ตอนที่ 90. อุบายสร้างภาพพจน์ "เอาดีใส่ตัว"

ทหารโจโฉที่ล้อมเมืองลำหยง ได้ถมคูเมืองลำหยงเพื่อยกกำลังเข้าหักตีข้ามกำแพงเมืองอย่างพร้อมเพรียงกัน ทหารบางคนถูกทหารที่รักษาเชิงเทินยิงเกาทัณฑ์เข้าใส่ก็ถอยหนีออกมา โจโฉจึงสั่งให้ตัดศีรษะทหารที่ถอยหนีมานั้น แล้วโยนศีรษะลงไปถมคูเมือง ทหารโจโฉทั้งนั้นก็พากันเกรงอาญาศึก ดาหน้าเข้าไปถมคูเมืองแล้วยกข้ามคูเมืองเข้าไปถึงกำแพงเมือง

            ทหารของโจโฉได้เอาบันไดพาดปีนกำแพงและใช้เชือกติดตะขอซัดเกาะกำแพง แล้วบุกปีนเข้าไป โดยมีพลเกาทัณฑ์ระดมยิงเกาทัณฑ์และธนูเพลิงคุ้มกัน ทหารรักษาเชิงเทินพยายามต่อสู้เต็มความสามารถแต่ต้านการโหมโจมตีอย่างหนักหน่วงทุกด้านพร้อมกันไม่ได้ กองทหารโจโฉจึงตีกำแพงเมืองแตกทั้งสี่ด้าน แล้วบุกเข้าไปในเมืองฆ่าฟันทหารของอ้วนสุดบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก

            โจโฉยึดเมืองลำหยงได้แล้วจับเอาทหารเอกสี่นายของอ้วนสุดที่รักษาเมืองไปประหาร และให้ยึดทรัพย์สมบัติของอ้วนสุด ตลอดจนครอบครัวและสมัครพรรคพวกมาปูนบำเหน็จแก่ทหารถ้วนหน้า และยึดเสบียงของเมืองลำหยงเข้ากองทัพ จากนั้น   โจโฉจึงให้เผาพระราชวังที่อ้วนสุดสร้างขึ้นสำหรับการตั้งตัวเป็นพระมหากษัตริย์นั้นเสีย

            โจโฉจัดระเบียบการปกครองเมืองลำหยงเป็นปกติแล้วจึงดำริที่จะยกกองทัพไปตามตีอ้วนสุดที่เมืองห้วยหนำ แต่ซุนฮกได้ทัดทานไว้และขอให้ยกกลับเมืองฮูโต๋ก่อน โดยอ้างเหตุผลว่าทหารยกมาทำศึกแดนไกลอ่อนล้าอิดโรยเต็มที่ จำเป็นต้องพักฟื้นปรับปรุงกองทัพสักระยะหนึ่ง ทั้งเสบียงอาหารก็ขัดสน

            ขณะที่กำลังหารืออยู่นั้นโจหองได้ให้ทหารถือหนังสือมาถึงโจโฉรายงานว่า บัดนี้เตียวสิ้วและเล่าเปียวซึ่งทราบข่าวว่าโจโฉยกกองทัพไปตีเมืองลำหยง จึงฉวยโอกาสยกกองทัพจะไปตีเมืองฮูโต๋ ขณะนี้ยึดเมืองเซียงหยงและเมืองกังเหลงไว้แล้ว หากรุกคืบหน้าต่อไปโจหองเกรงว่าจะต้านทานเตียวสิ้วและเล่าเปียวไม่ได้ จึงขอให้โจโฉเร่งยกกองทัพไปช่วย

            โจโฉได้รับรายงานดังนั้นก็โกรธ เพราะการฉวยโอกาสของเตียวสิ้วและเล่าเปียวเคยทำให้โจโฉเสียการเมื่อครั้งที่กุยแกวางกลให้ลิโป้รบกับเล่าปี่มาครั้งหนึ่งแล้ว และมาครั้งนี้โจโฉกำลังได้ทีและเตรียมที่จะยกไปกำจัดอ้วนสุด ปราบศัตรูคนสำคัญให้เสร็จสิ้นไปในคราวนี้ แต่เตียวสิ้วและเล่าเปียวกลับฉวยโอกาสยกกองทัพมาตีหลังบ้านอีก

            โจโฉจึงให้เชิญซุนเซ็กมาพบ และขอให้ซุนเซ็กยกกองทัพเรือไปตั้งอยู่ริมทะเลใกล้เมืองเกงจิ๋ว เพื่อให้เล่าเปียวพะวงว่าซุนเซ็กจะเข้าตีเมืองเกงจิ๋วจะได้ทำการรุดไปข้างหน้าไม่สะดวก และโจโฉจะยกกองทัพไปยึดเมืองเซียงหยงและเมืองกังเหลงเองต่อไป

            ซุนเซ็กก็รับคำโจโฉแล้วกลับมาที่กองทัพเรือสั่งให้เลิกทัพ แล้วยกไปเมือง     เกงจิ๋วตามคำของโจโฉ

            ซุนเซ็กกลับไปแล้ว โจโฉจึงให้เชิญลิโป้และเล่าปี่มาพบ และว่าข้าพเจ้าจะเลิกทัพกลับไปยึดเมืองเซียงหยงและเมืองกังเหลงกลับคืน ขอให้ท่านทั้งสองปรองดองกันทำราชการสนองพระเดชพระคุณ ทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข และให้ย้ายเล่าปี่จากเจ้าเมืองอิจิ๋วมาเป็นเจ้าเมืองเสียวพ่าย

            ลิโป้รับคำโจโฉแล้วลาโจโฉกลับไปที่ค่ายสั่งให้เลิกทัพยกกลับเมืองชีจิ๋ว

            พอลิโป้ออกไปโจโฉจึงถามเล่าปี่ว่าการที่ข้าพเจ้าให้ท่านไปอยู่เมืองเสียวพ่ายนี้ท่านแจ้งในกลอุบายหรือไม่

            เล่าปี่จึงว่าข้าพเจ้าไม่แจ้งว่าจะมีกลอุบายประการใด แต่เมื่อเป็นความประสงค์ของท่านข้าพเจ้าก็พร้อมทำตามทุกประการ

            โจโฉจึงว่าที่ข้าพเจ้าคิดการให้ท่านไปอยู่เมืองเสียวพ่ายครั้งนี้ก็เพื่อที่จะกำจัดลิโป้ต่อไป ขอให้ท่านไปวางแผนคิดอ่านกับตันกุ๋ย ตันเต๋ง สองพ่อลูกซึ่งอยู่เมืองชีจิ๋วเพื่อกำจัดลิโป้เสียให้จงได้ แผ่นดินจึงจะเป็นสุข

            เล่าปี่ฟังคำโจโฉแล้วก็ลาโจโฉออกมา สั่งให้เลิกทัพแล้วไปรับตำแหน่งที่เมืองเสียวพ่าย
 เมื่อสั่งการผู้เกี่ยวข้องเสร็จสิ้น โจโฉจึงสั่งให้เลิกทัพยกกลับไปเมืองฮูโต๋ แล้วสั่งการให้เตรียมกองทัพเพื่อยกลงใต้ ปราบเตียวสิ้วและเล่าเปียวต่อไป

            ในขณะนั้นนายทหารฝ่ายการข่าวได้เข้ามารายงานว่าบัดนี้ตวนอุย และงอสิบจับลิฉุย กุยกีได้ ตัดศีรษะแล้วจะนำมามอบแก่ท่าน พร้อมกับสมัครพรรคพวกของลิฉุย  กุยกี โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ดีใจออกมาต้อนรับตวนอุย งอสิบ และสั่งให้ทหารเอาสมัครพรรคพวกของลิฉุย กุยกีไปประหารเสียทั้งสิ้น แล้วตัดศีรษะเสียบไว้ที่ประตูเมืองเพื่อมิให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่างสืบไป 

            โจโฉได้ปูนบำเหน็จตวนอุยและงอสิบเป็นอันมาก แล้วเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบว่า ลิฉุย กุยกี หัวหน้ากบฎที่เคยข่มเหงย่ำยีพระองค์ บัดนี้ถูกประหารชีวิตแล้ว

            พระเจ้าเหี้ยนเต้ทราบความตามที่กราบบังคมทูลแล้วก็ดีพระทัยยิ่งนัก ออกพระโอษฐ์ว่าต่อไปนี้แผ่นดินคงจะเป็นสุข เพราะสิ้นเสี้ยนหนามแผ่นดินคนสำคัญไปแล้ว จึงมีรับสั่งให้ตวนอุยและงอสิบเข้าเฝ้า แล้วพระราชทานเลี้ยงตอบแทนความชอบ ทรงแต่งตั้งให้ตวนอุยและงอสิบเป็นนายทหาร มีตำแหน่งเป็นที่นายทหารปราบโจร และยังพระราชทานหน้าที่ให้ไปรักษาเมืองเตียงอัน ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าที่ตั๋งโต๊ะให้บูรณะขึ้นมาใหม่

            ตวนอุยและงอสิบถวายพระพรแล้วถวายบังคมลาออกมา พาสมัครพรรคพวกไปรักษาเมืองเตียงอันตามรับสั่ง

            พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงฝังในพระทัยว่าแผ่นดินฮั่นทุกวันนี้มีแต่ลิฉุย กุยกีเท่านั้นที่เป็นศัตรูแผ่นดิน และยังฝังพระทัยจากการที่ถูกสองกบฎข่มเหงย่ำยี ไล่ล่าและต้องตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากแสนสาหัสเป็นเวลาหลายเดือน จึงทรงบำเหน็จความชอบให้แก่ตวนอุยและงอสิบเป็นเอนกประการ

            สิ่งที่พระเจ้าเหี้ยนเต้ไม่ทรงทราบก็คือ แผ่นดินทุกวันนี้หาใช่มีแต่ลิฉุย กุยกีเท่านั้น แต่บรรดาขุนศึกทั้งปวงกำลังช่วงชิงอำนาจแย่งกันเป็นใหญ่ จนกลายเป็นสงครามขุนศึกทั่วทั้งประเทศ และทั้งหมดนี้เกิดจากความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายปกครองของโจโฉ ซึ่งแทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาสร้างความเป็นเอกภาพและทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข กลับแสวงหาแต่ศัตรู สร้างศัตรู สร้างความวิวาทบาดหมางระหว่างเมืองต่าง ๆ กว้างขวางออกไปทุกที จนมีผลทำให้ศึกสงครามในแผ่นดินจีนลุกลามขยายตัวเป็นเวลาร่วมร้อยปี

            ครั้นตวนอุยและงอสิบถวายบังคมลาแล้ว โจโฉจึงกราบทูลว่าบัดนี้เตียวสิ้วได้สมคบกับเล่าเปียวจะยกมาตีเมืองฮูโต๋ และกองทัพของเตียวสิ้วยึดได้เมืองเซียงหยงและเมืองกังเหลงแล้ว ดังนั้นเพื่อกำจัดอริราชย์ศัตรู ข้าพระพุทธเจ้าจึงขอกราบถวายบังคมลา ยกกองทัพไปกำจัดเตียวสิ้วและเล่าเปียวต่อไป โดยจะให้ซุนฮกอยู่รักษาเมืองฮูโต๋

            ออกจากที่เฝ้าแล้วโจโฉจึงสั่งให้จัดแจงกองทัพ ครั้นได้วันฤกษ์ดี โจโฉก็สั่งให้เคลื่อนกองทัพออกจากเมืองฮูโต๋เพื่อจะยกไปเมืองเซียงหยงและเมืองกังเหลง พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงทราบกำหนดการเคลื่อนทัพจึงเสด็จออกมาส่งกองทัพของโจโฉถึงประตูเมือง

            ในขณะที่โจโฉเคลื่อนทัพออกจากเมืองฮูโต๋ครั้งนี้ เป็นช่วงเวลาหลังจากที่พระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จมาประทับที่เมืองฮูโต๋ได้สามปี ซึ่งสามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่าตรงกับปีพุทธศักราช 741 และนับแต่พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เสด็จมาประทับที่เมืองฮูโต๋ก็ได้ให้นับศักราชใหม่เป็นปีเจี้ยนอันศกที่หนึ่ง ดังนั้นการเคลื่อนทัพของโจโฉครั้งนี้จึงตรงกับเจี้ยนอันศกปีที่สาม

            ช่วงเวลาที่โจโฉเคลื่อนทัพออกจากเมืองฮูโต๋ เป็นฤดูกาลที่ข้าวสาลีกำลังสุก ราษฎรตามรายทางครั้นทราบว่ามีกองทัพยกมามิรู้ความก็ตกใจกลัว พากันทิ้งไร่นาแล้วหลบหนีเข้าไปอยู่ในป่า

            โจโฉได้ทราบดังนั้นจึงคิดอ่านเอาใจและสร้างความศรัทธาในหมู่ประชาชนโดยให้ออกประกาศของกองทัพ ห้ามผู้ใดทำให้ข้าวกล้าในนาของราษฎรเสียหาย ผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกประหารชีวิต และให้นำประกาศนั้นไปปิดตามที่ชุมชนต่าง ๆ และให้ทหารตีฆ้องร้องป่าวประกาศให้ราษฎรได้ทราบโดยทั่วกัน

            ราษฎรทั้งปวงทราบความดั่งนี้ก็มีน้ำใจรักศรัทธาโจโฉเป็นอันมาก คลายความหวาดกลัวและเข้าทำมาหากินเก็บเกี่ยวข้าวสาลีตามปกติ

            หลังจากออกประกาศวินัยทัพดังกล่าวแล้ว บรรดาทหารและแม่ทัพนายกองทั้งปวงครั้นเดินทางถึงนาข้าวของราษฎรจึงต้องพากันลงจากหลังม้าแล้วแหวกกอข้าว จึงค่อยเดินไป แต่ตัวโจโฉนั้นขี่ม้าให้ทหารนำหน้าแหวกกอข้าว

            ในขณะที่ทหารนำหน้าม้าโจโฉกำลังแหวกกอข้าวอยู่นั้น นกฝูงหนึ่งกำลังกินข้าวอยู่ได้ยินเสียงของทหารจึงพากันแตกตื่น กรูบินขึ้นผ่านหน้าม้าของโจโฉ ม้านั้นก็ตระหนกวิ่งตื่นเข้าไปในนาของราษฎร ทำให้ข้าวสาลีเสียหายเป็นอันมาก

            ครั้นเกิดเหตุการณ์ขึ้นเช่นนี้ โจโฉจึงคิดอ่านอุบายสร้างภาพพจน์ให้กับตัวเอง สั่งให้หยุดกองทัพ แล้วเชิญแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาประชุมปรึกษาแล้วว่า ตามที่กองทัพได้ออกประกาศวินัยศึกห้ามมิให้ทหารเบียดเบียนทำให้ข้าวสาลีของราษฎรเสียหาย แต่บัดนี้ข้าพเจ้าซึ่งเป็นทหารคนหนึ่งกระทำผิดกฎของกองทัพ จึงขอท่านทั้งปวงได้ประชุมปรึกษาโทษของข้าพเจ้าด้วย

            บรรดาแม่ทัพนายกองได้ฟังคำโจโฉแล้วก็พากันออกความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า การครั้งนี้เกิดแต่เหตุสุดวิสัย โจโฉไม่ต้องรับผิดชอบ หากจะเป็นความผิดก็ต้องลงโทษนกที่ทำให้ม้าแตกตื่น เป็นการยกเอาข้อกฎหมายว่าด้วยการไม่มีเจตนาในการกระทำความผิดมาแก้ต่างให้กับโจโฉ

            โจโฉได้ยินดังนั้นจึงว่าตัวเราเป็นผู้ใหญ่ หากทำผิดแล้วทำตัวเป็นศรีธนญชัย ตีความกฎหมายเอาแต่เข้าข้างตัวเองเพื่อให้พ้นผิดก็จะถูกคนรุ่นหลังตำหนิติเตียนว่าไม่ตั้งอยู่ในสัตย์ธรรม ว่าแล้วก็ชักกระบี่ออกจากฝักทำทีว่าจะเชือดคอตาย

            บรรดาแม่ทัพนายกองไม่แจ้งความคิดของโจโฉก็ตกใจ แต่กุยแกนั้นอยู่ใกล้กว่าเพื่อนจึงเข้าไปยื้อกระบี่แล้วแย่งออกมาจากมือของโจโฉแล้วว่า “ซึ่งมหาอุปราชกระทำดังนี้ก็ควรอยู่แล้ว แต่ตัวข้าพเจ้า นายทัพ นายกองแลราษฎรทั้งปวง ได้อยู่เย็นเป็นสุขก็เพราะบุญมหาอุปราช มหาอุปราชจะฆ่าตัวเสียบัดนี้ ราษฎรทั้งปวงไม่ได้มีที่พึ่งก็จะได้ความเดือดร้อน”

            ด้วยสติปัญญาของกุยแกคงจะแจ้งความคิดของโจโฉ ดังนั้นจึงช่วยผสมโรงเพื่อเสริมสร้างความศรัทธาในตัวโจโฉ และกล่าวความเพื่อให้การดำเนินไปตามความคิดของโจโฉ

            โจโฉหันมาสบตากุยแก ทำทีทอดใจใหญ่แล้วว่า “ท่านว่านี้ชอบอยู่แล้ว แต่ท่านจะขอเป็นคำขาดนั้นมิได้ เราจำจะทำให้เป็นตัวอย่าง”

            ว่าแล้วโจโฉก็เอากระบี่ตัดมวยผมส่งให้ทหาร สั่งให้เอามวยผมที่ตัดนั้นไปป่าวร้องประกาศให้ราษฎรได้ทราบทั่วกันว่า โจโฉได้กระทำความผิด คิดจะลงโทษประหารตัวเอง แต่บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ร้องขอให้เว้นโทษตาย เพื่ออยู่ทำนุบำรุงแผ่นดินและราษฎรให้เป็นสุขสืบไป   ดังนั้นโจโฉจึงตัดมวยผมแทนศีรษะเพื่อให้ผู้คนทั้งปวงได้ทราบว่าโจโฉสำนึกความผิดและรับโทษตามคำขอของบรรดาแม่ทัพนายกองนั้น

            บรรดาแม่ทัพนายกองแลราษฎรทั้งปวงครั้นได้ทราบความแล้วต่างก็สรรเสริญความเคร่งครัดในระเบียบวินัยและความซื่อตรงต่อกฎระเบียบของโจโฉถ้วนหน้ากัน ในขณะเดียวกันก็เกรงอาญาสิทธิ์ของโจโฉเป็นอันมากเพราะแม้ตัวเองทำผิดก็มิได้ละเว้น

            อันการสร้างภาพพจน์หลอกให้ราษฎรหลงเชื่อถือศรัทธามีมาแต่ครั้งโบราณกาลแล้ว และเห็นผลจากการลวงราษฎรมานานนับพันปี ดังนั้นนักการเมืองในยุคปัจจุบันจึงได้เลียนแบบอย่างแทนที่จะถือเอาการสร้างคุณงามความดีในการทำนุบำรุงแผ่นดินแลราษฎรให้เป็นสุข กลับเน้นแต่การสร้างภาพพจน์ เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น หลอกลวงราษฎร ปกปิดการกระทำของตัวเองที่ทำชั่วช้าสารพัดโดยไม่กลัวบาป กลัวนรก หลอกลวงด่าว่าได้แม้กระทั่งพระสงฆ์องคเจ้า.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร