถานการณ์ขณะนี้มีแต่ต้องทำตามที่อ้วนสุดตั้งเงื่อนไข แต่วิตกว่าจะไม่สามารถส่งลูกสาวเราไปให้บุตรอ้วนสุดได้ สองที่ปรึกษาจึงเสนอว่ากรณีมีความจำเป็นที่ท่านต้องนำทหารมีฝีมือคุ้มกันบุตรสาวนำไปส่งอ้วนสุดด้วยตนเอง เพราะแม้ทหารโจโฉจะขัดขวางท่านก็สามารถตีฝ่าออกไปได้ ลิโป้เห็นชอบกับข้อเสนอของสองที่ปรึกษาจึงสั่งให้เตียวเลี้ยวและโกสุ้นจัดเตรียมทหารสามพันให้พร้อมที่จะตีฝ่าออกไปในคืนนี้
ครั้นสองยามผ่านไปลิโป้จึงให้เอาแพรสีมัดบุตรีสะพายแล่งไว้ข้างหลังเอาเสื้อเกราะคลุมทับขึ้นม้าถือทวนประจำกายแล้วไปที่กองทหาร ซึ่งเตียวเลี้ยวได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว สั่งให้เคลื่อนกำลังออกจากประตูเมืองไปท่ามกลางความมืด
ครั้นลิโป้ไปใกล้จะถึงค่ายของเล่าปี่ก็ได้ยินเสียงกลองศึกดังขึ้น ทันใดนั้นกวนอู เตียวหุยได้คุมทหารออกมาสกัดหน้าลิโป้ไว้
ลิโป้เห็นดังนั้นก็ตกใจจึงรีบตีฝ่าเพื่อจะไปให้พ้นจากการถูกสกัดกั้นโดยเร็ว แต่บุตรีซึ่งเป็นเครื่องหลังกีดขวางกระบวนทวนให้ติดขัด ทั้งในขณะนั้นเล่าปี่ได้ยกทหารหนุนเนื่องเข้ามา และพอดีที่ซิหลงกับเคาทูสองนายทหารเอกของโจโฉก็คุมทหารตามมาทัน ลิโป้เห็นท่าจะตีฝ่าออกไปไม่สำเร็จ ทั้งเกรงว่าบุตรสาวจะเป็นอันตราย จึงชักม้าหันหลังกลับแล้วพาทหารตีฝ่ากลับเข้าเมืองแห้ฝือ
ลิโป้ทำการไม่สมความคิดก็เกิดความท้อแท้หาทางออกไม่ได้จึงเรียกหาสุรามาดื่มจนเมามาย และยึดถือเอาสุราเป็นเครื่องประโลมใจทุกวันไม่ยอมออกรบกับโจโฉถึงสองเดือนเต็ม จนราศีเศร้าหมองผิดรูปผิดร่างที่เคยสง่างามไปเป็นคนละคน ใบหน้าที่เคยขาวเจือชมพูระเรื่อกลับกลายเป็นเขียวคล้ำ
คนเรานั้นมีพลังชีวิตประจำอยู่ทุกตัวคน ยามใดสุขภาพสมบูรณ์สีแดงซึ่งเป็นพลังชีวิตก็จะปรากฎให้เห็นทั่วร่างและเปล่งประกายเด่นชัดที่สีหน้าที่เห็นได้ด้วยจักษุธรรมดาว่าราศีสดใสอิ่มเอิบ แต่ยามใดเศร้าหมองหรือสุขภาพไม่ปกติสีเขียวซึ่งเป็นพลังแห่งความตายก็จะปรากฎให้เห็นได้ด้วยจักษุธรรมดาเช่นเดียวกัน
สีเขียวปรากฎขึ้นที่ส่วนใดของร่างกายย่อมเป็นสัญญาณว่าส่วนนั้นกำลังถูกพลังแห่งความตายเข้าสัมผัส พลังแห่งความตายนั้นจะมากน้อยหรืออ่อนแรงประการใดย่อมขึ้นอยู่กับความเข้มและปริมณฑลแห่งสัญญาณสีเขียวว่ามากน้อยหรือเข้มอ่อนประการนั้น การแพทย์แผนโบราณจึงได้อาศัยเป็นที่ตั้งแห่งการวินิจฉัยโรคแลสมมุติฐานของโรคได้อย่างแม่นยำ
สีเขียวคล้ำที่ครอบงำใบหน้า และขอบตาทั้งสองของลิโป้จึงเป็นพลังแห่งความตายที่เยื้องกรายเข้าสัมผัสลิโป้แล้ว ดวงตานั้นเป็นหน้าต่างแห่งดวงจิต แม้นใจคิดงามงด ตาสดใส คิดชั่วช้าตาก็บอกออกความนัย ลิโป้คิดแก้ไขการศึกไม่ตก โรคจึงกำเริบขึ้นในใจ พลังแห่งความตายจึงสะท้อนออกทางขอบตาทั้งสอง ครั้นเวลาล่วงผ่านไปก็ยิ่งทรุดหนักลง ปริมณฑลของสีเขียวคล้ำจึงลุกลามจากขอบตาครอบงำทั้งใบหน้า ความหมองคล้ำดังนี้เรียกกันว่า “ราศีเศร้าหมอง” ผู้ชาญเชิงนรลักษณ์จึงอ่านสถานการณ์ของผู้คนได้กระจ่างถึงแก่นแท้ เพราะได้อ่านจากธาตุแท้หรือสมมุติฐานของปรากฏการณ์นั่นเอง
นางเหงียมซีเห็นผู้เป็นผัวมีราศีเศร้าหมองดั่งนี้ก็ตกใจ ได้กล่าวเตือนลิโป้ให้ละวางสุราแต่ลิโป้ไม่ฟังคำ จึงเอากระจกให้ลิโป้ส่องดูใบหน้าตัวเอง ครั้นลิโป้เห็นประจักษ์สภาพสังขารตนก็ตกใจ “คิดว่าเป็นเหตุทั้งนี้เพราะกินสุรา สุรานี้เป็นโทษมากนัก ถึงผู้ใดรูปงามก็เศร้าหมองเพราะสุรา” จึงออกคำสั่งห้ามมิให้ทหารทั้งปวงดื่มสุรา และกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนถึงประหารชีวิต
ฝ่ายเตียวเอ๋งซึ่งเป็นเจ้าเมืองโห้ลายได้ทราบข่าวว่าโจโฉยกกองทัพมารบลิโป้ก็เกรงว่าหากโจโฉได้เมืองแห้ฝือแล้วจะยกไปยึดเมืองโห้ลาย จึงยกกองทัพจะไปช่วยลิโป้ แต่เอียวสิวนายทหารได้คัดค้านว่าเมืองโห้ลายเป็นส่วนหนึ่งแห่งราชอาณาจักรฮั่น มิได้มีเหตุขัดข้องหมองใจกันแต่ประการใด จึงไม่ควรเข้าเกี่ยวข้องด้วยกรณีนี้ การยกกองทัพไปช่วยลิโป้เป็นการชักศึกเข้าบ้าน อาณาประชาราษฎรจะได้รับความเดือดร้อนในภายหลัง
เตียวเอ๋งไม่ฟังคำทัดทานกลับหาว่าเอียวสิวไม่เป็นใจในราชการ ด่าว่า เอียวสิวต่าง ๆ นานา เอียวสิวจึงผูกใจเจ็บและเห็นว่าหากปล่อยให้เตียวเอ๋งทำการตามความคิดจะเกิดอันตรายแก่บ้านเมืองแลราษฎร จึงวางแผนสังหารเตียวเอ๋งเสียแล้วตัดศีรษะจะเอามามอบแก่โจโฉเพื่อเอาความชอบในราชการ
ในขณะที่กำลังเดินทางจะไปหาโจโฉนั้น อุยก้อซึ่งเป็นนายทหารคนสนิทของเตียวเอ๋งได้ยกทหารไล่ตามมาทันจับเอียวสิวประหารชีวิต และเอาศีรษะเตียวเอ๋งกลับไปเมืองโห้ลายได้
ครั้นโจโฉทราบความก็คาดหมายว่าภายในเมืองโห้ลายเหตุการณ์ย่อมไม่เป็นปกติ จึงสั่งให้สูหวนคุมทหารไปยึดเมืองโห้ลาย สูหวนรับคำสั่งแล้วยกกองทัพไปเมืองโห้ลาย ทหารภายในเมืองได้ทราบข่าวว่าเตียวเอ๋งเจ้าเมืองตายแล้วจึงไม่เป็นใจสู้รบ เปิดประตูเมืองรับกองทัพของสูหวนแล้วยอมสวามิภักดิ์ สูหวนเข้าเมืองได้แล้วสั่งทหารให้จับอุยก้อประหารชีวิต ตัดศีรษะเสียบประจานว่าเป็นขบถต่อแผ่นดิน แล้วให้เสียบศีรษะปักไว้ที่เชิงเทิน
โจโฉล้อมเมืองแห้ฝือกว่าสองเดือนก็ยังไม่สามารถยึดเมืองได้ ฝนแรกแห่งวสันตฤดูก็โปรยมา น้ำเหนือเริ่มหลากไหลบ่าเอ่อแม่น้ำทางด้านตะวันตกของตัวเมือง โจโฉวิตกว่าทหารจะลำบากจึงปรึกษาด้วยที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่ากองทัพของเรายกมาจากเมืองหลวงเป็นเวลาช้านานแล้ว เสบียงอาหารก็ร่อยหรอ ทหารก็อิดโรยเต็มที ทั้งบัดนี้เตียวเอ๋งก็ตายแล้วศัตรูทางฝ่ายเหนือเหลืออยู่แต่เพียงอ้วนเสี้ยว ศัตรูทางฝ่ายตะวันตกยังมีเล่าเปียวและเตียวสิ้วซึ่งกล้าแข็งอยู่วางใจไม่ได้ ทั้งเวลานี้ก็เป็นฤดูฝนทหารจะได้ไข้แลลำบาก ดังนั้นเราจึงคิดที่จะเลิกทัพกลับเมืองหลวงบำรุงทแกล้วทหารให้เข้มแข็งสมบูรณ์แล้วจึงค่อยยกมาทำการใหม่ ท่านทั้งปวงจะมีความเห็นประการใด
ความตอนนี้ดูเหมือนว่าโจโฉจะมีศัตรูเพียงลิโป้ เล่าเปียว เตียวสิ้วและอ้วนเสี้ยวเท่านั้น แต่ความจริงเป็นการกล่าวเชิงปฏิบัติการทางจิตวิทยาของโจโฉเพื่อมิให้ทหารเสียกำลังใจ และคิดไปได้ว่าไฉนคนแบบโจโฉจึงมีศัตรูมากมาย เพราะบัดนี้ศัตรูของโจโฉยังมีมากกว่าที่กล่าว เช่น อ้วนสุด ซุนเซ็ก เล่าปี่ กองซุนจ้าน หรือแม้แต่ขุนนางในราชสำนักอีกจำนวนไม่น้อย
ความคิดที่จะเลิกทัพในครั้งนี้ได้แสดงว่าความคิดและความรู้ของโจโฉที่จะเอาชนะต่อลิโป้ในสถานการณ์ที่กล่าวแล้วนั้นได้มาถึงจุดอับจนแล้ว ที่สำคัญคือยังขาดความรู้เกี่ยวกับการใช้พลังจักรวาลจากธาตุน้ำซึ่งมีมาตามฤดูกาล เพราะการทั้งปวงนั้นหาได้มีด้านที่เป็นคุณหรือโทษแต่เพียงด้านเดียวไม่ หากยังมีด้านที่ตรงกันข้ามดำรงอยู่คู่กันเสมอไป ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดมีสติปัญญาคิดอ่านใช้ด้านที่เป็นคุณให้เกิดอานุภาพได้เพียงใดหรือไม่เท่านั้น
แม้สงครามก็หาได้พ้นไปจากกฎเอกภาพแห่งความขัดแย้งนี้ไม่ สงครามมีคุณสมบัติในการทำลายล้างซึ่งเป็นด้านที่เป็นโทษก็จริงอยู่ แต่สงครามก็มีคุณสมบัติในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ซึ่งเป็นด้านที่เป็นคุณดำรงอยู่พร้อมกันไปด้วย เหตุนี้สงครามในประวัติศาสตร์จึงจำแนกเป็นสงครามที่เป็นธรรมและสงครามที่ไม่เป็นธรรม สงครามทำให้เกิดความพินาศ และสูญเสีย แต่สงครามก็ได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้น ธุรกิจจำนวนมาก เศรษฐีใหม่จำนวนมากที่รู้จักกุมโอกาสก็สามารถอาศัยประโยชน์จากสงครามนั้นได้
ซุนฮกที่ปรึกษาจึงเสนอว่าลิโป้กำลังตกอยู่ในตาอับ หากเป็นหมากรุกสถานการณ์ข้างฝ่ายลิโป้กำลังใกล้อับจนเต็มประดาแล้ว ดังนั้นหากท่านเลิกทัพกลับไปในโอกาสเช่นนี้ชัยชนะก็จะห่างไกลออกไป ทั้งลิโป้ก็จะอาศัยโอกาสนี้ฟื้นตัวแล้วกระชับไมตรีกับอ้วนสุดจะทำให้สถานการณ์ยิ่งยากลำบาก จึงขอให้ท่านมานะทำการให้ได้ชัยชนะเสียแต่ในครั้งนี้
กุยแกที่ปรึกษาได้กล่าวสนับสนุนความคิดของซุนฮกและว่าฤดูฝนและน้ำเหนือที่หลากมานี้ประดุจดังเทพยดาประทานชัยชนะให้แก่ท่านแล้ว
โจโฉสงสัยจึงถามว่าจะเอาชัยชนะต่อลิโป้ได้โดยประการใด
กุยแกจึงไขว่าลักษณะภูมิประเทศของเมืองแห้ฝือนี้มีแม่น้ำไหลผ่านตัวเมืองด้านตะวันตก ดังนั้นจึงขอให้ท่านสั่งการให้ทำเขื่อนทดน้ำไว้ที่ปลายน้ำทางด้านทิศใต้ ครั้นน้ำเหนือหลากแรงมาน้ำก็จะท่วมเมืองแห้ฝือ ลิโป้คงถึงกาลปราชัยในครั้งนี้ เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงว่าเทพดาได้ประทานชัยชนะแก่ท่านแล้ว
โจโฉฟังข้อเสนอของกุยแกแล้วเห็นกระจ่างในชัยชนะจึงมีความยินดียิ่งนักสั่งการให้ทำการทดน้ำตามแผนของกุยแก และเพื่อเร่งให้น้ำท่วมเมืองเร็วขึ้นจึงให้ทำทำนบตามแนวฝั่งแม่น้ำฝั่งตะวันตกบังคับให้น้ำสูงท่วมเมืองมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
ครั้นฝนตกหนักน้ำเหนือหลากแรงไหล่บ่าล้นทั้งสองฝั่งของแม่น้ำและไหลเข้าในเมือง ท่วมเมืองแห้ฝือเกือบทั้งเมือง คงเหลือแต่ด้านตะวันออกของเมืองซึ่งเป็นที่ดอนเท่านั้นที่น้ำท่วมไม่ถึง ชาวเมืองและทหารต้องพากันหนีน้ำไปอยู่บนที่ดอนได้รับความลำบากและอดอยากแสนสาหัสจึงพากันไปร้องทุกข์ต่อลิโป้แต่ไม่ได้รับการแก้ไขแต่ประการใด มิหนำซ้ำยังกล่าวคล้ายกับรัฐบาลศรีธนญชัยว่าน้ำท่วมดั่งนี้ดีกว่าฝนแล้ง และนี่คือผลงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาภัยแล้งได้สำเร็จแล้ว
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเฮาเสงนายกองม้าได้จับทหารที่แอบลักม้าเอาไปให้แก่เล่าปี่ได้ บรรดาเพื่อนนายทหารจึงพากันไปเยี่ยมเฮาเสงและขอร้องให้เฮาเสงจัดโต๊ะเลี้ยงสุราอาหาร เฮาเสงขัดใจพวกไม่ได้แต่เกรงอาญาลิโป้ที่ห้ามทหารดื่มสุราจึงไปขออนุญาตต่อลิโป้
ลิโป้กำลังเครียดหาทางออกในการศึกไม่ได้ ครั้นได้ยินคำเฮาเสงขออนุญาตเลี้ยงสุราเพื่อนนายทหารก็โกรธหาว่าเฮาเสงไม่เคารพวินัยศึก จึงสั่งให้ทหารเอาตัวเฮาเสงไปประหาร
ซงเหียน งุยซกและเพื่อนนายทหารเห็นดังนั้นก็ตกใจ แล้วช่วยกันขออภัยโทษให้กับเฮาเสง ลิโป้เห็นนายทหารจำนวนมากขอร้องก็เว้นโทษตายให้แต่ให้เฆี่ยนเฮาเสงห้าสิบที
หลังจากเฮาเสงกลับไปบ้านบรรดาเพื่อนทหารก็พากับไปเยี่ยมอาการเจ็บ เฮาเสงเห็นเพื่อนทหารมาเยี่ยมก็ลุกขึ้นจากที่คารวะขอบคุณผองเพื่อนที่ช่วยขอชีวิตแล้วนึกน้อยใจร่ำไห้ต่อหน้าเพื่อนนายทหาร
เพื่อนนายทหารทั้งนั้นเห็นอาการของเฮาเสงก็พากันสลดใจ ซงเหียนจึงว่าบัดนี้ลิโป้เปลี่ยนแปรไปแล้วไม่ฟังความคิดที่ปรึกษาแลแม่ทัพนายกอง ฟังแต่คำภรรยามาปกครองบ้านเมืองและราชการสงคราม มีปัญหาในราชการก็ไม่แก้ไข ขืนอยู่กับลิโป้ต่อไปก็จะพากันตายสิ้น ควรที่พวกเราจะได้แยกย้ายหนีเอาชีวิตรอดกันเถิด
งุยซกได้ยินคำซงเหียนเช่นนั้นจึงว่า พวกเราเป็นทหารทำการศึกไม่กลัวยาก ไม่กลัวตาย แต่มาบัดนี้เมื่อลิโป้ตกเป็นทาสแห่งสุรา อยู่ภายใต้น้ำคำของสตรี ครั้นจะหนีไปก็เหมือนหนึ่งไม่สำนึกในเกียรติศักดิ์แห่งทหาร ดังนั้นเมื่อจะไม่ร่วมการด้วยลิโป้แล้ว ชอบที่จะขอเข้าด้วยโจโฉ เป็นข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงจะดำรงศักดิ์และศรีของชายชาติทหารเอาไว้ได้ และในการไปขอเข้าด้วยโจโฉนี้ย่อมสมควรที่จะกำจัดลิโป้ซึ่งเป็นศัตรูแผ่นดินเป็นความชอบไว้ในราชการในครั้งนี้
เฮาเสงจึงว่าลิโป้บัดนี้หลงใหลอยู่กับสุราจนสุขภาพทรุดโทรม แต่กระนั้นความเข้มแข็งของลิโป้ก็ใช่ว่าจะหมดไป เพราะยังมีม้าเซ็กเธาว์และทวนประจำกายที่มีอานุภาพร้ายแรงสำหรับตัวอยู่ ดังนั้นหากพวกเราคิดจะกำจัดลิโป้ ข้าพเจ้าจะลักม้าเซ็กเธาว์เอาไปมอบแก่โจโฉ แล้วแจ้งความทั้งปวงให้โจโฉได้รับทราบไว้ชั้นหนึ่งก่อน
บรรดานายทหาร ณ ที่นั้นเห็นด้วยกับความคิดของซงเหียน งุยซก และ เฮาเสง จึงจับมือกระทำสัตย์ต่อกันว่าจะตั้งใจทำการตามแผนการนี้ให้สำเร็จ.
ฝ่ายเค้ากี๋และอ๋องก้ายเมื่อหลบหลีกเข้าเมืองแห้ฝือได้จึงพากันเข้าไปพบลิโป้รายงานการไปเจรจาความกับอ้วนสุดให้ทราบทุกประการ ลิโป้จึงว่าสถานการณ์ขณะนี้มีแต่ต้องทำตามที่อ้วนสุดตั้งเงื่อนไข แต่วิตกว่าจะไม่สามารถส่งลูกสาวเราไปให้บุตรอ้วนสุดได้ สองที่ปรึกษาจึงเสนอว่ากรณีมีความจำเป็นที่ท่านต้องนำทหารมีฝีมือคุ้มกันบุตรสาวนำไปส่งอ้วนสุดด้วยตนเอง เพราะแม้ทหารโจโฉจะขัดขวางท่านก็สามารถตีฝ่าออกไปได้ ลิโป้เห็นชอบกับข้อเสนอของสองที่ปรึกษาจึงสั่งให้เตียวเลี้ยวและโกสุ้นจัดเตรียมทหารสามพันให้พร้อมที่จะตีฝ่าออกไปในคืนนี้
ครั้นสองยามผ่านไปลิโป้จึงให้เอาแพรสีมัดบุตรีสะพายแล่งไว้ข้างหลังเอาเสื้อเกราะคลุมทับขึ้นม้าถือทวนประจำกายแล้วไปที่กองทหาร ซึ่งเตียวเลี้ยวได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว สั่งให้เคลื่อนกำลังออกจากประตูเมืองไปท่ามกลางความมืด
ครั้นลิโป้ไปใกล้จะถึงค่ายของเล่าปี่ก็ได้ยินเสียงกลองศึกดังขึ้น ทันใดนั้นกวนอู เตียวหุยได้คุมทหารออกมาสกัดหน้าลิโป้ไว้
ลิโป้เห็นดังนั้นก็ตกใจจึงรีบตีฝ่าเพื่อจะไปให้พ้นจากการถูกสกัดกั้นโดยเร็ว แต่บุตรีซึ่งเป็นเครื่องหลังกีดขวางกระบวนทวนให้ติดขัด ทั้งในขณะนั้นเล่าปี่ได้ยกทหารหนุนเนื่องเข้ามา และพอดีที่ซิหลงกับเคาทูสองนายทหารเอกของโจโฉก็คุมทหารตามมาทัน ลิโป้เห็นท่าจะตีฝ่าออกไปไม่สำเร็จ ทั้งเกรงว่าบุตรสาวจะเป็นอันตราย จึงชักม้าหันหลังกลับแล้วพาทหารตีฝ่ากลับเข้าเมืองแห้ฝือ
ลิโป้ทำการไม่สมความคิดก็เกิดความท้อแท้หาทางออกไม่ได้จึงเรียกหาสุรามาดื่มจนเมามาย และยึดถือเอาสุราเป็นเครื่องประโลมใจทุกวันไม่ยอมออกรบกับโจโฉถึงสองเดือนเต็ม จนราศีเศร้าหมองผิดรูปผิดร่างที่เคยสง่างามไปเป็นคนละคน ใบหน้าที่เคยขาวเจือชมพูระเรื่อกลับกลายเป็นเขียวคล้ำ
คนเรานั้นมีพลังชีวิตประจำอยู่ทุกตัวคน ยามใดสุขภาพสมบูรณ์สีแดงซึ่งเป็นพลังชีวิตก็จะปรากฎให้เห็นทั่วร่างและเปล่งประกายเด่นชัดที่สีหน้าที่เห็นได้ด้วยจักษุธรรมดาว่าราศีสดใสอิ่มเอิบ แต่ยามใดเศร้าหมองหรือสุขภาพไม่ปกติสีเขียวซึ่งเป็นพลังแห่งความตายก็จะปรากฎให้เห็นได้ด้วยจักษุธรรมดาเช่นเดียวกัน
สีเขียวปรากฎขึ้นที่ส่วนใดของร่างกายย่อมเป็นสัญญาณว่าส่วนนั้นกำลังถูกพลังแห่งความตายเข้าสัมผัส พลังแห่งความตายนั้นจะมากน้อยหรืออ่อนแรงประการใดย่อมขึ้นอยู่กับความเข้มและปริมณฑลแห่งสัญญาณสีเขียวว่ามากน้อยหรือเข้มอ่อนประการนั้น การแพทย์แผนโบราณจึงได้อาศัยเป็นที่ตั้งแห่งการวินิจฉัยโรคแลสมมุติฐานของโรคได้อย่างแม่นยำ
สีเขียวคล้ำที่ครอบงำใบหน้า และขอบตาทั้งสองของลิโป้จึงเป็นพลังแห่งความตายที่เยื้องกรายเข้าสัมผัสลิโป้แล้ว ดวงตานั้นเป็นหน้าต่างแห่งดวงจิต แม้นใจคิดงามงด ตาสดใส คิดชั่วช้าตาก็บอกออกความนัย ลิโป้คิดแก้ไขการศึกไม่ตก โรคจึงกำเริบขึ้นในใจ พลังแห่งความตายจึงสะท้อนออกทางขอบตาทั้งสอง ครั้นเวลาล่วงผ่านไปก็ยิ่งทรุดหนักลง ปริมณฑลของสีเขียวคล้ำจึงลุกลามจากขอบตาครอบงำทั้งใบหน้า ความหมองคล้ำดังนี้เรียกกันว่า “ราศีเศร้าหมอง” ผู้ชาญเชิงนรลักษณ์จึงอ่านสถานการณ์ของผู้คนได้กระจ่างถึงแก่นแท้ เพราะได้อ่านจากธาตุแท้หรือสมมุติฐานของปรากฏการณ์นั่นเอง
นางเหงียมซีเห็นผู้เป็นผัวมีราศีเศร้าหมองดั่งนี้ก็ตกใจ ได้กล่าวเตือนลิโป้ให้ละวางสุราแต่ลิโป้ไม่ฟังคำ จึงเอากระจกให้ลิโป้ส่องดูใบหน้าตัวเอง ครั้นลิโป้เห็นประจักษ์สภาพสังขารตนก็ตกใจ “คิดว่าเป็นเหตุทั้งนี้เพราะกินสุรา สุรานี้เป็นโทษมากนัก ถึงผู้ใดรูปงามก็เศร้าหมองเพราะสุรา” จึงออกคำสั่งห้ามมิให้ทหารทั้งปวงดื่มสุรา และกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนถึงประหารชีวิต
ฝ่ายเตียวเอ๋งซึ่งเป็นเจ้าเมืองโห้ลายได้ทราบข่าวว่าโจโฉยกกองทัพมารบลิโป้ก็เกรงว่าหากโจโฉได้เมืองแห้ฝือแล้วจะยกไปยึดเมืองโห้ลาย จึงยกกองทัพจะไปช่วยลิโป้ แต่เอียวสิวนายทหารได้คัดค้านว่าเมืองโห้ลายเป็นส่วนหนึ่งแห่งราชอาณาจักรฮั่น มิได้มีเหตุขัดข้องหมองใจกันแต่ประการใด จึงไม่ควรเข้าเกี่ยวข้องด้วยกรณีนี้ การยกกองทัพไปช่วยลิโป้เป็นการชักศึกเข้าบ้าน อาณาประชาราษฎรจะได้รับความเดือดร้อนในภายหลัง
เตียวเอ๋งไม่ฟังคำทัดทานกลับหาว่าเอียวสิวไม่เป็นใจในราชการ ด่าว่า เอียวสิวต่าง ๆ นานา เอียวสิวจึงผูกใจเจ็บและเห็นว่าหากปล่อยให้เตียวเอ๋งทำการตามความคิดจะเกิดอันตรายแก่บ้านเมืองแลราษฎร จึงวางแผนสังหารเตียวเอ๋งเสียแล้วตัดศีรษะจะเอามามอบแก่โจโฉเพื่อเอาความชอบในราชการ
ในขณะที่กำลังเดินทางจะไปหาโจโฉนั้น อุยก้อซึ่งเป็นนายทหารคนสนิทของเตียวเอ๋งได้ยกทหารไล่ตามมาทันจับเอียวสิวประหารชีวิต และเอาศีรษะเตียวเอ๋งกลับไปเมืองโห้ลายได้
ครั้นโจโฉทราบความก็คาดหมายว่าภายในเมืองโห้ลายเหตุการณ์ย่อมไม่เป็นปกติ จึงสั่งให้สูหวนคุมทหารไปยึดเมืองโห้ลาย สูหวนรับคำสั่งแล้วยกกองทัพไปเมืองโห้ลาย ทหารภายในเมืองได้ทราบข่าวว่าเตียวเอ๋งเจ้าเมืองตายแล้วจึงไม่เป็นใจสู้รบ เปิดประตูเมืองรับกองทัพของสูหวนแล้วยอมสวามิภักดิ์ สูหวนเข้าเมืองได้แล้วสั่งทหารให้จับอุยก้อประหารชีวิต ตัดศีรษะเสียบประจานว่าเป็นขบถต่อแผ่นดิน แล้วให้เสียบศีรษะปักไว้ที่เชิงเทิน
โจโฉล้อมเมืองแห้ฝือกว่าสองเดือนก็ยังไม่สามารถยึดเมืองได้ ฝนแรกแห่งวสันตฤดูก็โปรยมา น้ำเหนือเริ่มหลากไหลบ่าเอ่อแม่น้ำทางด้านตะวันตกของตัวเมือง โจโฉวิตกว่าทหารจะลำบากจึงปรึกษาด้วยที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่ากองทัพของเรายกมาจากเมืองหลวงเป็นเวลาช้านานแล้ว เสบียงอาหารก็ร่อยหรอ ทหารก็อิดโรยเต็มที ทั้งบัดนี้เตียวเอ๋งก็ตายแล้วศัตรูทางฝ่ายเหนือเหลืออยู่แต่เพียงอ้วนเสี้ยว ศัตรูทางฝ่ายตะวันตกยังมีเล่าเปียวและเตียวสิ้วซึ่งกล้าแข็งอยู่วางใจไม่ได้ ทั้งเวลานี้ก็เป็นฤดูฝนทหารจะได้ไข้แลลำบาก ดังนั้นเราจึงคิดที่จะเลิกทัพกลับเมืองหลวงบำรุงทแกล้วทหารให้เข้มแข็งสมบูรณ์แล้วจึงค่อยยกมาทำการใหม่ ท่านทั้งปวงจะมีความเห็นประการใด
ความตอนนี้ดูเหมือนว่าโจโฉจะมีศัตรูเพียงลิโป้ เล่าเปียว เตียวสิ้วและอ้วนเสี้ยวเท่านั้น แต่ความจริงเป็นการกล่าวเชิงปฏิบัติการทางจิตวิทยาของโจโฉเพื่อมิให้ทหารเสียกำลังใจ และคิดไปได้ว่าไฉนคนแบบโจโฉจึงมีศัตรูมากมาย เพราะบัดนี้ศัตรูของโจโฉยังมีมากกว่าที่กล่าว เช่น อ้วนสุด ซุนเซ็ก เล่าปี่ กองซุนจ้าน หรือแม้แต่ขุนนางในราชสำนักอีกจำนวนไม่น้อย
ความคิดที่จะเลิกทัพในครั้งนี้ได้แสดงว่าความคิดและความรู้ของโจโฉที่จะเอาชนะต่อลิโป้ในสถานการณ์ที่กล่าวแล้วนั้นได้มาถึงจุดอับจนแล้ว ที่สำคัญคือยังขาดความรู้เกี่ยวกับการใช้พลังจักรวาลจากธาตุน้ำซึ่งมีมาตามฤดูกาล เพราะการทั้งปวงนั้นหาได้มีด้านที่เป็นคุณหรือโทษแต่เพียงด้านเดียวไม่ หากยังมีด้านที่ตรงกันข้ามดำรงอยู่คู่กันเสมอไป ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดมีสติปัญญาคิดอ่านใช้ด้านที่เป็นคุณให้เกิดอานุภาพได้เพียงใดหรือไม่เท่านั้น
แม้สงครามก็หาได้พ้นไปจากกฎเอกภาพแห่งความขัดแย้งนี้ไม่ สงครามมีคุณสมบัติในการทำลายล้างซึ่งเป็นด้านที่เป็นโทษก็จริงอยู่ แต่สงครามก็มีคุณสมบัติในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ซึ่งเป็นด้านที่เป็นคุณดำรงอยู่พร้อมกันไปด้วย เหตุนี้สงครามในประวัติศาสตร์จึงจำแนกเป็นสงครามที่เป็นธรรมและสงครามที่ไม่เป็นธรรม สงครามทำให้เกิดความพินาศ และสูญเสีย แต่สงครามก็ได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้น ธุรกิจจำนวนมาก เศรษฐีใหม่จำนวนมากที่รู้จักกุมโอกาสก็สามารถอาศัยประโยชน์จากสงครามนั้นได้
ซุนฮกที่ปรึกษาจึงเสนอว่าลิโป้กำลังตกอยู่ในตาอับ หากเป็นหมากรุกสถานการณ์ข้างฝ่ายลิโป้กำลังใกล้อับจนเต็มประดาแล้ว ดังนั้นหากท่านเลิกทัพกลับไปในโอกาสเช่นนี้ชัยชนะก็จะห่างไกลออกไป ทั้งลิโป้ก็จะอาศัยโอกาสนี้ฟื้นตัวแล้วกระชับไมตรีกับอ้วนสุดจะทำให้สถานการณ์ยิ่งยากลำบาก จึงขอให้ท่านมานะทำการให้ได้ชัยชนะเสียแต่ในครั้งนี้
กุยแกที่ปรึกษาได้กล่าวสนับสนุนความคิดของซุนฮกและว่าฤดูฝนและน้ำเหนือที่หลากมานี้ประดุจดังเทพยดาประทานชัยชนะให้แก่ท่านแล้ว
โจโฉสงสัยจึงถามว่าจะเอาชัยชนะต่อลิโป้ได้โดยประการใด
กุยแกจึงไขว่าลักษณะภูมิประเทศของเมืองแห้ฝือนี้มีแม่น้ำไหลผ่านตัวเมืองด้านตะวันตก ดังนั้นจึงขอให้ท่านสั่งการให้ทำเขื่อนทดน้ำไว้ที่ปลายน้ำทางด้านทิศใต้ ครั้นน้ำเหนือหลากแรงมาน้ำก็จะท่วมเมืองแห้ฝือ ลิโป้คงถึงกาลปราชัยในครั้งนี้ เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงว่าเทพดาได้ประทานชัยชนะแก่ท่านแล้ว
โจโฉฟังข้อเสนอของกุยแกแล้วเห็นกระจ่างในชัยชนะจึงมีความยินดียิ่งนักสั่งการให้ทำการทดน้ำตามแผนของกุยแก และเพื่อเร่งให้น้ำท่วมเมืองเร็วขึ้นจึงให้ทำทำนบตามแนวฝั่งแม่น้ำฝั่งตะวันตกบังคับให้น้ำสูงท่วมเมืองมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
ครั้นฝนตกหนักน้ำเหนือหลากแรงไหล่บ่าล้นทั้งสองฝั่งของแม่น้ำและไหลเข้าในเมือง ท่วมเมืองแห้ฝือเกือบทั้งเมือง คงเหลือแต่ด้านตะวันออกของเมืองซึ่งเป็นที่ดอนเท่านั้นที่น้ำท่วมไม่ถึง ชาวเมืองและทหารต้องพากันหนีน้ำไปอยู่บนที่ดอนได้รับความลำบากและอดอยากแสนสาหัสจึงพากันไปร้องทุกข์ต่อลิโป้แต่ไม่ได้รับการแก้ไขแต่ประการใด มิหนำซ้ำยังกล่าวคล้ายกับรัฐบาลศรีธนญชัยว่าน้ำท่วมดั่งนี้ดีกว่าฝนแล้ง และนี่คือผลงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาภัยแล้งได้สำเร็จแล้ว
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเฮาเสงนายกองม้าได้จับทหารที่แอบลักม้าเอาไปให้แก่เล่าปี่ได้ บรรดาเพื่อนนายทหารจึงพากันไปเยี่ยมเฮาเสงและขอร้องให้เฮาเสงจัดโต๊ะเลี้ยงสุราอาหาร เฮาเสงขัดใจพวกไม่ได้แต่เกรงอาญาลิโป้ที่ห้ามทหารดื่มสุราจึงไปขออนุญาตต่อลิโป้
ลิโป้กำลังเครียดหาทางออกในการศึกไม่ได้ ครั้นได้ยินคำเฮาเสงขออนุญาตเลี้ยงสุราเพื่อนนายทหารก็โกรธหาว่าเฮาเสงไม่เคารพวินัยศึก จึงสั่งให้ทหารเอาตัวเฮาเสงไปประหาร
ซงเหียน งุยซกและเพื่อนนายทหารเห็นดังนั้นก็ตกใจ แล้วช่วยกันขออภัยโทษให้กับเฮาเสง ลิโป้เห็นนายทหารจำนวนมากขอร้องก็เว้นโทษตายให้แต่ให้เฆี่ยนเฮาเสงห้าสิบที
หลังจากเฮาเสงกลับไปบ้านบรรดาเพื่อนทหารก็พากับไปเยี่ยมอาการเจ็บ เฮาเสงเห็นเพื่อนทหารมาเยี่ยมก็ลุกขึ้นจากที่คารวะขอบคุณผองเพื่อนที่ช่วยขอชีวิตแล้วนึกน้อยใจร่ำไห้ต่อหน้าเพื่อนนายทหาร
เพื่อนนายทหารทั้งนั้นเห็นอาการของเฮาเสงก็พากันสลดใจ ซงเหียนจึงว่าบัดนี้ลิโป้เปลี่ยนแปรไปแล้วไม่ฟังความคิดที่ปรึกษาแลแม่ทัพนายกอง ฟังแต่คำภรรยามาปกครองบ้านเมืองและราชการสงคราม มีปัญหาในราชการก็ไม่แก้ไข ขืนอยู่กับลิโป้ต่อไปก็จะพากันตายสิ้น ควรที่พวกเราจะได้แยกย้ายหนีเอาชีวิตรอดกันเถิด
งุยซกได้ยินคำซงเหียนเช่นนั้นจึงว่า พวกเราเป็นทหารทำการศึกไม่กลัวยาก ไม่กลัวตาย แต่มาบัดนี้เมื่อลิโป้ตกเป็นทาสแห่งสุรา อยู่ภายใต้น้ำคำของสตรี ครั้นจะหนีไปก็เหมือนหนึ่งไม่สำนึกในเกียรติศักดิ์แห่งทหาร ดังนั้นเมื่อจะไม่ร่วมการด้วยลิโป้แล้ว ชอบที่จะขอเข้าด้วยโจโฉ เป็นข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงจะดำรงศักดิ์และศรีของชายชาติทหารเอาไว้ได้ และในการไปขอเข้าด้วยโจโฉนี้ย่อมสมควรที่จะกำจัดลิโป้ซึ่งเป็นศัตรูแผ่นดินเป็นความชอบไว้ในราชการในครั้งนี้
เฮาเสงจึงว่าลิโป้บัดนี้หลงใหลอยู่กับสุราจนสุขภาพทรุดโทรม แต่กระนั้นความเข้มแข็งของลิโป้ก็ใช่ว่าจะหมดไป เพราะยังมีม้าเซ็กเธาว์และทวนประจำกายที่มีอานุภาพร้ายแรงสำหรับตัวอยู่ ดังนั้นหากพวกเราคิดจะกำจัดลิโป้ ข้าพเจ้าจะลักม้าเซ็กเธาว์เอาไปมอบแก่โจโฉ แล้วแจ้งความทั้งปวงให้โจโฉได้รับทราบไว้ชั้นหนึ่งก่อน
บรรดานายทหาร ณ ที่นั้นเห็นด้วยกับความคิดของซงเหียน งุยซก และ เฮาเสง จึงจับมือกระทำสัตย์ต่อกันว่าจะตั้งใจทำการตามแผนการนี้ให้สำเร็จ.