ตอนที่ 87. ศึกทัพกษัตริย์กำมะลอ
ตันเต๋งยินคำถามของลิโป้แล้วก็รู้ว่าลิโป้หลงเข้ามาในคำลวงของตน จึงลวงลิโป้ต่อไปว่าข้าพเจ้าก็มีความสงสัยเช่นเดียวกับท่าน และได้ถามโจโฉอย่างเดียวกันว่าในเมื่อท่านเห็นว่าลิโป้เป็นพญานกอินทรีแล้ว ใครเล่าที่เป็นกระต่าย
ตันเต๋งจึงว่าต่อไปว่า ครั้นข้าพเจ้าถามโจโฉดั่งนี้แล้วโจโฉจึงบอกว่ากระต่ายนั้นคือ “อ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง ซุนเซ็กเจ้าเมืองกังตั๋ง อ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว เล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว เล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวน และเตียวฬ่อเจ้าเมืองฮันต๋ง”
ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ ครึ้มอกครึ้มใจเป็นอันมาก เข้าใจเอาเองว่าโจโฉมองเห็นความสำคัญของตนยิ่งกว่าบรรดาเจ้าเมืองหัวเมืองเอกชั้นพิเศษทั้งหกคน หัวเราะดังสนั่นแล้วว่าท่านอัครมหาเสนาบดีมีสติปัญญาและสายตาแหลมคม มองการทั้งปวงทะลุปรุโปร่งดังนิ้วในฝ่ามือ หัวเราะแล้วจึงขอบคุณตันเต๋งที่ช่วยพูดจาว่ากล่าวกับโจโฉ
ตันเต๋งเอาตัวรอดจากคมกระบี่ของลิโป้ด้วยการเสกสรรปั้นแต่งเรื่องราวอันน่าเชื่อถือขึ้นมาลวงลิโป้ แต่ลิโป้นั้นได้รับแต่ลมปากและความหลงภาคภูมิใจในคำลวงของ ตันเต๋ง โดยหารู้ไม่ว่าคำลวงนั้นได้แฝงเร้นไว้ด้วยยาพิษที่วางลงไว้ในใจของลิโป้ เพราะเป็นการชักนำศัตรูตัวฉกาจถึงหกคนเข้าสู่ความคิดคำนึงของลิโป้ รอวันเวลากำเริบขึ้นแล้วลิโป้ก็จะถูกศัตรูตัวฉกาจเหล่านั้นกำจัดเสีย
ตันเต๋งเห็นลิโป้กำลังกระหยิ่มระเริงใจเป็นทีที่จะปลีกตัวออกมา จึงแสร้งกล่าวว่านับแต่วันนี้ไปภารกิจราชการบ้านเมืองคงจะไหลหลั่งทะลักมาสู่ท่านด้วยความชื่นชมส่งเสริมจากโจโฉเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าก็จะได้พึ่งใบบุญท่านเป็นสุขสืบไป ลิโป้เสพยาหอมจากถ้อยร้อยวาจาของตันเต๋งดั่งนี้แล้วก็ปลื้มใจยิ่งนัก ตันเต๋งจึงถือโอกาสนั้นลาลิโป้กลับออกมา
ฝ่ายอ้วนสุดนับแต่ได้ตราพระลัญจกรไว้ทุกวันคืนไม่เป็นสุข ครุ่นคิดแต่การจะตั้งตัวขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ เร่งระดมเกณฑ์ชายฉกรรจ์เสริมกำลังกองทัพ เกณฑ์เสบียงอาหารไว้จนเต็มทุกยุ้งฉาง ตกแต่งกำแพงเมืองค่ายคูประตูหอรบแบบเมืองหลวงอันพระมหากษัตริย์สถิต และจัดเตรียมเครื่องใช้ไม้สอยอย่างธรรมเนียมพระมหากษัตริย์ทุกประการ
ครั้นเตรียมการทั้งปวงพร้อมแล้ว อ้วนสุดจึงเรียกประชุมขุนนางข้าราชการทั้งปวงของเมืองลำหยงแล้วประกาศแก่บรรดาขุนนางข้าราชการเหล่านั้นว่าพระเจ้าฮั่นโกโจปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น แต่เดิมมาก็หาใช่เชื้อพระวงศ์แห่งพระมหากษัตริย์ ทั้งมิใช่เชื้อสายของขุนนางอันประเสริฐ หากเป็นเพียงผู้ใหญ่บ้าน แต่ด้วยความเพียรพยายามก็ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า สถาปนาราชวงศ์ฮั่น ครองอำนาจสืบเนื่องมาได้ถึงสี่ร้อยปี บัดนี้ชะตาราชวงศ์ฮั่นดับสูญแล้ว แผ่นดินเป็นจลาจลทุกหย่อมหญ้า ตัวเราเองเป็นเชื้อสายขุนนางชั้นผู้ใหญ่สืบเนื่องมาถึงสี่แผ่นดิน ครั้นแผ่นดินเป็นจลาจล ราษฎรเดือดร้อนทุกข์เข็ญดั่งนี้ เราจึงจำเป็นต้องสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ท่านทั้งปวงจะมีความเห็นเป็นประการใด
เอียมเซียงขุนนางเมืองลำหยงตำแหน่งที่ปรึกษาได้ยินอ้วนสุดประกาศดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าที่ท่านจะสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์นั้นไม่ชอบ เพราะแม้แผ่นดินฮั่นจะอ่อนแอ แลตัวท่านเข้มแข็ง ผู้คนแลเสบียงพร้อมสรรพก็ตาม แต่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับครั้งแผ่นดินพระเจ้าติวอ๋อง
และว่าในสมัยพระเจ้าติวอ๋องนั้นกดขี่ข่มเหงราษฎร เป็นที่เคียดแค้นชิงชังของราษฎร แต่จิ๋วบุนอ๋องซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดีเป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน มีอำนาจปกครองหัวเมืองถึงสองในสามส่วนของพระเจ้าติวอ๋อง ถึงกระนั้นแล้วจิ๋ว บุนอ๋องก็มิได้ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า คงดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข ดังนั้นความสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินของจิ๋วบุนอ๋องจึงได้ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ บัดนี้แม้ว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้จะอ่อนแอแต่มิได้ข่มเหงเบียดเบียนราษฎรเหมือนเมื่อครั้งพระเจ้าติวอ๋อง ทั้งตัวท่านก็หาได้มีอำนาจวาสนาเสมอด้วยจิ๋วบุนอ๋องไม่ เหตุนี้ท่านจึงไม่ควรที่จะตั้งตัวขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์
อ้วนสุดได้ยินคำคัดค้านทัดทานก็โกรธเพราะคาดไม่ถึงว่าขุนนางเมืองลำหยงนี้จะมีผู้ใดบังอาจหาญกล้ามาทัดทานความปรารถนาของตัว จึงว่าบัดนี้ตราพระลัญจกรสำหรับพระมหากษัตริย์อยู่ในกำมือเรา การทั้งนี้เป็นเพราะสวรรค์ดลบันดาล กำหนดให้เราต้องสถาปนาตนเองเป็นพระมหากษัตริย์ คำทัดทานของท่านที่ยกเอาเรื่องของจิ๋วบุนอ๋องอันเป็นเรื่องราวแต่โบราณมาเปรียบเทียบด้วยเรานั้นไม่สมกับเหตุการณ์ปัจจุบัน เราหาฟังคำท่านไม่
บรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงได้ฟังดังนั้นคงจะเห็นว่าอ้วนสุดบัดนี้บ้าอำนาจไปแล้ว จะคัดค้านทัดทานประการใดคงจะไม่ได้ผล หากกลับจะเป็นผลร้าย ดังนั้นจึงต่างพากันนิ่งเงียบ
เสร็จการประชุมวันนั้นแล้ว อ้วนสุดก็ให้เตรียมการพิธี ตกแต่งอาคารสถานที่ทั่วทั้งเมืองแล้วประกาศสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ตั้งสมัญญานามว่า “ต๋องซือ” เพื่อให้ผู้คนทั้งปวงเข้าใจว่าอ้วนสุดเป็นเชื้อสายของพระมหากษัตริย์ คือพระเจ้างี่ซุ่นในกาลก่อน
ต่อมาวันหนึ่งหัวหน้ากองข่าวได้รายงานให้อ้วนสุดทราบว่าบัดนี้ลิโป้ได้แปรพักตร์ ตัดความสัมพันธ์กับเมืองลำหยง หันไปคบหาเป็นพรรคพวกของโจโฉ ทั้งได้จับเอาหันอิ้นเถ้าแก่ที่อ้วนสุดส่งไปรับลูกสาวให้แก่โจโฉ และได้ฆ่าผู้แทนที่ได้ส่งไปรับบุตรสาวของลิโป้เพื่อเข้าพิธีแต่งงานกับบุตรชายของอ้วนสุดแล้ว
อ้วนสุดได้ทราบรายงานดังนั้นก็โกรธ สั่งให้เตรียมกองทัพยี่สิบหมื่นเพื่อจะยกไปกำจัดลิโป้เสีย ตั้งให้เตียวหุนเป็นแม่ทัพใหญ่ ให้เกียวเสงกับตันกี๋เป็นแม่ทัพหน้า ให้ตันหลันเป็นปีกขวา ลุยป๊กเป็นปีกซ้าย ให้เตียวฮองกับหันเซียมเป็นกองทัพหลัง ให้กิเหลงเป็นกองทัพหนุน ให้โลหอง เลียงก๋อง งักจิวเป็นกองเสริมกองหนุนอีกกองหนึ่ง ตัวอ้วนสุดเป็นกองทัพหลวง คุมกำลังพลสามหมื่น และให้กิมเซี่ยงเป็นฝ่ายพลาธิการ จัดเตรียมเสบียงอาหารลำเลียงส่งให้แก่กองทัพอย่าให้ขัดสน จัดการกองทัพพร้อมแล้วอ้วนสุดจึงสั่งให้เคลื่อนทัพออกจากเมืองลำหยงไปเมืองชีจิ๋ว
ครั้นใกล้ชายแดนเมืองชีจิ๋ว เตียวหุนแม่ทัพใหญ่จึงเรียกประชุมบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวง กำหนดแผนการโจมตีเมืองชีจิ๋ว โดยจัดกองทัพเป็นเจ็ดสาย ให้เกียว เสงคุมทหารหนึ่งหมื่นยกไปตีเมืองเสียวพ่าย ให้ตันกี๋คุมทหารหนึ่งหมื่นยกไปตีเมืองกินโต๋ ให้ลุยป๊กคุมทหารหนึ่งหมื่นไปตีเมืองลองเอี๋ย ให้ตันหลันคุมทหารหนึ่งหมื่นไปตีเมืองเกียดเซ็ก ให้หันเซียมคุมทหารหนึ่งหมื่นไปตีเมืองแฮ้ฝือ ให้เอียวฮองคุมทหารหนึ่งหมื่นไปตีเมืองจุนสัว ตัวเตียวหุนคุมทหารที่เหลือตีเมืองชีจิ๋ว เมื่อเตรียมทหารพร้อมแล้วให้ยกออกแยกกันไปพร้อมกันทั้งเจ็ดทาง
ฝ่ายลิโป้ครั้นได้ทราบข่าวจากทหารลาดตระเวนว่าอ้วนสุดยกกองทัพใหญ่ยกมาตีเมืองชีจิ๋ว และให้แบ่งกองทัพเป็นเจ็ดสาย แยกเข้าตีเมืองชีจิ๋วและหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองชีจิ๋วอีกหกเมืองพร้อมกัน จึงให้เรียกประชุมที่ปรึกษาและบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงเพื่อเตรียมรับศึก
ครั้นที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมาประชุมพร้อมกันแล้ว ลิโป้จึงว่าบัดนี้อ้วนสุดยกกองทัพใหญ่แบ่งกำลังออกเป็นเจ็ดกองทัพ แยกเข้าตีเมืองชีจิ๋วและหัวเมืองที่ขึ้นต่อพร้อมกัน ท่านทั้งปวงจะคิดอ่านรับศึกครั้งนี้ประการใด
ตันก๋งที่ปรึกษาจึงว่าศึกครั้งนี้เกิดขึ้นก็เพราะตันกุ๋ย ตันเต๋งสองพ่อลูกลวงให้ท่านตัดความสัมพันธ์กับอ้วนสุด ยกเลิกการผูกดองเสีย แล้วชักจูงให้ท่านหันไปคบหาด้วย โจโฉ อ้วนสุดจึงโกรธแล้วยกกองทัพใหญ่มาครั้งนี้ การรับศึกจึงต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ ดังนั้นจึงขอให้ท่านจับตันกุ๋ย ตันเต๋ง สองพ่อลูกประหารเสีย ตัดศีรษะแล้วส่งไปขอขมาอ้วนสุดว่าสองพ่อลูกเป็นต้นเหตุทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองเมืองต้องมีอันเป็นไป บัดนี้ท่านทราบความจริงแล้วจึงประหารสองพ่อลูกเสีย อ้วนสุดก็จะสิ้นความแคลงใจต่อท่าน แล้วไมตรีของทั้งสองเมืองก็จะกลับฟื้นคืนดังเดิม
ลิโป้เรียกประชุมในตอนแรกก็มีเจตจำนงที่จะเตรียมรับศึกกับกองทัพของอ้วนสุด แต่ครั้นได้ฟังคำตันก๋งก็เปลี่ยนใจ กลับเห็นด้วยกับความคิดของตันก๋ง จึงสั่งให้ทหารจับตัวตันกุ๋ย และตันเต๋งและให้เอาไปประหาร
ตันเต๋งได้ยินดังนั้นก็หัวเราะดังสนั่นห้องประชุม แล้วว่าตัวท่านเป็นคนมีสติปัญญาและมีฝีมือกล้าหาญ ไฉนเล่าจึงคล้อยตามคำของคนขลาดที่มีความคิดแต่จะยอมจำนน เห็นแก่ความสุขเฉพาะหน้า เพราะกองทัพอ้วนสุดเป็นกองทัพเสือกระดาษ หาควรเกรงกลัวแต่ประการใดไม่ “กองทัพอ้วนสุดเจ็ดกองเท่านี้อุปมาเหมือนหญ้าเจ็ดกำอันใกล้ปากโค ถ้าจะคิดทำการเห็นกองทัพอ้วนสุดนั้นจะไม่พอความคิดเสียอีก”
ลิโป้ได้ฟังคำโอ่ของตันเต๋งในยามต้องคำสั่งประหาร แต่คำโอ่นั้นกระทบใจที่ชอบการรบราฆ่าฟันก็สงสัย จึงถามตันเต๋งว่าท่านจะคิดอ่านประการใดจึงจะทำลายกองทัพของอ้วนสุดให้ราบคาบไปได้ และว่าถ้าท่านสามารถคิดอ่านปราบอ้วนสุดในครั้งนี้ได้เราก็จะอภัยโทษให้ทั้งสองพ่อลูก
ตันเต๋งยินคำลิโป้แล้วก็รู้ว่าลิโป้กำลังเดินเข้ามาในทางที่วางกำหนดไว้ให้ จึงโอ่ต่อไปว่าหากท่านวางใจให้ข้าพเจ้าบัญชาการศึกครั้งนี้ขอเอาศีรษะเป็นประกันว่าเมืองชีจิ๋วจะปลอดภัยและจะตีทัพอ้วนสุดให้แตกทัพไปจงได้
ลิโป้จึงถามว่าความคิดอ่านของท่านเป็นประการใด จงว่ามาให้แจ้งเถิด ตันเต๋งจึงว่าทหารอ้วนสุดแม้จะมีเป็นจำนวนมากแต่เป็นพวกร้อยพ่อพันแม่ มารวมตัวกันได้ก็เพราะผลประโยชน์ ไม่ได้มีอุดมการณ์หรือความคิดตั้งใจสู้รบเพื่อบ้านเมือง ทั้งไม่ชำนาญในการศึกสงคราม สภาพการณ์ภายในกองทัพอ้วนสุดมีแต่ความไม่ไว้วางใจกันและกัน กองทัพของอ้วนสุดจึงไม่เป็นเอกภาพ และอ่อนแอประดุจเต้าหู้ กระทบของแข็งแม้แต่เล็กน้อยก็จะแตกกระจายไปสิ้น
แล้วว่าเมืองชีจิ๋วของเรานี้อุดมสมบูรณ์ กำลังทหารและผู้คนก็พรักพร้อม มีความสามัคคีสมานฉันท์เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ข้าพเจ้าประมาณการศึกของทั้งสองฝ่ายดังนี้ ดังนั้นหากจะทำศึกต่อกัน ชัยชนะย่อมตกอยู่กับท่านเป็นมั่นคง
ลิโป้เห็นตันเต๋งประมาณการศึกถูกต้องตรงตามความคิดของตัว จึงถามแผนการรับมือกองทัพอ้วนสุดต่อไปว่าท่านมีแผนการประการใด
ตันเต๋งจึงว่าในบรรดากองทัพทั้งเจ็ดสายนี้ จุดอ่อนที่สุดอยู่ตรงกองทัพของหันเซียมและเอียวฮอง เพราะทั้งสองคนนี้เดิมเป็นข้าราชการในพระเจ้าเหี้ยนเต้ ทำคุณต่อแผ่นดินไว้เป็นอันมาก แต่ครั้นโจโฉเข้าครองอำนาจรัฐ สองคนนี้เกรงว่าบทบาทของตัวจะลดความหมายลง จึงได้หนีไปอาศัยอยู่กับอ้วนสุด แต่อ้วนสุดไม่ได้ไว้วางใจและไม่ได้เลี้ยงดูถึงขนาด จึงขอให้ท่านมีหนังสือลับไปถึงสองคนนี้ให้รำลึกถึงคุณแผ่นดินที่มีมาแต่ก่อน สองคนนี้คงจะกลับใจและถือโอกาสนี้ทำคุณแก่แผ่นดินเพื่อจะได้กลับเข้ารับราชการดังเดิม จึงคงเหลือกองทัพอีกห้าสาย ขอให้ท่านแต่งหนังสือบอกไปถึงโจโฉและเล่าปี่ให้ยกทหารมาช่วยตีกระหนาบหลังกองทัพอ้วนสุด ดังนี้อ้วนสุดก็จะแตกพ่ายไปเป็นแน่แท้
ลิโป้จึงถามว่าผู้ใดจะอาสาไปเกลี้ยกล่อมเอียวฮองและหันเซียม ตันเต๋งจึงอาสาว่าข้าพเจ้ารู้จักคุ้นเคยสองคนนี้มาแต่ก่อน จะขออาสาไปเกลี้ยกล่อมให้ทำการสำเร็จจงได้
ลิโป้ฟังแผนการของตันเต๋งแล้วเห็นหนทางสว่างไสวที่จะเอาชัยชนะต่อกองทัพของอ้วนสุดก็ดีใจ จึงแต่งหนังสือถึงเอียวฮองและหันเซียม ให้ตันเต๋งถือไปหาหันเซียมและเอียวฮองที่เมืองแฮ้ฝือและเมืองจุนสัว และแต่งหนังสือให้ทหารรีบถือไปเมืองฮูโต๋แจ้งความศึกให้โจโฉทราบฉบับหนึ่ง และไปเมืองอิจิ๋วแจ้งความศึกให้เล่าปี่ทราบอีกฉบับหนึ่ง
ตันเต๋งรับอาสาแล้วก็เอาหนังสือของลิโป้ออกจากเมืองชีจิ๋ว พาทหารสิบสองคนคอยคุ้มกันตรงไปเมืองแฮ้ฝือก่อน ครั้นทราบข่าวว่าหันเซียมยกกองทัพมาตั้งค่ายประชิดเมือง ตันเต๋งจึงเข้าไปขอพบหันเซียม
หันเซียมทราบว่าตันเต๋งคนคุ้นเคยมาแต่ก่อนมาขอพบ ก็ให้ทหารพาเข้ามาพบในค่าย คารวะกันตามธรรมเนียมแล้วหันเซียมจึงถามว่า ตัวท่านเป็นฝ่ายลิโป้เหตุไฉนจึงมาพบข้าพเจ้าซึ่งเป็นฝ่ายอ้วนสุดถึงค่ายนี้
ตันเต๋งหัวเราะแล้วตอบว่า ไฉนท่านจึงกล่าวความดั่งนี้ เพราะตัวข้าพเจ้านั้นแต่ไหนแต่ไรมาเป็นข้าแผ่นดินในพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านก็ทราบดี เหตุใดจึงมา กล่าวหาว่าข้าพเจ้าเป็นพวกลิโป้เล่า อนึ่งนั้นตัวท่านก็เหมือนกับข้าพเจ้า เป็นข้าแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่ด้วยกัน ใยจึงเปลี่ยนไปยอมรับนับถือว่าเป็นข้าของอ้วนสุด ซึ่งเป็นขบถต่อแผ่นดิน.
ตันเต๋งจึงว่าต่อไปว่า ครั้นข้าพเจ้าถามโจโฉดั่งนี้แล้วโจโฉจึงบอกว่ากระต่ายนั้นคือ “อ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง ซุนเซ็กเจ้าเมืองกังตั๋ง อ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว เล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว เล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวน และเตียวฬ่อเจ้าเมืองฮันต๋ง”
ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ ครึ้มอกครึ้มใจเป็นอันมาก เข้าใจเอาเองว่าโจโฉมองเห็นความสำคัญของตนยิ่งกว่าบรรดาเจ้าเมืองหัวเมืองเอกชั้นพิเศษทั้งหกคน หัวเราะดังสนั่นแล้วว่าท่านอัครมหาเสนาบดีมีสติปัญญาและสายตาแหลมคม มองการทั้งปวงทะลุปรุโปร่งดังนิ้วในฝ่ามือ หัวเราะแล้วจึงขอบคุณตันเต๋งที่ช่วยพูดจาว่ากล่าวกับโจโฉ
ตันเต๋งเอาตัวรอดจากคมกระบี่ของลิโป้ด้วยการเสกสรรปั้นแต่งเรื่องราวอันน่าเชื่อถือขึ้นมาลวงลิโป้ แต่ลิโป้นั้นได้รับแต่ลมปากและความหลงภาคภูมิใจในคำลวงของ ตันเต๋ง โดยหารู้ไม่ว่าคำลวงนั้นได้แฝงเร้นไว้ด้วยยาพิษที่วางลงไว้ในใจของลิโป้ เพราะเป็นการชักนำศัตรูตัวฉกาจถึงหกคนเข้าสู่ความคิดคำนึงของลิโป้ รอวันเวลากำเริบขึ้นแล้วลิโป้ก็จะถูกศัตรูตัวฉกาจเหล่านั้นกำจัดเสีย
ตันเต๋งเห็นลิโป้กำลังกระหยิ่มระเริงใจเป็นทีที่จะปลีกตัวออกมา จึงแสร้งกล่าวว่านับแต่วันนี้ไปภารกิจราชการบ้านเมืองคงจะไหลหลั่งทะลักมาสู่ท่านด้วยความชื่นชมส่งเสริมจากโจโฉเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าก็จะได้พึ่งใบบุญท่านเป็นสุขสืบไป ลิโป้เสพยาหอมจากถ้อยร้อยวาจาของตันเต๋งดั่งนี้แล้วก็ปลื้มใจยิ่งนัก ตันเต๋งจึงถือโอกาสนั้นลาลิโป้กลับออกมา
ฝ่ายอ้วนสุดนับแต่ได้ตราพระลัญจกรไว้ทุกวันคืนไม่เป็นสุข ครุ่นคิดแต่การจะตั้งตัวขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ เร่งระดมเกณฑ์ชายฉกรรจ์เสริมกำลังกองทัพ เกณฑ์เสบียงอาหารไว้จนเต็มทุกยุ้งฉาง ตกแต่งกำแพงเมืองค่ายคูประตูหอรบแบบเมืองหลวงอันพระมหากษัตริย์สถิต และจัดเตรียมเครื่องใช้ไม้สอยอย่างธรรมเนียมพระมหากษัตริย์ทุกประการ
ครั้นเตรียมการทั้งปวงพร้อมแล้ว อ้วนสุดจึงเรียกประชุมขุนนางข้าราชการทั้งปวงของเมืองลำหยงแล้วประกาศแก่บรรดาขุนนางข้าราชการเหล่านั้นว่าพระเจ้าฮั่นโกโจปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น แต่เดิมมาก็หาใช่เชื้อพระวงศ์แห่งพระมหากษัตริย์ ทั้งมิใช่เชื้อสายของขุนนางอันประเสริฐ หากเป็นเพียงผู้ใหญ่บ้าน แต่ด้วยความเพียรพยายามก็ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า สถาปนาราชวงศ์ฮั่น ครองอำนาจสืบเนื่องมาได้ถึงสี่ร้อยปี บัดนี้ชะตาราชวงศ์ฮั่นดับสูญแล้ว แผ่นดินเป็นจลาจลทุกหย่อมหญ้า ตัวเราเองเป็นเชื้อสายขุนนางชั้นผู้ใหญ่สืบเนื่องมาถึงสี่แผ่นดิน ครั้นแผ่นดินเป็นจลาจล ราษฎรเดือดร้อนทุกข์เข็ญดั่งนี้ เราจึงจำเป็นต้องสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ท่านทั้งปวงจะมีความเห็นเป็นประการใด
เอียมเซียงขุนนางเมืองลำหยงตำแหน่งที่ปรึกษาได้ยินอ้วนสุดประกาศดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าที่ท่านจะสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์นั้นไม่ชอบ เพราะแม้แผ่นดินฮั่นจะอ่อนแอ แลตัวท่านเข้มแข็ง ผู้คนแลเสบียงพร้อมสรรพก็ตาม แต่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับครั้งแผ่นดินพระเจ้าติวอ๋อง
และว่าในสมัยพระเจ้าติวอ๋องนั้นกดขี่ข่มเหงราษฎร เป็นที่เคียดแค้นชิงชังของราษฎร แต่จิ๋วบุนอ๋องซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดีเป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน มีอำนาจปกครองหัวเมืองถึงสองในสามส่วนของพระเจ้าติวอ๋อง ถึงกระนั้นแล้วจิ๋ว บุนอ๋องก็มิได้ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า คงดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข ดังนั้นความสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินของจิ๋วบุนอ๋องจึงได้ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ บัดนี้แม้ว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้จะอ่อนแอแต่มิได้ข่มเหงเบียดเบียนราษฎรเหมือนเมื่อครั้งพระเจ้าติวอ๋อง ทั้งตัวท่านก็หาได้มีอำนาจวาสนาเสมอด้วยจิ๋วบุนอ๋องไม่ เหตุนี้ท่านจึงไม่ควรที่จะตั้งตัวขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์
อ้วนสุดได้ยินคำคัดค้านทัดทานก็โกรธเพราะคาดไม่ถึงว่าขุนนางเมืองลำหยงนี้จะมีผู้ใดบังอาจหาญกล้ามาทัดทานความปรารถนาของตัว จึงว่าบัดนี้ตราพระลัญจกรสำหรับพระมหากษัตริย์อยู่ในกำมือเรา การทั้งนี้เป็นเพราะสวรรค์ดลบันดาล กำหนดให้เราต้องสถาปนาตนเองเป็นพระมหากษัตริย์ คำทัดทานของท่านที่ยกเอาเรื่องของจิ๋วบุนอ๋องอันเป็นเรื่องราวแต่โบราณมาเปรียบเทียบด้วยเรานั้นไม่สมกับเหตุการณ์ปัจจุบัน เราหาฟังคำท่านไม่
บรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงได้ฟังดังนั้นคงจะเห็นว่าอ้วนสุดบัดนี้บ้าอำนาจไปแล้ว จะคัดค้านทัดทานประการใดคงจะไม่ได้ผล หากกลับจะเป็นผลร้าย ดังนั้นจึงต่างพากันนิ่งเงียบ
เสร็จการประชุมวันนั้นแล้ว อ้วนสุดก็ให้เตรียมการพิธี ตกแต่งอาคารสถานที่ทั่วทั้งเมืองแล้วประกาศสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ตั้งสมัญญานามว่า “ต๋องซือ” เพื่อให้ผู้คนทั้งปวงเข้าใจว่าอ้วนสุดเป็นเชื้อสายของพระมหากษัตริย์ คือพระเจ้างี่ซุ่นในกาลก่อน
ต่อมาวันหนึ่งหัวหน้ากองข่าวได้รายงานให้อ้วนสุดทราบว่าบัดนี้ลิโป้ได้แปรพักตร์ ตัดความสัมพันธ์กับเมืองลำหยง หันไปคบหาเป็นพรรคพวกของโจโฉ ทั้งได้จับเอาหันอิ้นเถ้าแก่ที่อ้วนสุดส่งไปรับลูกสาวให้แก่โจโฉ และได้ฆ่าผู้แทนที่ได้ส่งไปรับบุตรสาวของลิโป้เพื่อเข้าพิธีแต่งงานกับบุตรชายของอ้วนสุดแล้ว
อ้วนสุดได้ทราบรายงานดังนั้นก็โกรธ สั่งให้เตรียมกองทัพยี่สิบหมื่นเพื่อจะยกไปกำจัดลิโป้เสีย ตั้งให้เตียวหุนเป็นแม่ทัพใหญ่ ให้เกียวเสงกับตันกี๋เป็นแม่ทัพหน้า ให้ตันหลันเป็นปีกขวา ลุยป๊กเป็นปีกซ้าย ให้เตียวฮองกับหันเซียมเป็นกองทัพหลัง ให้กิเหลงเป็นกองทัพหนุน ให้โลหอง เลียงก๋อง งักจิวเป็นกองเสริมกองหนุนอีกกองหนึ่ง ตัวอ้วนสุดเป็นกองทัพหลวง คุมกำลังพลสามหมื่น และให้กิมเซี่ยงเป็นฝ่ายพลาธิการ จัดเตรียมเสบียงอาหารลำเลียงส่งให้แก่กองทัพอย่าให้ขัดสน จัดการกองทัพพร้อมแล้วอ้วนสุดจึงสั่งให้เคลื่อนทัพออกจากเมืองลำหยงไปเมืองชีจิ๋ว
ครั้นใกล้ชายแดนเมืองชีจิ๋ว เตียวหุนแม่ทัพใหญ่จึงเรียกประชุมบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวง กำหนดแผนการโจมตีเมืองชีจิ๋ว โดยจัดกองทัพเป็นเจ็ดสาย ให้เกียว เสงคุมทหารหนึ่งหมื่นยกไปตีเมืองเสียวพ่าย ให้ตันกี๋คุมทหารหนึ่งหมื่นยกไปตีเมืองกินโต๋ ให้ลุยป๊กคุมทหารหนึ่งหมื่นไปตีเมืองลองเอี๋ย ให้ตันหลันคุมทหารหนึ่งหมื่นไปตีเมืองเกียดเซ็ก ให้หันเซียมคุมทหารหนึ่งหมื่นไปตีเมืองแฮ้ฝือ ให้เอียวฮองคุมทหารหนึ่งหมื่นไปตีเมืองจุนสัว ตัวเตียวหุนคุมทหารที่เหลือตีเมืองชีจิ๋ว เมื่อเตรียมทหารพร้อมแล้วให้ยกออกแยกกันไปพร้อมกันทั้งเจ็ดทาง
ฝ่ายลิโป้ครั้นได้ทราบข่าวจากทหารลาดตระเวนว่าอ้วนสุดยกกองทัพใหญ่ยกมาตีเมืองชีจิ๋ว และให้แบ่งกองทัพเป็นเจ็ดสาย แยกเข้าตีเมืองชีจิ๋วและหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองชีจิ๋วอีกหกเมืองพร้อมกัน จึงให้เรียกประชุมที่ปรึกษาและบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงเพื่อเตรียมรับศึก
ครั้นที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมาประชุมพร้อมกันแล้ว ลิโป้จึงว่าบัดนี้อ้วนสุดยกกองทัพใหญ่แบ่งกำลังออกเป็นเจ็ดกองทัพ แยกเข้าตีเมืองชีจิ๋วและหัวเมืองที่ขึ้นต่อพร้อมกัน ท่านทั้งปวงจะคิดอ่านรับศึกครั้งนี้ประการใด
ตันก๋งที่ปรึกษาจึงว่าศึกครั้งนี้เกิดขึ้นก็เพราะตันกุ๋ย ตันเต๋งสองพ่อลูกลวงให้ท่านตัดความสัมพันธ์กับอ้วนสุด ยกเลิกการผูกดองเสีย แล้วชักจูงให้ท่านหันไปคบหาด้วย โจโฉ อ้วนสุดจึงโกรธแล้วยกกองทัพใหญ่มาครั้งนี้ การรับศึกจึงต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ ดังนั้นจึงขอให้ท่านจับตันกุ๋ย ตันเต๋ง สองพ่อลูกประหารเสีย ตัดศีรษะแล้วส่งไปขอขมาอ้วนสุดว่าสองพ่อลูกเป็นต้นเหตุทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองเมืองต้องมีอันเป็นไป บัดนี้ท่านทราบความจริงแล้วจึงประหารสองพ่อลูกเสีย อ้วนสุดก็จะสิ้นความแคลงใจต่อท่าน แล้วไมตรีของทั้งสองเมืองก็จะกลับฟื้นคืนดังเดิม
ลิโป้เรียกประชุมในตอนแรกก็มีเจตจำนงที่จะเตรียมรับศึกกับกองทัพของอ้วนสุด แต่ครั้นได้ฟังคำตันก๋งก็เปลี่ยนใจ กลับเห็นด้วยกับความคิดของตันก๋ง จึงสั่งให้ทหารจับตัวตันกุ๋ย และตันเต๋งและให้เอาไปประหาร
ตันเต๋งได้ยินดังนั้นก็หัวเราะดังสนั่นห้องประชุม แล้วว่าตัวท่านเป็นคนมีสติปัญญาและมีฝีมือกล้าหาญ ไฉนเล่าจึงคล้อยตามคำของคนขลาดที่มีความคิดแต่จะยอมจำนน เห็นแก่ความสุขเฉพาะหน้า เพราะกองทัพอ้วนสุดเป็นกองทัพเสือกระดาษ หาควรเกรงกลัวแต่ประการใดไม่ “กองทัพอ้วนสุดเจ็ดกองเท่านี้อุปมาเหมือนหญ้าเจ็ดกำอันใกล้ปากโค ถ้าจะคิดทำการเห็นกองทัพอ้วนสุดนั้นจะไม่พอความคิดเสียอีก”
ลิโป้ได้ฟังคำโอ่ของตันเต๋งในยามต้องคำสั่งประหาร แต่คำโอ่นั้นกระทบใจที่ชอบการรบราฆ่าฟันก็สงสัย จึงถามตันเต๋งว่าท่านจะคิดอ่านประการใดจึงจะทำลายกองทัพของอ้วนสุดให้ราบคาบไปได้ และว่าถ้าท่านสามารถคิดอ่านปราบอ้วนสุดในครั้งนี้ได้เราก็จะอภัยโทษให้ทั้งสองพ่อลูก
ตันเต๋งยินคำลิโป้แล้วก็รู้ว่าลิโป้กำลังเดินเข้ามาในทางที่วางกำหนดไว้ให้ จึงโอ่ต่อไปว่าหากท่านวางใจให้ข้าพเจ้าบัญชาการศึกครั้งนี้ขอเอาศีรษะเป็นประกันว่าเมืองชีจิ๋วจะปลอดภัยและจะตีทัพอ้วนสุดให้แตกทัพไปจงได้
ลิโป้จึงถามว่าความคิดอ่านของท่านเป็นประการใด จงว่ามาให้แจ้งเถิด ตันเต๋งจึงว่าทหารอ้วนสุดแม้จะมีเป็นจำนวนมากแต่เป็นพวกร้อยพ่อพันแม่ มารวมตัวกันได้ก็เพราะผลประโยชน์ ไม่ได้มีอุดมการณ์หรือความคิดตั้งใจสู้รบเพื่อบ้านเมือง ทั้งไม่ชำนาญในการศึกสงคราม สภาพการณ์ภายในกองทัพอ้วนสุดมีแต่ความไม่ไว้วางใจกันและกัน กองทัพของอ้วนสุดจึงไม่เป็นเอกภาพ และอ่อนแอประดุจเต้าหู้ กระทบของแข็งแม้แต่เล็กน้อยก็จะแตกกระจายไปสิ้น
แล้วว่าเมืองชีจิ๋วของเรานี้อุดมสมบูรณ์ กำลังทหารและผู้คนก็พรักพร้อม มีความสามัคคีสมานฉันท์เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ข้าพเจ้าประมาณการศึกของทั้งสองฝ่ายดังนี้ ดังนั้นหากจะทำศึกต่อกัน ชัยชนะย่อมตกอยู่กับท่านเป็นมั่นคง
ลิโป้เห็นตันเต๋งประมาณการศึกถูกต้องตรงตามความคิดของตัว จึงถามแผนการรับมือกองทัพอ้วนสุดต่อไปว่าท่านมีแผนการประการใด
ตันเต๋งจึงว่าในบรรดากองทัพทั้งเจ็ดสายนี้ จุดอ่อนที่สุดอยู่ตรงกองทัพของหันเซียมและเอียวฮอง เพราะทั้งสองคนนี้เดิมเป็นข้าราชการในพระเจ้าเหี้ยนเต้ ทำคุณต่อแผ่นดินไว้เป็นอันมาก แต่ครั้นโจโฉเข้าครองอำนาจรัฐ สองคนนี้เกรงว่าบทบาทของตัวจะลดความหมายลง จึงได้หนีไปอาศัยอยู่กับอ้วนสุด แต่อ้วนสุดไม่ได้ไว้วางใจและไม่ได้เลี้ยงดูถึงขนาด จึงขอให้ท่านมีหนังสือลับไปถึงสองคนนี้ให้รำลึกถึงคุณแผ่นดินที่มีมาแต่ก่อน สองคนนี้คงจะกลับใจและถือโอกาสนี้ทำคุณแก่แผ่นดินเพื่อจะได้กลับเข้ารับราชการดังเดิม จึงคงเหลือกองทัพอีกห้าสาย ขอให้ท่านแต่งหนังสือบอกไปถึงโจโฉและเล่าปี่ให้ยกทหารมาช่วยตีกระหนาบหลังกองทัพอ้วนสุด ดังนี้อ้วนสุดก็จะแตกพ่ายไปเป็นแน่แท้
ลิโป้จึงถามว่าผู้ใดจะอาสาไปเกลี้ยกล่อมเอียวฮองและหันเซียม ตันเต๋งจึงอาสาว่าข้าพเจ้ารู้จักคุ้นเคยสองคนนี้มาแต่ก่อน จะขออาสาไปเกลี้ยกล่อมให้ทำการสำเร็จจงได้
ลิโป้ฟังแผนการของตันเต๋งแล้วเห็นหนทางสว่างไสวที่จะเอาชัยชนะต่อกองทัพของอ้วนสุดก็ดีใจ จึงแต่งหนังสือถึงเอียวฮองและหันเซียม ให้ตันเต๋งถือไปหาหันเซียมและเอียวฮองที่เมืองแฮ้ฝือและเมืองจุนสัว และแต่งหนังสือให้ทหารรีบถือไปเมืองฮูโต๋แจ้งความศึกให้โจโฉทราบฉบับหนึ่ง และไปเมืองอิจิ๋วแจ้งความศึกให้เล่าปี่ทราบอีกฉบับหนึ่ง
ตันเต๋งรับอาสาแล้วก็เอาหนังสือของลิโป้ออกจากเมืองชีจิ๋ว พาทหารสิบสองคนคอยคุ้มกันตรงไปเมืองแฮ้ฝือก่อน ครั้นทราบข่าวว่าหันเซียมยกกองทัพมาตั้งค่ายประชิดเมือง ตันเต๋งจึงเข้าไปขอพบหันเซียม
หันเซียมทราบว่าตันเต๋งคนคุ้นเคยมาแต่ก่อนมาขอพบ ก็ให้ทหารพาเข้ามาพบในค่าย คารวะกันตามธรรมเนียมแล้วหันเซียมจึงถามว่า ตัวท่านเป็นฝ่ายลิโป้เหตุไฉนจึงมาพบข้าพเจ้าซึ่งเป็นฝ่ายอ้วนสุดถึงค่ายนี้
ตันเต๋งหัวเราะแล้วตอบว่า ไฉนท่านจึงกล่าวความดั่งนี้ เพราะตัวข้าพเจ้านั้นแต่ไหนแต่ไรมาเป็นข้าแผ่นดินในพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านก็ทราบดี เหตุใดจึงมา กล่าวหาว่าข้าพเจ้าเป็นพวกลิโป้เล่า อนึ่งนั้นตัวท่านก็เหมือนกับข้าพเจ้า เป็นข้าแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่ด้วยกัน ใยจึงเปลี่ยนไปยอมรับนับถือว่าเป็นข้าของอ้วนสุด ซึ่งเป็นขบถต่อแผ่นดิน.