ตอนที่ 92. ว่าด้วยชัยชนะและปราชัย 10 ประการ
แม้ว่ากาเซี่ยงจะเอาศีรษะเป็นประกัน และเร่งให้เตียวสิ้วและเล่าเปียวรีบยกทหารไล่ตามตีกองทัพโจโฉ เล่าเปียวก็ยังคงยืนกรานไม่เห็นด้วย แต่เตียวสิ้วนั้นเชื่อความคิดของกาเซี่ยงอยู่ จึงให้เล่าเปียวและกาเซี่ยงรักษาเมือง ตัวเตียวสิ้วรีบพาทหารหมื่นหนึ่งไล่ตามโจโฉไปอีกครั้งหนึ่ง
โจโฉได้รับชัยชนะในการรบกับเตียวสิ้วสองครั้งติดต่อกัน จึงคิดว่าเตียวสิ้วจะไม่กล้ายกตามมาอีก จึงสั่งให้เคลื่อนทัพตามปกติ คือทหารมีฝีมือเป็นกองหน้าตามด้วยทัพหลวง และกองหลังซึ่งเป็นหน่วยเสบียง
บรรดาทหารของโจโฉก็คลายความระมัดระวังตัวเพราะระเริงในชัยชนะ ซึ่งหากว่าตามปกติแล้วฝ่ายที่พ่ายแพ้ย่อมไม่กล้ายกตามมาอีก แต่โชคไม่เข้าข้างกองทัพโจโฉเพราะบัดนี้เตียวสิ้วยกมาตามความคิดของกาเซี่ยง
ดังนั้นในขณะที่กองทัพของโจโฉกำลังเคลื่อนทัพด้วยความประมาท กองหน้าของเตียวสิ้วก็ไล่มาทันและเข้าตีกองหลังซึ่งเป็นกองเสบียงแตกกระจัดกระจาย พากันกระเจิงหนีจนเตียวสิ้วนำทหารตีฝ่าเข้าไปถึงกองทัพหลวง โจโฉเองก็ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว พอกองหลังแตกกระทบขึ้นมาก็พากันตกใจ ต่างคนต่างหนี จนกองทัพหลวงไปกระทบกับกองหน้า กองหน้าก็แตกตาม ทหารของโจโฉบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก โจโฉจึงพาทหารที่เหลือรีบหนีกลับไปเมืองฮูโต๋
กองทัพของเตียวสิ้วได้ไล่ตามตีกองทัพของโจโฉที่แตกหนีจนมาถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องและฝุ่นตลบลงมาจากบนเขา เตียวสิ้วคิดว่าถูกกองซุ่มของโจโฉยกมาตามตีจึงสั่งให้ทหารหยุดการตามตีแล้วให้ยกกลับมาตามเส้นทางเดิม เก็บกวาดเอาเสบียงอาหารและยุทโธปกรณ์ที่กองทหารโจโฉได้ทิ้งไว้เป็นจำนวนมาก แล้วให้ยกกลับไปเมืองเซียงหยง
ทั้งกาเซี่ยงและเล่าเปียวได้ออกมารับเตียวสิ้วถึงนอกเมือง เตียวสิ้วพอพบหน้ากาเซี่ยงก็สรรเสริญความคิดเป็นอันมาก เล่าเปียวครั้นเสร็จการแล้วก็ยกทหารกลับไปเมืองเกงจิ๋ว
ฝ่ายโจโฉขณะกำลังหนีการไล่ตามตีของเตียวสิ้ว ได้ยินทหารโห่ร้องลงมาจากภูเขา ตอนแรกก็ตกใจ แต่พอเห็นเตียวสิ้วหยุดการตามตีก็รู้ว่าพวกที่ยกมานั้นคงไม่ใช่พวกของเตียวสิ้วจึงคลายใจ
ครั้นทหารที่ยกลงมาจากภูเขาเข้ามาใกล้ ตัวหัวหน้าก็ลงจากม้าแล้วขอพบโจโฉ และรายงานตัวว่าชื่อลีถอง เป็นเจ้าเมืองยีหลำ ทราบว่าโจโฉยกมารบกับเตียวสิ้วจึงยกทหารมาช่วย โจโฉทราบดังนั้นก็ยินดีให้เลื่อนตำแหน่งลีถองเป็นขุนนาง และให้เป็นเจ้าเมืองยีหลำต่อไป ให้มีหน้าที่ลาดตระเวนหัวเมืองด้านตะวันตก ป้องกันการรุกรานของเล่าเปียว
ลีถองได้เลื่อนตำแหน่งก็ดีใจ ได้เวลาก็คำนับลาโจโฉ โจโฉจึงให้เคลื่อนทัพรีบกลับเมืองฮูโต๋ แล้วเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ กราบบังคมทูลถวายรายงานการศึกให้ทรงทราบ และเสนอให้โปรดเกล้าแต่งตั้งซุนเซ็กเป็นขุนนางฝ่ายทหารที่ขุนพลปราบกบฏภาคกังตั๋ง พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โปรดเกล้าตามเสนอ
โจโฉจึงจัดให้ข้าหลวงเชิญพระบรมราชโองการและเครื่องยศไปมอบแก่ซุนเซ็ก และสั่งความเป็นการภายในไปถึงซุนเซ็กว่าให้หาทางกำจัดเล่าเปียวให้จงได้
ออกจากที่เฝ้าแล้วโจโฉได้กลับไปที่จวน บรรดาขุนนางได้เข้ามาเยี่ยมคารวะ ไต่ถามความศึกเป็นจำนวนมาก คงขาดแต่กุยแก จนกระทั่งล่วงยามแรกของคืนนั้นกุยแกจึงมาขอพบ
โจโฉเห็นกุยแกมาช้ากว่าคนอื่นก็สงสัยจึงสอบถามว่ามีเรื่องราวอันใดเกิดขึ้นหรือ กุยแกจึงรายงานว่าที่มาช้าเพราะอ้วนเสี้ยวได้ให้ผู้แทนถือหนังสือมาถึงท่านจึงตรวจสอบข้อเท็จจริงเสียก่อน ทำให้มาล่าช้าไปขออภัยท่านด้วยเถิด
กุยแกรายงานต่อไปว่า อ้วนเสี้ยวแจ้งมาว่าจะยกกองทัพไปตีเมืองปักเป๋ง ขอให้ท่านส่งเสบียงและทหารสามหมื่นไปให้ภายในสิบห้าวัน และขู่ว่าถ้าไม่ส่งเสบียงและทหารไปให้จะยกกองทัพมาตีเมืองฮูโต๋
โจโฉได้ฟังก็โกรธอ้วนเสี้ยว และว่าเราได้ข่าวว่าเดิมทีนั้นอ้วนเสี้ยวเตรียมกองทัพจะยกมาตีเมืองฮูโต๋ แต่พอรู้ข่าวว่าเรายกกองทัพกลับมาก็เปลี่ยนเป็นจะไปตีกองซุนจ้าน แล้วขู่เอาเสบียงและทหารจากเรา การกระทำของอ้วนเสี้ยวดังนี้เป็นการดูหมิ่นเรายิ่งนัก จำที่จะต้องยกไปกำจัดอ้วนเสี้ยวเสีย แต่เกรงว่าทหารฝ่ายเราน้อยกว่าอ้วนเสี้ยวถึงสิบเท่า และยังอิดโรยอยู่ ท่านจะมีความคิดเห็นเป็นประการใด
กุยแกจึงว่าอันธรรมดาการศึกนั้น แพ้ชนะย่อมตัดสินกันด้วยสติปัญญาเป็นหลัก กำลังทหารมากน้อยเป็นเพียงด้านรองเท่านั้น ดังที่เมื่อครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจทำสงครามกับพระเจ้าฌ้อปาอ๋อง ครั้งนั้นพระเจ้าฌ้อปาอ๋องมีทหารมากและเข้มแข็ง แต่ไร้สติปัญญา ในขณะที่พระเจ้าฮั่นโกโจมีทหารน้อยกว่าแต่ชำนาญการศึก และได้อาศัยสติปัญญาความคิดของเตียวเหลียงและฮั่นสิน จึงเอาชัยชนะพระเจ้าฌ้อปาอ๋องได้ ดังนั้นครั้งนี้หากท่านจะรบด้วยอ้วนเสี้ยว ท่านจะชนะด้วยเหตุสิบประการ และอ้วนเสี้ยวก็จะพ่ายแก้แก่ท่านด้วยเหตุสิบประการเช่นเดียวกัน
โจโฉจึงถามว่าเหตุแพ้ชนะสิบประการของท่านนั้นเป็นประการใด
กุยแกจึงว่าตัวท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทหาร ในขณะที่อ้วนเสี้ยววางตัวเป็นเจ้ากับข้า นี่เป็นเหตุทั่วไปหนึ่ง การกระทำของอ้วนเสี้ยวเป็นกบฏต่อแผ่นดิน ส่วนท่านทำตามรับสั่งของฮ่องเต้ นี่เป็นเหตุทางความชอบธรรมหนึ่ง อ้วนเสี้ยวบริหารราชการด้วยความหย่อนยานหละหลวม แต่ท่านเข้มงวดกวดขัน นี่เป็นเหตุทางด้านบริหารหนึ่ง อ้วนเสี้ยวดูภายนอกโอบอ้อมอารี แต่ภายในแรงด้วยฤทธิ์อิจฉาริษยา ใช้คนได้ก็แต่หมู่ญาติ ส่วนท่านโอบอ้อมอารีทั้งภายนอกและภายใน ใช้คนได้ทั้งผู้มีสติปัญญาความสามารถและฝีมือกล้าแข็ง นี่เป็นเหตุแห่งอัธยาศัยหนึ่ง อ้วนเสี้ยวมีน้ำใจโลเล ตัดสินใจไม่เด็ดขาด แต่ท่านน้ำใจมั่นคง เด็ดเดี่ยว นี่เป็นเหตุทางจิตใจของแม่ทัพหนึ่ง อ้วนเสี้ยวไร้สติปัญญา ไม่สามารถคิดอ่านอุบายและกลศึกได้ ตัวท่านมีสติปัญญา เชี่ยวชาญทางกลศึกและพิชัยสงคราม นี่เป็นเหตุแห่งสติปัญญาหนึ่ง อ้วนเสี้ยวเป็นนักสร้างภาพและชื่อเสียงจอมปลอม ส่วนตัวท่านคิดทำและพูดบนพื้นฐานความจริงและความยุติธรรมเป็นหลัก นี่เป็นเหตุแห่งสัจจะหนึ่ง อ้วนเสี้ยวรักคนใกล้มากกว่าคนไกล ส่วนท่านเอื้ออาทรต่อคนใกล้และคนไกลเสมอกัน นี่เป็นเหตุแห่งความยุติธรรมหนึ่ง อ้วนเสี้ยวเป็นคนหูเบาและหลงงมงายทำให้กองทัพปั่นป่วน ส่วนท่านมีสติปัญญาแจ่มใส หนักแน่น นี่เป็นเหตุแห่งความเชื่อมั่นหนึ่ง การทำงานของอ้วนเสี้ยวสับสนผิดถูกไม่กระจ่าง ส่วนท่านผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก มีกฎระเบียบวินัยเข้มงวดชัดเจน นี่เป็นเหตุแห่งนิติธรรมหนึ่ง อ้วนเสี้ยวใช้คนโดยไม่รู้จักคน ส่วนท่านใช้คนตามความสามารถ นี่คือเหตุแห่งการปกครองและใช้คนอีกหนึ่ง ทั้งสิบประการนี้คือเหตุที่ทำให้ท่านได้รับชัยชนะและอ้วนเสี้ยวต้องตกเป็นฝ่ายปราชัย
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาความว่า กุยแกได้จำแนก เหตุที่โจโฉจะได้รับชัยชนะสิบประการเป็นส่วนหนึ่ง และอ้วนเสี้ยวจะปราชัยด้วยเหตุสิบประการอีกส่วนหนึ่งดังนี้
เหตุแห่งชัยชนะของโจโฉสิบประการคือ
“ท่านมิได้ถือตัว ถ้าจะทำการสิ่งใดถึงผู้น้อยจะขัดท่านว่าผิดแลชอบ ท่านก็เห็นด้วย ประการหนึ่ง
น้ำใจท่านโอบอ้อมอารีต่อคนทั้งปวง แล้วจะทำการสิ่งใดก็ถือเอารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นประมาณ คนทั้งหลายก็ยินดีด้วย ประการหนึ่ง
ท่านจะว่ากล่าวสิ่งใดก็สิทธิขาดมีสง่า คนทั้งปวงยำเกรงท่านเป็นอันมากประการหนึ่ง
ใจท่านสัตย์ซื่อเลี้ยงทหารโดยยุติธรรม ถึงญาติพี่น้องผิดก็ว่ากล่าวมิเข้าด้วยผู้ผิด ประการหนึ่ง
ท่านจะคิดทำการสิ่งใดเห็นเป็นความชอบก็ตั้งใจทำไปจนสำเร็จ ประการหนึ่ง
ท่านจะรักผู้ใดก็รักโดยยุติธรรม มิได้ล่อลวง ประการหนึ่ง
ท่านเลี้ยงคนซึ่งอยู่ใกล้กับอยู่ไกล ถ้าดีแล้วเลี้ยงเสมอกัน ประการหนึ่ง
ท่านคิดการหนักหน่วงให้แน่นอนแล้วจึงทำการ ประการหนึ่ง
ท่านจะทำการสิ่งใดก็ทำตามขนบธรรมเนียมโบราณ ประการหนึ่ง
ท่านชำนาญในกลสงคราม ถึงกำลังข้าศึกมากกว่าท่าน ท่านก็คิดเอาชัยชนะได้”
ส่วนเหตุแห่งการปราชัยของอ้วนเสี้ยวสิบประการ กุยแกได้จำแนกว่า
“อ้วนเสี้ยวเป็นคนถืออิสริยยศ มิได้เอาความคิดผู้ใด ประการหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวเป็นคนหยาบช้า ทำการโดยโวหาร ประการหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวจะว่ากิจการสิ่งใด มิได้สิทธิขาด ประการหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวเห็นแก่ญาติพี่น้องของตัว มิได้ว่ากล่าวตามผิดแลชอบ ประการหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวจะคิดการสิ่งใด มักกลับเอาดีเป็นร้าย เอาร้ายเป็นดี มิได้เชื่อใจของตัว ประการหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวจะเลี้ยงผู้ใดมิได้ปรกติต่อหน้าว่ารัก ลับหลังว่าชัง ประการหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวมักรักคนชิดซึ่งประสมประสาน ผู้ใดห่างเหินถึงซื่อสัตย์ก็มีใจชัง ประการหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวกระทำความผิดต่าง ๆ เพราะฟังคำคนยุยง ประการหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวจะทำการสิ่งใดเอาแต่อำเภอใจ มิได้ทำตามอย่างธรรมเนียมโบราณ ประการหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวมิได้รู้ในกลศึก แต่มักพอใจทำการศึกล่อลวง จะชนะก็ไม่รู้ จะแพ้ก็ไม่รู้”
กุยแกว่าเหล่านี้คือเหตุแห่งชัยชนะและปราชัยสิบประการ โจโฉฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วถ่อมตัวว่าข้าพเจ้าหาได้เก่งกล้าสามารถและมีคุณธรรมถึงขนาดที่ท่านพรรณนามานี้ไม่ จึงเกรงว่าการศึกครั้งนี้จะไม่สามารถเอาชนะอ้วนเสี้ยวได้ดังความคิดของท่าน
ซุนฮกได้ยินคำกุยแกและโจโฉ จึงเสริมว่าเห็นด้วยกับการจำแนกเหตุผลทั้งปวงของกุยแก ดังนั้นโจโฉจึงกล่าวว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็สมควรต้องรีบทำศึกกำจัดอ้วนเสี้ยวเสีย
กุยแกจึงว่าอันการศึกสงครามนั้น แม้ว่าจะเล็งเห็นชัยชนะอยู่เบื้องหน้า แต่ใช่ว่าจะถือเอาชัยชนะเบื้องหน้านั้นเป็นหลักในทันที หากจะต้องพิจารณาในเบื้องต้นก่อนว่ากรณีสมควรรบด้วยอ้วนเสี้ยวในขณะนี้หรือไม่
“ซึ่งท่านตั้งแต่งลิโป้ไว้นั้น ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าลิโป้เป็นคนหยาบช้า มิได้รู้คุณท่าน ทุกวันนี้ลิโป้คิดจะทำร้ายท่านจะยังมิได้ที อุปมาเหมือนหนามเหน็บอยู่ในอกท่าน บัดนี้อ้วนเสี้ยวยกไปตีกองซุนจ้าน ถ้าท่านจะยกไปรบเอาเมืองอ้วนเสี้ยวก็เห็นจะได้โดยง่าย แต่เกรงอยู่ว่าลิโป้จะยกมาตีเอาเมืองฮูโต๋ จึงขอให้ท่านยกกองทัพไปกำจัดลิโป้ ซึ่งเป็นศัตรูฝ่ายตะวันออกให้ราบคาบแล้ว จึงยกล่วงไปตีเอาเมืองอ้วนเสี้ยว จึงจะไม่รู้ระวังหลัง”
กุยแกแม้เห็นว่าหากรบด้วยอ้วนเสี้ยวก็จะได้ชัยชนะ แต่กลับมองว่าจะเป็นชัยชนะที่ต้องแลกด้วยเมืองฮูโต๋และอำนาจรัฐทั้งหมดของโจโฉที่มีอยู่ ดังนั้นจึงสรุปเสนอว่าโจโฉยังไม่ควรรบด้วยอ้วนเสี้ยว และควรถือโอกาสที่อ้วนเสี้ยวกำลังรบติดพันอยู่กับกองซุนจ้านครั้งนี้กำจัดลิโป้ศัตรูตัวสำคัญเสียก่อน จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังในอันที่จะทำศึกกับอ้วนเสี้ยวในกาลต่อไป
นี่คือความเป็นเลิศทางความคิดสติปัญญาของกุยแก อันต้องถือว่ามีฐานะเป็นที่ปรึกษาที่สมควรแก่ฐานะ มิใช่มีความคิดก็สักแต่จะออกความคิดซึ่งจะเป็นได้เพียงแค่ “ที่ปรึกเสีย” เท่านั้น เพราะผลได้ก็อาจมีผลเสียติดตามมา ดังนั้นการคิดอ่านประการใดจึงต้องถือเอาความควรหรือไม่ควรเป็นข้อแรกในการตัดสินใจ เมื่อการนั้นควรแล้วจะทำการต่อไปประการใดจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง การจำแนกเหตุแห่งชัยชนะและปราชัยทั้งสิบประการของกุยแกครั้งนี้นับเป็นต้นแบบในการปฏิบัติตัวของผู้นำในการทั้งปวง และย่อมถือเป็นเกณฑ์วัดความเป็นผู้นำของผู้นำด้วยว่าเป็นผู้นำที่จอมปลอมหรือเป็นผู้นำที่แท้.
โจโฉได้รับชัยชนะในการรบกับเตียวสิ้วสองครั้งติดต่อกัน จึงคิดว่าเตียวสิ้วจะไม่กล้ายกตามมาอีก จึงสั่งให้เคลื่อนทัพตามปกติ คือทหารมีฝีมือเป็นกองหน้าตามด้วยทัพหลวง และกองหลังซึ่งเป็นหน่วยเสบียง
บรรดาทหารของโจโฉก็คลายความระมัดระวังตัวเพราะระเริงในชัยชนะ ซึ่งหากว่าตามปกติแล้วฝ่ายที่พ่ายแพ้ย่อมไม่กล้ายกตามมาอีก แต่โชคไม่เข้าข้างกองทัพโจโฉเพราะบัดนี้เตียวสิ้วยกมาตามความคิดของกาเซี่ยง
ดังนั้นในขณะที่กองทัพของโจโฉกำลังเคลื่อนทัพด้วยความประมาท กองหน้าของเตียวสิ้วก็ไล่มาทันและเข้าตีกองหลังซึ่งเป็นกองเสบียงแตกกระจัดกระจาย พากันกระเจิงหนีจนเตียวสิ้วนำทหารตีฝ่าเข้าไปถึงกองทัพหลวง โจโฉเองก็ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว พอกองหลังแตกกระทบขึ้นมาก็พากันตกใจ ต่างคนต่างหนี จนกองทัพหลวงไปกระทบกับกองหน้า กองหน้าก็แตกตาม ทหารของโจโฉบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก โจโฉจึงพาทหารที่เหลือรีบหนีกลับไปเมืองฮูโต๋
กองทัพของเตียวสิ้วได้ไล่ตามตีกองทัพของโจโฉที่แตกหนีจนมาถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องและฝุ่นตลบลงมาจากบนเขา เตียวสิ้วคิดว่าถูกกองซุ่มของโจโฉยกมาตามตีจึงสั่งให้ทหารหยุดการตามตีแล้วให้ยกกลับมาตามเส้นทางเดิม เก็บกวาดเอาเสบียงอาหารและยุทโธปกรณ์ที่กองทหารโจโฉได้ทิ้งไว้เป็นจำนวนมาก แล้วให้ยกกลับไปเมืองเซียงหยง
ทั้งกาเซี่ยงและเล่าเปียวได้ออกมารับเตียวสิ้วถึงนอกเมือง เตียวสิ้วพอพบหน้ากาเซี่ยงก็สรรเสริญความคิดเป็นอันมาก เล่าเปียวครั้นเสร็จการแล้วก็ยกทหารกลับไปเมืองเกงจิ๋ว
ฝ่ายโจโฉขณะกำลังหนีการไล่ตามตีของเตียวสิ้ว ได้ยินทหารโห่ร้องลงมาจากภูเขา ตอนแรกก็ตกใจ แต่พอเห็นเตียวสิ้วหยุดการตามตีก็รู้ว่าพวกที่ยกมานั้นคงไม่ใช่พวกของเตียวสิ้วจึงคลายใจ
ครั้นทหารที่ยกลงมาจากภูเขาเข้ามาใกล้ ตัวหัวหน้าก็ลงจากม้าแล้วขอพบโจโฉ และรายงานตัวว่าชื่อลีถอง เป็นเจ้าเมืองยีหลำ ทราบว่าโจโฉยกมารบกับเตียวสิ้วจึงยกทหารมาช่วย โจโฉทราบดังนั้นก็ยินดีให้เลื่อนตำแหน่งลีถองเป็นขุนนาง และให้เป็นเจ้าเมืองยีหลำต่อไป ให้มีหน้าที่ลาดตระเวนหัวเมืองด้านตะวันตก ป้องกันการรุกรานของเล่าเปียว
ลีถองได้เลื่อนตำแหน่งก็ดีใจ ได้เวลาก็คำนับลาโจโฉ โจโฉจึงให้เคลื่อนทัพรีบกลับเมืองฮูโต๋ แล้วเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ กราบบังคมทูลถวายรายงานการศึกให้ทรงทราบ และเสนอให้โปรดเกล้าแต่งตั้งซุนเซ็กเป็นขุนนางฝ่ายทหารที่ขุนพลปราบกบฏภาคกังตั๋ง พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โปรดเกล้าตามเสนอ
โจโฉจึงจัดให้ข้าหลวงเชิญพระบรมราชโองการและเครื่องยศไปมอบแก่ซุนเซ็ก และสั่งความเป็นการภายในไปถึงซุนเซ็กว่าให้หาทางกำจัดเล่าเปียวให้จงได้
ออกจากที่เฝ้าแล้วโจโฉได้กลับไปที่จวน บรรดาขุนนางได้เข้ามาเยี่ยมคารวะ ไต่ถามความศึกเป็นจำนวนมาก คงขาดแต่กุยแก จนกระทั่งล่วงยามแรกของคืนนั้นกุยแกจึงมาขอพบ
โจโฉเห็นกุยแกมาช้ากว่าคนอื่นก็สงสัยจึงสอบถามว่ามีเรื่องราวอันใดเกิดขึ้นหรือ กุยแกจึงรายงานว่าที่มาช้าเพราะอ้วนเสี้ยวได้ให้ผู้แทนถือหนังสือมาถึงท่านจึงตรวจสอบข้อเท็จจริงเสียก่อน ทำให้มาล่าช้าไปขออภัยท่านด้วยเถิด
กุยแกรายงานต่อไปว่า อ้วนเสี้ยวแจ้งมาว่าจะยกกองทัพไปตีเมืองปักเป๋ง ขอให้ท่านส่งเสบียงและทหารสามหมื่นไปให้ภายในสิบห้าวัน และขู่ว่าถ้าไม่ส่งเสบียงและทหารไปให้จะยกกองทัพมาตีเมืองฮูโต๋
โจโฉได้ฟังก็โกรธอ้วนเสี้ยว และว่าเราได้ข่าวว่าเดิมทีนั้นอ้วนเสี้ยวเตรียมกองทัพจะยกมาตีเมืองฮูโต๋ แต่พอรู้ข่าวว่าเรายกกองทัพกลับมาก็เปลี่ยนเป็นจะไปตีกองซุนจ้าน แล้วขู่เอาเสบียงและทหารจากเรา การกระทำของอ้วนเสี้ยวดังนี้เป็นการดูหมิ่นเรายิ่งนัก จำที่จะต้องยกไปกำจัดอ้วนเสี้ยวเสีย แต่เกรงว่าทหารฝ่ายเราน้อยกว่าอ้วนเสี้ยวถึงสิบเท่า และยังอิดโรยอยู่ ท่านจะมีความคิดเห็นเป็นประการใด
กุยแกจึงว่าอันธรรมดาการศึกนั้น แพ้ชนะย่อมตัดสินกันด้วยสติปัญญาเป็นหลัก กำลังทหารมากน้อยเป็นเพียงด้านรองเท่านั้น ดังที่เมื่อครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจทำสงครามกับพระเจ้าฌ้อปาอ๋อง ครั้งนั้นพระเจ้าฌ้อปาอ๋องมีทหารมากและเข้มแข็ง แต่ไร้สติปัญญา ในขณะที่พระเจ้าฮั่นโกโจมีทหารน้อยกว่าแต่ชำนาญการศึก และได้อาศัยสติปัญญาความคิดของเตียวเหลียงและฮั่นสิน จึงเอาชัยชนะพระเจ้าฌ้อปาอ๋องได้ ดังนั้นครั้งนี้หากท่านจะรบด้วยอ้วนเสี้ยว ท่านจะชนะด้วยเหตุสิบประการ และอ้วนเสี้ยวก็จะพ่ายแก้แก่ท่านด้วยเหตุสิบประการเช่นเดียวกัน
โจโฉจึงถามว่าเหตุแพ้ชนะสิบประการของท่านนั้นเป็นประการใด
กุยแกจึงว่าตัวท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทหาร ในขณะที่อ้วนเสี้ยววางตัวเป็นเจ้ากับข้า นี่เป็นเหตุทั่วไปหนึ่ง การกระทำของอ้วนเสี้ยวเป็นกบฏต่อแผ่นดิน ส่วนท่านทำตามรับสั่งของฮ่องเต้ นี่เป็นเหตุทางความชอบธรรมหนึ่ง อ้วนเสี้ยวบริหารราชการด้วยความหย่อนยานหละหลวม แต่ท่านเข้มงวดกวดขัน นี่เป็นเหตุทางด้านบริหารหนึ่ง อ้วนเสี้ยวดูภายนอกโอบอ้อมอารี แต่ภายในแรงด้วยฤทธิ์อิจฉาริษยา ใช้คนได้ก็แต่หมู่ญาติ ส่วนท่านโอบอ้อมอารีทั้งภายนอกและภายใน ใช้คนได้ทั้งผู้มีสติปัญญาความสามารถและฝีมือกล้าแข็ง นี่เป็นเหตุแห่งอัธยาศัยหนึ่ง อ้วนเสี้ยวมีน้ำใจโลเล ตัดสินใจไม่เด็ดขาด แต่ท่านน้ำใจมั่นคง เด็ดเดี่ยว นี่เป็นเหตุทางจิตใจของแม่ทัพหนึ่ง อ้วนเสี้ยวไร้สติปัญญา ไม่สามารถคิดอ่านอุบายและกลศึกได้ ตัวท่านมีสติปัญญา เชี่ยวชาญทางกลศึกและพิชัยสงคราม นี่เป็นเหตุแห่งสติปัญญาหนึ่ง อ้วนเสี้ยวเป็นนักสร้างภาพและชื่อเสียงจอมปลอม ส่วนตัวท่านคิดทำและพูดบนพื้นฐานความจริงและความยุติธรรมเป็นหลัก นี่เป็นเหตุแห่งสัจจะหนึ่ง อ้วนเสี้ยวรักคนใกล้มากกว่าคนไกล ส่วนท่านเอื้ออาทรต่อคนใกล้และคนไกลเสมอกัน นี่เป็นเหตุแห่งความยุติธรรมหนึ่ง อ้วนเสี้ยวเป็นคนหูเบาและหลงงมงายทำให้กองทัพปั่นป่วน ส่วนท่านมีสติปัญญาแจ่มใส หนักแน่น นี่เป็นเหตุแห่งความเชื่อมั่นหนึ่ง การทำงานของอ้วนเสี้ยวสับสนผิดถูกไม่กระจ่าง ส่วนท่านผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก มีกฎระเบียบวินัยเข้มงวดชัดเจน นี่เป็นเหตุแห่งนิติธรรมหนึ่ง อ้วนเสี้ยวใช้คนโดยไม่รู้จักคน ส่วนท่านใช้คนตามความสามารถ นี่คือเหตุแห่งการปกครองและใช้คนอีกหนึ่ง ทั้งสิบประการนี้คือเหตุที่ทำให้ท่านได้รับชัยชนะและอ้วนเสี้ยวต้องตกเป็นฝ่ายปราชัย
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาความว่า กุยแกได้จำแนก เหตุที่โจโฉจะได้รับชัยชนะสิบประการเป็นส่วนหนึ่ง และอ้วนเสี้ยวจะปราชัยด้วยเหตุสิบประการอีกส่วนหนึ่งดังนี้
เหตุแห่งชัยชนะของโจโฉสิบประการคือ
“ท่านมิได้ถือตัว ถ้าจะทำการสิ่งใดถึงผู้น้อยจะขัดท่านว่าผิดแลชอบ ท่านก็เห็นด้วย ประการหนึ่ง
น้ำใจท่านโอบอ้อมอารีต่อคนทั้งปวง แล้วจะทำการสิ่งใดก็ถือเอารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นประมาณ คนทั้งหลายก็ยินดีด้วย ประการหนึ่ง
ท่านจะว่ากล่าวสิ่งใดก็สิทธิขาดมีสง่า คนทั้งปวงยำเกรงท่านเป็นอันมากประการหนึ่ง
ใจท่านสัตย์ซื่อเลี้ยงทหารโดยยุติธรรม ถึงญาติพี่น้องผิดก็ว่ากล่าวมิเข้าด้วยผู้ผิด ประการหนึ่ง
ท่านจะคิดทำการสิ่งใดเห็นเป็นความชอบก็ตั้งใจทำไปจนสำเร็จ ประการหนึ่ง
ท่านจะรักผู้ใดก็รักโดยยุติธรรม มิได้ล่อลวง ประการหนึ่ง
ท่านเลี้ยงคนซึ่งอยู่ใกล้กับอยู่ไกล ถ้าดีแล้วเลี้ยงเสมอกัน ประการหนึ่ง
ท่านคิดการหนักหน่วงให้แน่นอนแล้วจึงทำการ ประการหนึ่ง
ท่านจะทำการสิ่งใดก็ทำตามขนบธรรมเนียมโบราณ ประการหนึ่ง
ท่านชำนาญในกลสงคราม ถึงกำลังข้าศึกมากกว่าท่าน ท่านก็คิดเอาชัยชนะได้”
ส่วนเหตุแห่งการปราชัยของอ้วนเสี้ยวสิบประการ กุยแกได้จำแนกว่า
“อ้วนเสี้ยวเป็นคนถืออิสริยยศ มิได้เอาความคิดผู้ใด ประการหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวเป็นคนหยาบช้า ทำการโดยโวหาร ประการหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวจะว่ากิจการสิ่งใด มิได้สิทธิขาด ประการหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวเห็นแก่ญาติพี่น้องของตัว มิได้ว่ากล่าวตามผิดแลชอบ ประการหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวจะคิดการสิ่งใด มักกลับเอาดีเป็นร้าย เอาร้ายเป็นดี มิได้เชื่อใจของตัว ประการหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวจะเลี้ยงผู้ใดมิได้ปรกติต่อหน้าว่ารัก ลับหลังว่าชัง ประการหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวมักรักคนชิดซึ่งประสมประสาน ผู้ใดห่างเหินถึงซื่อสัตย์ก็มีใจชัง ประการหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวกระทำความผิดต่าง ๆ เพราะฟังคำคนยุยง ประการหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวจะทำการสิ่งใดเอาแต่อำเภอใจ มิได้ทำตามอย่างธรรมเนียมโบราณ ประการหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวมิได้รู้ในกลศึก แต่มักพอใจทำการศึกล่อลวง จะชนะก็ไม่รู้ จะแพ้ก็ไม่รู้”
กุยแกว่าเหล่านี้คือเหตุแห่งชัยชนะและปราชัยสิบประการ โจโฉฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วถ่อมตัวว่าข้าพเจ้าหาได้เก่งกล้าสามารถและมีคุณธรรมถึงขนาดที่ท่านพรรณนามานี้ไม่ จึงเกรงว่าการศึกครั้งนี้จะไม่สามารถเอาชนะอ้วนเสี้ยวได้ดังความคิดของท่าน
ซุนฮกได้ยินคำกุยแกและโจโฉ จึงเสริมว่าเห็นด้วยกับการจำแนกเหตุผลทั้งปวงของกุยแก ดังนั้นโจโฉจึงกล่าวว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็สมควรต้องรีบทำศึกกำจัดอ้วนเสี้ยวเสีย
กุยแกจึงว่าอันการศึกสงครามนั้น แม้ว่าจะเล็งเห็นชัยชนะอยู่เบื้องหน้า แต่ใช่ว่าจะถือเอาชัยชนะเบื้องหน้านั้นเป็นหลักในทันที หากจะต้องพิจารณาในเบื้องต้นก่อนว่ากรณีสมควรรบด้วยอ้วนเสี้ยวในขณะนี้หรือไม่
“ซึ่งท่านตั้งแต่งลิโป้ไว้นั้น ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าลิโป้เป็นคนหยาบช้า มิได้รู้คุณท่าน ทุกวันนี้ลิโป้คิดจะทำร้ายท่านจะยังมิได้ที อุปมาเหมือนหนามเหน็บอยู่ในอกท่าน บัดนี้อ้วนเสี้ยวยกไปตีกองซุนจ้าน ถ้าท่านจะยกไปรบเอาเมืองอ้วนเสี้ยวก็เห็นจะได้โดยง่าย แต่เกรงอยู่ว่าลิโป้จะยกมาตีเอาเมืองฮูโต๋ จึงขอให้ท่านยกกองทัพไปกำจัดลิโป้ ซึ่งเป็นศัตรูฝ่ายตะวันออกให้ราบคาบแล้ว จึงยกล่วงไปตีเอาเมืองอ้วนเสี้ยว จึงจะไม่รู้ระวังหลัง”
กุยแกแม้เห็นว่าหากรบด้วยอ้วนเสี้ยวก็จะได้ชัยชนะ แต่กลับมองว่าจะเป็นชัยชนะที่ต้องแลกด้วยเมืองฮูโต๋และอำนาจรัฐทั้งหมดของโจโฉที่มีอยู่ ดังนั้นจึงสรุปเสนอว่าโจโฉยังไม่ควรรบด้วยอ้วนเสี้ยว และควรถือโอกาสที่อ้วนเสี้ยวกำลังรบติดพันอยู่กับกองซุนจ้านครั้งนี้กำจัดลิโป้ศัตรูตัวสำคัญเสียก่อน จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังในอันที่จะทำศึกกับอ้วนเสี้ยวในกาลต่อไป
นี่คือความเป็นเลิศทางความคิดสติปัญญาของกุยแก อันต้องถือว่ามีฐานะเป็นที่ปรึกษาที่สมควรแก่ฐานะ มิใช่มีความคิดก็สักแต่จะออกความคิดซึ่งจะเป็นได้เพียงแค่ “ที่ปรึกเสีย” เท่านั้น เพราะผลได้ก็อาจมีผลเสียติดตามมา ดังนั้นการคิดอ่านประการใดจึงต้องถือเอาความควรหรือไม่ควรเป็นข้อแรกในการตัดสินใจ เมื่อการนั้นควรแล้วจะทำการต่อไปประการใดจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง การจำแนกเหตุแห่งชัยชนะและปราชัยทั้งสิบประการของกุยแกครั้งนี้นับเป็นต้นแบบในการปฏิบัติตัวของผู้นำในการทั้งปวง และย่อมถือเป็นเกณฑ์วัดความเป็นผู้นำของผู้นำด้วยว่าเป็นผู้นำที่จอมปลอมหรือเป็นผู้นำที่แท้.