ตอนที่ 80. ความฉลาดของคนโง่
ซุนเซ็กเถลิงอำนาจขึ้นในแคว้นกังตั๋งแล้ว แต่เป็นอำนาจในระดับแคว้นโดยที่รัฐบาลกลางยังไม่ได้รับรอง แม้ว่าจะยังไม่มีพระบรมราชโองการของฮ่องเต้โปรดเกล้าแต่งตั้งซุนเซ็กอย่างเป็นทางการ แต่โดยพฤตินัยนั้นอำนาจปกครองแคว้นกังตั๋งอยู่ที่ซุนเซ็ก หาได้อยู่ที่รัฐบาลกลางไม่
ในขณะเดียวกันโจโฉครองอำนาจรัฐส่วนกลาง มีอำนาจปกครองทั่วประเทศตามนิตินัย แต่โดยพฤตินัยกลับไม่มีอำนาจปกครองเหนือแคว้นกังตั๋ง ส่วนเล่าปี่ผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ฮั่นกลับตกต่ำลงลดฐานะจากเจ้าเมืองชีจิ๋วซึ่งเป็นหัวเมืองเอก กลับมาเป็นเจ้าเมืองเสียวพ่ายซึ่งเป็นหัวเมืองชั้นจัตวาและบัดนี้ขึ้นต่อเมืองชีจิ๋วที่มีลิโป้เป็นเจ้าเมือง และเป็นเจ้าเมืองทางพฤตินัยเช่นเดียวกัน เพราะลิโป้ก็มิได้รับการรับรองจากรัฐบาลกลาง
ดังนั้นถึงตอนนี้กลุ่มอำนาจที่ชัดเจนคือโจโฉ ซุนเซ็ก ลิโป้ และนี่คือผลโดยตรงจากการดำเนินนโยบายทางการเมือง การปกครองที่ผิดพลาดของโจโฉ ไม่เพียงแต่เท่านี้อ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยงก็กลายเป็นกลุ่มอำนาจอีกกลุ่มหนึ่งเพราะหลังจากได้รับจำนำตราพระลัญจกรจากซุนเซ็กแล้ว อ้วนสุดก็กำเริบคิดตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า
ความคิดที่ถือเอาตราพระลัญจกรเป็นหลักในการตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้านี้เป็นการแสดงถึงความโง่เขลาเบาปัญญาของอ้วนสุดโดยแท้ เพราะอำนาจและความเป็นเจ้านั้นไม่ได้อยู่ที่ตราพระลัญจกร หากอยู่ที่การสร้างสมอำนาจและบารมี มิฉะนั้นแล้วคนเฝ้ารักษาตราพระลัญจกรทุกยุคทุกสมัยย่อมเป็นเจ้ากันไปทุกคน
ในขณะที่อ้วนสุดกอดยึดเอาตราพระลัญจกร ตั้งความฝันที่จะอาศัยตราพระลัญจกรสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นเจ้านั้น อ้วนสุดก็ต้องตื่นจากความฝันเนื่องจากขุนนางเมืองลำหยงฝ่ายพิธีการทูตได้เข้ามารายงานว่าบัดนี้ซุนเซ็กได้แต่งตั้งผู้แทนมาทวงเอาตราพระลัญจกรแล้วจะคืนทหารและม้าศึกที่ยืมไป
อ้วนสุดได้ทราบรายงานดังนั้นก็บิดพลิ้วไม่ยอมคืนตราพระลัญจกร แจ้งกลับไปว่าซุนเซ็กเป็นฝ่ายผิดสัญญาจำนำเพราะหลังจากยืมทหารและม้าศึกเพื่อไปช่วยงอเก๋งเจ้าเมืองตันเอี๋ยงผู้เป็นน้าชายแล้ว ซุนเซ็กไม่คืนทหารและม้าศึกกลับเอาไปใช้ทำการใหญ่จนได้แคว้นกังตั๋ง ดังนั้นตราพระลัญจกรจึงตกเป็นสิทธิขาดแก่อ้วนสุดแล้ว
ผู้แทนของซุนเซ็กรับทราบท่าทีของอ้วนสุดแล้วจึงกลับไปเมืองกังตั๋งรายงานให้ซุนเซ็กทราบ ฝ่ายอ้วนสุดเกรงว่าจะมีข้อครหาว่าบิดพลิ้วยึดเอาตราพระลัญจกรของซุนเซ็กไว้ และเกรงว่าซุนเซ็กจะยกทหารมาโจมตีเมืองลำหยงจึงเรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกอง ปรึกษาว่าจะยกกองทัพไปกำจัดซุนเซ็กเสียก่อน
เอียวไต้เจียงเสนาธิการเมืองลำหยงจึงเสนอว่าบัดนี้ซุนเซ็กได้ครองอำนาจในแคว้นกังตั๋งแล้ว มีดินแดนกว้างใหญ่ ทหารที่มีฝีมือเข้มแข็งก็มีเป็นจำนวนมาก ราษฎรพรักพร้อม เสบียงอาหารก็อุดมสมบูรณ์ และยังมีแม่น้ำแยงซีเป็นปราการธรรมชาติ หากยกไปเห็นจะไม่ได้ชัยชนะ ทั้งเมื่อยกไปแล้วลิโป้และเล่าปี่คงจะฉวยโอกาสซ้ำเติม เราก็จะเสียการใหญ่ไป
อ้วนสุดจึงปรึกษาว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจะคิดการประการใด เอียวไต้เจียงจึงว่ากรณีจำเป็นต้องยกไปตีเล่าปี่ซึ่งอ่อนแอที่สุดก่อน ถ้าเล่าปี่แพ้แก่กองทัพเราแล้วก็จะเอาชนะซุนเซ็กในขั้นต่อไป
อ้วนสุดจึงว่าถ้ายกไปตีเมืองเสียวพ่าย ลิโป้ซึ่งเป็นเจ้าเมืองชีจิ๋วก็ย่อมยกมาช่วยเล่าปี่เราก็จะถูกตีกระหนาบ แล้วว่าข้าพเจ้าเห็นด้วยที่จะตีเล่าปี่ก่อนแต่ต้องหาทางไม่ให้ลิโป้ช่วยเหลือเล่าปี่ แลลิโป้นั้นเป็นคนโลภถ้าเราตั้งค่าตอบแทนที่พอเพียงแล้ว ลิโป้ก็จะทิ้งเล่าปี่เสีย เราก็จะกำจัดเล่าปี่ได้สำเร็จ
ที่ปรึกษาของอ้วนสุดได้ทักท้วงว่าเมื่อครั้งที่ท่านยกไปรบกับเล่าปี่ได้ขอให้ลิโป้ยกกองทัพไปช่วยและสัญญาว่าจะมอบม้าศึกห้าร้อย ข้าวห้าหมื่นถัง ทองเงินหมื่นตำลึง แพรพันพับนั้น ยังมิได้มอบข้าวของดังกล่าวแก่ลิโป้ ดังนั้นลิโป้ย่อมขัดเคืองในเรื่องนี้คงจะไม่ยอมทำตามที่เราต้องการ
อ้วนสุดจึงว่าครั้งนั้นลิโป้มิได้เข้ารบพุ่งด้วยเล่าปี่ เป็นแต่เล่าปี่ยกทัพหนีไปเอง แต่เพื่อจูงใจลิโป้ดังนั้นครั้งนี้เราจะตั้งค่าตอบแทนเป็นเสบียงให้มาก ลิโป้มีเสบียงอยู่น้อยคงจะทำตามความประสงค์
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองเห็นชอบพร้อมกันกับแผนการของอ้วนสุด ดังนั้นอ้วนสุดจึงให้หันอิ้นเป็นทูตไปเจรจาความกับลิโป้ โดยนำข้าวยี่สิบหมื่นถังไปมอบเป็นกำนัลแก่ลิโป้ ขอสัญญาว่าอย่าให้ลิโป้ช่วยเหลือเล่าปี่
ครั้นลิโป้ได้ทราบความที่หันอิ้นมาเจรจา และเห็นของตอบแทนเป็นเสบียงจำนวนมากก็ดีใจ ตกปากรับคำว่าถึงแม้อ้วนสุดจะรบกับเล่าปี่ประการใด ลิโป้ก็จะไม่เข้าเกี่ยวข้อง หันอิ้นจึงกลับไปรายงานให้อ้วนสุดทราบ
อ้วนสุดเห็นการเป็นไปตามแผนการแล้วจึงตั้งให้กิเหลงเป็นแม่ทัพ ให้ลุยป๊กและตันหลันเป็นรองแม่ทัพคุมทหารห้าหมื่นยกไปตีเมืองเสียวพ่าย
ฝ่ายเล่าปี่ได้ข่าวศึกจึงปรึกษากับบิต๊ก ซุนเขียน กวนอู และเตียวหุยว่าเมืองเสียวพ่ายเป็นเมืองเล็ก เห็นจะรับมือข้าศึกไม่ได้ ซุนเขียนจึงเสนอว่าขอให้ท่านมีหนังสือไปขอความช่วยเหลือจากลิโป้ให้รีบยกกองทัพมาช่วย แล้วตีกระหนาบกองทัพกิเหลงทั้งสองด้านก็จะเอาชนะได้โดยง่าย
เตียวหุยจึงว่าลิโป้เป็นคนเนรคุณ เห็นเราลำบากคงจะไม่มาช่วย เล่าปี่แย้งว่าแม้ความคิดของเตียวหุยในครั้งนี้จะชอบด้วยเหตุผล แต่จำเป็นต้องลองใจลิโป้ตามคำซุนเขียนก่อน และลิโป้นั้นมีตันก๋งเป็นที่ปรึกษามีสติปัญญามาก คงจะต้องคิดอ่านระวังตัวว่าถ้าอ้วนสุดได้เมืองเสียวพ่ายแล้วก็อาจโจมตีเมืองชีจิ๋วต่อไป ถ้าเป็นไปตามที่คาดหมายนี้ลิโป้ย่อมต้องเข้าช่วยเหลือเรา
ทุกคนเห็นพ้องกับความเห็นของเล่าปี่ ดังนั้นเล่าปี่จึงให้ทหารถือหนังสือไปถึงลิโป้แจ้งข่าวศึกให้ทราบ และขอให้ลิโป้ยกกองทัพมาช่วย
ลิโป้ได้ตกปากรับคำอ้วนสุดไปแล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวในการศึกระหว่างอ้วนสุดกับเล่าปี่ แต่ครั้นได้รับหนังสือของเล่าปี่ก็เกิดลังเลในความคิดว่าจะเฉยหรือจะช่วยดี ดังนั้นจึงเรียกตันก๋งมาปรึกษา แจ้งความให้ตันก๋งทราบทุกประการแล้วออกความคิดเสียเองว่า “เราคิดว่าเล่าปี่อยู่ในเมืองเสียวพ่ายเห็นจะไม่ทำอันตรายแก่เรา ถ้าเราฟังคำอ้วนสุด อ้วนสุดรบได้เมืองเสียวพ่ายแล้ว เราจะวางศีรษะลงถึงหมอนเป็นปรกตินั้นหามิได้ เห็นอ้วนสุดจะกำเริบยกล่วงมาตีเอาเมืองชีจิ๋วเป็นมั่นคง เราจำจะยกไปช่วยเล่าปี่ป้องกันเมืองเสียวพ่ายไว้จึงจะควร”
ลิโป้นั้นแม้เป็นคนไร้สติปัญญา แต่วันนี้มีอายุมากขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น และมีความหวงแหนเมืองชีจิ๋ว ดังนั้นแม้จะรับสินบนของอ้วนสุด ตกปากรับคำว่าจะไม่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่พอเอาเข้าจริงก็คิดออกว่าการครั้งนี้สุดท้ายเมืองชีจิ๋วจะตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นจึงคิดบิดพลิ้วอ้วนสุดโดยไม่คำนึงถึงการผิดสัญญาเพราะถือเสียว่าอ้วนสุดก็เคยบิดพลิ้วสัญญาตัวมาแต่ก่อน
ตันก๋งได้ฟังความคิดลิโป้แล้วเห็นชอบด้วย แต่ก็แปลกใจที่ลิโป้วันนี้เฉลียวฉลาดทันเกมของอ้วนสุด ดังนั้นลิโป้จึงให้เตรียมกองทัพยกไปเมืองเสียวพ่าย
ฝ่ายกิเหลงเคลื่อนทัพมาถึงเมืองเสียวพ่าย ก็ให้ทหารตั้งค่ายลงประชิดกำแพงเมือง เตรียมการเข้าตีหักเอาเมืองต่อไป เล่าปี่ในขณะนี้มีทหารอยู่เพียงห้าพัน น้อยกว่าทหารของกิเหลงถึงสิบเท่า จึงจำใจต้องตั้งรับอยู่ในเมืองและเตรียมแผนการรบด้วยวิธีการรบ โดยอาศัยฝีมือทหารเอกเพื่อลดทอนความเสียเปรียบ
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) และฉบับสมบูรณ์กล่าวความตอนนี้ตรงกันว่า เล่าปี่ยกทหารออกไปตั้งค่ายรับศึกที่นอกเมือง แต่พิเคราะห์ดูแล้วไม่เห็นสม เพราะเล่าปี่มีทหารน้อยกว่ามาก หากยกทหารห้าพันออกไปรับศึกที่นอกเมืองแล้ว ภายในเมืองก็จะมีทหารน้อยกว่าน้อย เล่าปี่และคณะที่ปรึกษาย่อมคิดออกว่าถ้ากิเหลงแบ่งกำลังออกเป็นสองกอง กองหนึ่งเข้าปล้นค่าย อีกกองหนึ่งเข้าตีเมือง ใช้กำลังทหารที่เหนือกว่าทั้งในการโจมตีเมืองและในการโจมตีค่ายแล้ว เล่าปี่ก็จะเสียทั้งเมืองเสียทั้งค่าย
ดังนั้นการรบด้วยคนน้อยกับคนมากดังนี้ วิธีลดความได้เปรียบของข้าศึกจึงต้องอาศัยกำแพงเมือง ค่ายคูประตูหอรบเป็นที่มั่น แล้วอาศัยการรบด้วยฝีมือทหารเอก ซึ่งฝ่ายเล่าปี่ได้เปรียบฝ่ายกิเหลงเป็นหลัก และสามก๊กฉบับวิจารณ์บางฉบับก็ตั้งความสังเกตดังนี้
วันรุ่งขึ้นยังไม่ทันที่กิเหลงจะรบกับเล่าปี่ก็เห็นกองทัพของลิโป้ยกมาตั้งค่ายอยู่ทางด้านหลัง ระยะห่างกันเพียงชั่วสามระยะเกาทัณฑ์ยิงเท่านั้น ก็รู้ว่าลิโป้ยกมาช่วยเล่าปี่ จึงให้ทหารไปหาลิโป้ที่ค่ายแล้วถามว่า ลิโป้ตกปากรับคำว่าจะไม่เกี่ยวข้อง ทั้งรับเอาค่าตอบแทนไปแล้ว เหตุใดจึงยกมาช่วยเล่าปี่อีก จะไม่เป็นการบิดพลิ้วสัญญาดอกหรือ
ลิโป้ก็ยังเป็นลิโป้ที่สามารถหาเหตุผลพิสดารที่คนไม่คาดคิดได้อยู่เสมอ ครั้นถูกต่อว่าดังนั้นจึงตอบว่าเรายกมาทั้งนี้ไม่ได้ยกมาช่วยเล่าปี่ แต่เรายกมาป้องกันเมืองเสียวพ่าย ซึ่งขึ้นกับเมืองชีจิ๋ว หากท่านไม่ล่วงเข้ามาในเขตแดนเมืองเสียวพ่ายแล้ว เราก็จะไม่เกี่ยวข้องด้วย และว่าท่านมากล่าวว่าเรารับของตอบแทนแล้วบิดพลิ้วสัญญานั้นไม่ชอบ อ้วนสุดส่งข้าวแก่เราจะคิดเรื่องค่าตอบแทนไม่ให้เรายกมาช่วยเล่าปี่เป็นความคิดของอ้วนสุด แต่เรารับของตอบแทนเพราะคิดว่าเป็นค่าตอบแทนที่อ้วนสุดเคยขอให้เรายกไปรบเล่าปี่ ต่างคนต่างคิดกันเช่นนี้จะว่าเราบิดพลิ้วได้อย่างไร เพราะตัวเราเองยังไม่เคยตำหนิตัวเองว่าบิดพลิ้วเลยแม้แต่น้อย
แล้วว่าตัวเรานั้นเป็นผู้ใหญ่ ไม่ต้องการเห็นผู้น้อยทะเลาะวิวาทกัน จะหาทางให้ปรองดองกันสืบไป เจ้าจงกลับไปแจ้งกิเหลงให้มาหาเราที่ค่ายนี้ในเพลาเช้าวันพรุ่งนี้
ลิโป้บิดพลิ้วสัญญาที่ให้ไว้กับอ้วนสุดด้วยเหตุผลแบบลิโป้ ซึ่งทหารที่กิเหลงใช้มานั้นได้ฟังแล้วก็งุนงงสงสัยเป็นอันมากว่านี่เป็นเหตุผลของคนหรือไม่ มิหนำซ้ำยังวางตัวเป็นผู้ใหญ่แบบลิโป้เสียอีก แต่ทหารของกิเหลงเป็นผู้น้อยทั้งเกรงกลัวลิโป้ได้ฟังลิโป้แล้วก็รีบลากลับไปแจ้งให้กิเหลงทราบ
หลังจากทหารของกิเหลงกลับไปแล้ว ลิโป้ก็ให้ทหารไปเชิญเล่าปี่มาพบที่ค่ายตามเวลาที่นัดไว้กับกิเหลงนั้น เล่าปี่ครั้นได้ทราบคำเชิญจึงปรึกษากับกวนอู เตียวหุย
กวนอู เตียวหุย ทักท้วงไม่ให้เล่าปี่ไปที่ค่ายของลิโป้เกลือกว่าจะเป็นอันตราย แต่เล่าปี่เอาใจซื่อเข้าสู้กับคนใจคดแบบลิโป้ แย้งว่าลิโป้คงคิดถึงคุณที่ช่วยเหลือในยามยาก คงจะไม่คิดทำอันตรายต่อเรา นับเป็นความคิดที่กล้าหาญและเสี่ยงภัยมิใช่น้อย แต่ก็เป็นไปได้ว่าเล่าปี่อ่านใจคนแบบลิโป้กระจ่างว่า ลิโป้ยังคงต้องการเล่าปี่ไว้รักษาดุลอำนาจระหว่างเมือง คงจะไม่คิดทำอันตราย
กวนอู เตียวหุย เห็นเล่าปี่ไม่ฟังคำทัดทานจึงว่าเมื่อพี่ใหญ่ตัดสินใจไปดั่งนี้ก็จะขอตามไปด้วย เผื่อว่ามีเหตุการณ์นอกเหนือความคาดคิดเกิดขึ้นจะได้ช่วยกันคิดอ่านแก้ไข เล่าปี่ก็ตกลง
รุ่งขึ้นเล่าปี่จึงพากวนอู เตียวหุย ไปยังค่ายของลิโป้ก่อนเวลานัดหมาย เผื่อว่าลิโป้จะไม่ซื่อก็อาจเห็นพิรุธและหาทางแก้ไขไปตามสถานการณ์ได้ทันท่วงที ครั้นลิโป้ทราบว่าเล่าปี่มาก็ออกมาต้อนรับ จูงมือเล่าปี่เข้าไปในโรงบัญชาการทหาร แล้วบอกว่าข้าพเจ้ายกมาทั้งนี้จะช่วยท่านมิให้ถูกอ้วนสุดทำอันตรายได้ กวนอู เตียวหุย ก็เดินตามเข้าไปในโรงบัญชาการทหารนั้นแล้วยืนอยู่ข้างหลังเล่าปี่
พอถึงโรงบัญชาการ ทหารรักษาการณ์ก็เข้ามารายงานลิโป้ว่าบัดนี้กิเหลงกำลังมาที่ค่าย เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจเกรงว่าลิโป้จะคิดทำอันตราย ยังมิทันที่จะกล่าวความประการใด ลิโป้ก็ลุกออกไปที่หน้าค่าย
ขณะนั้นกิเหลงเดินเข้ามาถึงหน้าค่าย ลิโป้ก็เข้าไปต้อนรับแล้วบอกว่าบัดนี้เล่าปี่มารออยู่แล้ว กิเหลงได้ฟังดังนั้นก็ตกใจคิดว่าลิโป้จะคิดทำอันตราย
คนแบบลิโป้ใคร ๆ ก็เห็นว่าเป็นตัวอันตรายทั้งนั้น แม้กระทั่งเล่าปี่ซึ่งก่อนมาก็คิดว่าลิโป้คงคิดถึงบุญคุณและจะไม่ทำอันตราย.
ในขณะเดียวกันโจโฉครองอำนาจรัฐส่วนกลาง มีอำนาจปกครองทั่วประเทศตามนิตินัย แต่โดยพฤตินัยกลับไม่มีอำนาจปกครองเหนือแคว้นกังตั๋ง ส่วนเล่าปี่ผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ฮั่นกลับตกต่ำลงลดฐานะจากเจ้าเมืองชีจิ๋วซึ่งเป็นหัวเมืองเอก กลับมาเป็นเจ้าเมืองเสียวพ่ายซึ่งเป็นหัวเมืองชั้นจัตวาและบัดนี้ขึ้นต่อเมืองชีจิ๋วที่มีลิโป้เป็นเจ้าเมือง และเป็นเจ้าเมืองทางพฤตินัยเช่นเดียวกัน เพราะลิโป้ก็มิได้รับการรับรองจากรัฐบาลกลาง
ดังนั้นถึงตอนนี้กลุ่มอำนาจที่ชัดเจนคือโจโฉ ซุนเซ็ก ลิโป้ และนี่คือผลโดยตรงจากการดำเนินนโยบายทางการเมือง การปกครองที่ผิดพลาดของโจโฉ ไม่เพียงแต่เท่านี้อ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยงก็กลายเป็นกลุ่มอำนาจอีกกลุ่มหนึ่งเพราะหลังจากได้รับจำนำตราพระลัญจกรจากซุนเซ็กแล้ว อ้วนสุดก็กำเริบคิดตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า
ความคิดที่ถือเอาตราพระลัญจกรเป็นหลักในการตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้านี้เป็นการแสดงถึงความโง่เขลาเบาปัญญาของอ้วนสุดโดยแท้ เพราะอำนาจและความเป็นเจ้านั้นไม่ได้อยู่ที่ตราพระลัญจกร หากอยู่ที่การสร้างสมอำนาจและบารมี มิฉะนั้นแล้วคนเฝ้ารักษาตราพระลัญจกรทุกยุคทุกสมัยย่อมเป็นเจ้ากันไปทุกคน
ในขณะที่อ้วนสุดกอดยึดเอาตราพระลัญจกร ตั้งความฝันที่จะอาศัยตราพระลัญจกรสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นเจ้านั้น อ้วนสุดก็ต้องตื่นจากความฝันเนื่องจากขุนนางเมืองลำหยงฝ่ายพิธีการทูตได้เข้ามารายงานว่าบัดนี้ซุนเซ็กได้แต่งตั้งผู้แทนมาทวงเอาตราพระลัญจกรแล้วจะคืนทหารและม้าศึกที่ยืมไป
อ้วนสุดได้ทราบรายงานดังนั้นก็บิดพลิ้วไม่ยอมคืนตราพระลัญจกร แจ้งกลับไปว่าซุนเซ็กเป็นฝ่ายผิดสัญญาจำนำเพราะหลังจากยืมทหารและม้าศึกเพื่อไปช่วยงอเก๋งเจ้าเมืองตันเอี๋ยงผู้เป็นน้าชายแล้ว ซุนเซ็กไม่คืนทหารและม้าศึกกลับเอาไปใช้ทำการใหญ่จนได้แคว้นกังตั๋ง ดังนั้นตราพระลัญจกรจึงตกเป็นสิทธิขาดแก่อ้วนสุดแล้ว
ผู้แทนของซุนเซ็กรับทราบท่าทีของอ้วนสุดแล้วจึงกลับไปเมืองกังตั๋งรายงานให้ซุนเซ็กทราบ ฝ่ายอ้วนสุดเกรงว่าจะมีข้อครหาว่าบิดพลิ้วยึดเอาตราพระลัญจกรของซุนเซ็กไว้ และเกรงว่าซุนเซ็กจะยกทหารมาโจมตีเมืองลำหยงจึงเรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกอง ปรึกษาว่าจะยกกองทัพไปกำจัดซุนเซ็กเสียก่อน
เอียวไต้เจียงเสนาธิการเมืองลำหยงจึงเสนอว่าบัดนี้ซุนเซ็กได้ครองอำนาจในแคว้นกังตั๋งแล้ว มีดินแดนกว้างใหญ่ ทหารที่มีฝีมือเข้มแข็งก็มีเป็นจำนวนมาก ราษฎรพรักพร้อม เสบียงอาหารก็อุดมสมบูรณ์ และยังมีแม่น้ำแยงซีเป็นปราการธรรมชาติ หากยกไปเห็นจะไม่ได้ชัยชนะ ทั้งเมื่อยกไปแล้วลิโป้และเล่าปี่คงจะฉวยโอกาสซ้ำเติม เราก็จะเสียการใหญ่ไป
อ้วนสุดจึงปรึกษาว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจะคิดการประการใด เอียวไต้เจียงจึงว่ากรณีจำเป็นต้องยกไปตีเล่าปี่ซึ่งอ่อนแอที่สุดก่อน ถ้าเล่าปี่แพ้แก่กองทัพเราแล้วก็จะเอาชนะซุนเซ็กในขั้นต่อไป
อ้วนสุดจึงว่าถ้ายกไปตีเมืองเสียวพ่าย ลิโป้ซึ่งเป็นเจ้าเมืองชีจิ๋วก็ย่อมยกมาช่วยเล่าปี่เราก็จะถูกตีกระหนาบ แล้วว่าข้าพเจ้าเห็นด้วยที่จะตีเล่าปี่ก่อนแต่ต้องหาทางไม่ให้ลิโป้ช่วยเหลือเล่าปี่ แลลิโป้นั้นเป็นคนโลภถ้าเราตั้งค่าตอบแทนที่พอเพียงแล้ว ลิโป้ก็จะทิ้งเล่าปี่เสีย เราก็จะกำจัดเล่าปี่ได้สำเร็จ
ที่ปรึกษาของอ้วนสุดได้ทักท้วงว่าเมื่อครั้งที่ท่านยกไปรบกับเล่าปี่ได้ขอให้ลิโป้ยกกองทัพไปช่วยและสัญญาว่าจะมอบม้าศึกห้าร้อย ข้าวห้าหมื่นถัง ทองเงินหมื่นตำลึง แพรพันพับนั้น ยังมิได้มอบข้าวของดังกล่าวแก่ลิโป้ ดังนั้นลิโป้ย่อมขัดเคืองในเรื่องนี้คงจะไม่ยอมทำตามที่เราต้องการ
อ้วนสุดจึงว่าครั้งนั้นลิโป้มิได้เข้ารบพุ่งด้วยเล่าปี่ เป็นแต่เล่าปี่ยกทัพหนีไปเอง แต่เพื่อจูงใจลิโป้ดังนั้นครั้งนี้เราจะตั้งค่าตอบแทนเป็นเสบียงให้มาก ลิโป้มีเสบียงอยู่น้อยคงจะทำตามความประสงค์
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองเห็นชอบพร้อมกันกับแผนการของอ้วนสุด ดังนั้นอ้วนสุดจึงให้หันอิ้นเป็นทูตไปเจรจาความกับลิโป้ โดยนำข้าวยี่สิบหมื่นถังไปมอบเป็นกำนัลแก่ลิโป้ ขอสัญญาว่าอย่าให้ลิโป้ช่วยเหลือเล่าปี่
ครั้นลิโป้ได้ทราบความที่หันอิ้นมาเจรจา และเห็นของตอบแทนเป็นเสบียงจำนวนมากก็ดีใจ ตกปากรับคำว่าถึงแม้อ้วนสุดจะรบกับเล่าปี่ประการใด ลิโป้ก็จะไม่เข้าเกี่ยวข้อง หันอิ้นจึงกลับไปรายงานให้อ้วนสุดทราบ
อ้วนสุดเห็นการเป็นไปตามแผนการแล้วจึงตั้งให้กิเหลงเป็นแม่ทัพ ให้ลุยป๊กและตันหลันเป็นรองแม่ทัพคุมทหารห้าหมื่นยกไปตีเมืองเสียวพ่าย
ฝ่ายเล่าปี่ได้ข่าวศึกจึงปรึกษากับบิต๊ก ซุนเขียน กวนอู และเตียวหุยว่าเมืองเสียวพ่ายเป็นเมืองเล็ก เห็นจะรับมือข้าศึกไม่ได้ ซุนเขียนจึงเสนอว่าขอให้ท่านมีหนังสือไปขอความช่วยเหลือจากลิโป้ให้รีบยกกองทัพมาช่วย แล้วตีกระหนาบกองทัพกิเหลงทั้งสองด้านก็จะเอาชนะได้โดยง่าย
เตียวหุยจึงว่าลิโป้เป็นคนเนรคุณ เห็นเราลำบากคงจะไม่มาช่วย เล่าปี่แย้งว่าแม้ความคิดของเตียวหุยในครั้งนี้จะชอบด้วยเหตุผล แต่จำเป็นต้องลองใจลิโป้ตามคำซุนเขียนก่อน และลิโป้นั้นมีตันก๋งเป็นที่ปรึกษามีสติปัญญามาก คงจะต้องคิดอ่านระวังตัวว่าถ้าอ้วนสุดได้เมืองเสียวพ่ายแล้วก็อาจโจมตีเมืองชีจิ๋วต่อไป ถ้าเป็นไปตามที่คาดหมายนี้ลิโป้ย่อมต้องเข้าช่วยเหลือเรา
ทุกคนเห็นพ้องกับความเห็นของเล่าปี่ ดังนั้นเล่าปี่จึงให้ทหารถือหนังสือไปถึงลิโป้แจ้งข่าวศึกให้ทราบ และขอให้ลิโป้ยกกองทัพมาช่วย
ลิโป้ได้ตกปากรับคำอ้วนสุดไปแล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวในการศึกระหว่างอ้วนสุดกับเล่าปี่ แต่ครั้นได้รับหนังสือของเล่าปี่ก็เกิดลังเลในความคิดว่าจะเฉยหรือจะช่วยดี ดังนั้นจึงเรียกตันก๋งมาปรึกษา แจ้งความให้ตันก๋งทราบทุกประการแล้วออกความคิดเสียเองว่า “เราคิดว่าเล่าปี่อยู่ในเมืองเสียวพ่ายเห็นจะไม่ทำอันตรายแก่เรา ถ้าเราฟังคำอ้วนสุด อ้วนสุดรบได้เมืองเสียวพ่ายแล้ว เราจะวางศีรษะลงถึงหมอนเป็นปรกตินั้นหามิได้ เห็นอ้วนสุดจะกำเริบยกล่วงมาตีเอาเมืองชีจิ๋วเป็นมั่นคง เราจำจะยกไปช่วยเล่าปี่ป้องกันเมืองเสียวพ่ายไว้จึงจะควร”
ลิโป้นั้นแม้เป็นคนไร้สติปัญญา แต่วันนี้มีอายุมากขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น และมีความหวงแหนเมืองชีจิ๋ว ดังนั้นแม้จะรับสินบนของอ้วนสุด ตกปากรับคำว่าจะไม่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่พอเอาเข้าจริงก็คิดออกว่าการครั้งนี้สุดท้ายเมืองชีจิ๋วจะตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นจึงคิดบิดพลิ้วอ้วนสุดโดยไม่คำนึงถึงการผิดสัญญาเพราะถือเสียว่าอ้วนสุดก็เคยบิดพลิ้วสัญญาตัวมาแต่ก่อน
ตันก๋งได้ฟังความคิดลิโป้แล้วเห็นชอบด้วย แต่ก็แปลกใจที่ลิโป้วันนี้เฉลียวฉลาดทันเกมของอ้วนสุด ดังนั้นลิโป้จึงให้เตรียมกองทัพยกไปเมืองเสียวพ่าย
ฝ่ายกิเหลงเคลื่อนทัพมาถึงเมืองเสียวพ่าย ก็ให้ทหารตั้งค่ายลงประชิดกำแพงเมือง เตรียมการเข้าตีหักเอาเมืองต่อไป เล่าปี่ในขณะนี้มีทหารอยู่เพียงห้าพัน น้อยกว่าทหารของกิเหลงถึงสิบเท่า จึงจำใจต้องตั้งรับอยู่ในเมืองและเตรียมแผนการรบด้วยวิธีการรบ โดยอาศัยฝีมือทหารเอกเพื่อลดทอนความเสียเปรียบ
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) และฉบับสมบูรณ์กล่าวความตอนนี้ตรงกันว่า เล่าปี่ยกทหารออกไปตั้งค่ายรับศึกที่นอกเมือง แต่พิเคราะห์ดูแล้วไม่เห็นสม เพราะเล่าปี่มีทหารน้อยกว่ามาก หากยกทหารห้าพันออกไปรับศึกที่นอกเมืองแล้ว ภายในเมืองก็จะมีทหารน้อยกว่าน้อย เล่าปี่และคณะที่ปรึกษาย่อมคิดออกว่าถ้ากิเหลงแบ่งกำลังออกเป็นสองกอง กองหนึ่งเข้าปล้นค่าย อีกกองหนึ่งเข้าตีเมือง ใช้กำลังทหารที่เหนือกว่าทั้งในการโจมตีเมืองและในการโจมตีค่ายแล้ว เล่าปี่ก็จะเสียทั้งเมืองเสียทั้งค่าย
ดังนั้นการรบด้วยคนน้อยกับคนมากดังนี้ วิธีลดความได้เปรียบของข้าศึกจึงต้องอาศัยกำแพงเมือง ค่ายคูประตูหอรบเป็นที่มั่น แล้วอาศัยการรบด้วยฝีมือทหารเอก ซึ่งฝ่ายเล่าปี่ได้เปรียบฝ่ายกิเหลงเป็นหลัก และสามก๊กฉบับวิจารณ์บางฉบับก็ตั้งความสังเกตดังนี้
วันรุ่งขึ้นยังไม่ทันที่กิเหลงจะรบกับเล่าปี่ก็เห็นกองทัพของลิโป้ยกมาตั้งค่ายอยู่ทางด้านหลัง ระยะห่างกันเพียงชั่วสามระยะเกาทัณฑ์ยิงเท่านั้น ก็รู้ว่าลิโป้ยกมาช่วยเล่าปี่ จึงให้ทหารไปหาลิโป้ที่ค่ายแล้วถามว่า ลิโป้ตกปากรับคำว่าจะไม่เกี่ยวข้อง ทั้งรับเอาค่าตอบแทนไปแล้ว เหตุใดจึงยกมาช่วยเล่าปี่อีก จะไม่เป็นการบิดพลิ้วสัญญาดอกหรือ
ลิโป้ก็ยังเป็นลิโป้ที่สามารถหาเหตุผลพิสดารที่คนไม่คาดคิดได้อยู่เสมอ ครั้นถูกต่อว่าดังนั้นจึงตอบว่าเรายกมาทั้งนี้ไม่ได้ยกมาช่วยเล่าปี่ แต่เรายกมาป้องกันเมืองเสียวพ่าย ซึ่งขึ้นกับเมืองชีจิ๋ว หากท่านไม่ล่วงเข้ามาในเขตแดนเมืองเสียวพ่ายแล้ว เราก็จะไม่เกี่ยวข้องด้วย และว่าท่านมากล่าวว่าเรารับของตอบแทนแล้วบิดพลิ้วสัญญานั้นไม่ชอบ อ้วนสุดส่งข้าวแก่เราจะคิดเรื่องค่าตอบแทนไม่ให้เรายกมาช่วยเล่าปี่เป็นความคิดของอ้วนสุด แต่เรารับของตอบแทนเพราะคิดว่าเป็นค่าตอบแทนที่อ้วนสุดเคยขอให้เรายกไปรบเล่าปี่ ต่างคนต่างคิดกันเช่นนี้จะว่าเราบิดพลิ้วได้อย่างไร เพราะตัวเราเองยังไม่เคยตำหนิตัวเองว่าบิดพลิ้วเลยแม้แต่น้อย
แล้วว่าตัวเรานั้นเป็นผู้ใหญ่ ไม่ต้องการเห็นผู้น้อยทะเลาะวิวาทกัน จะหาทางให้ปรองดองกันสืบไป เจ้าจงกลับไปแจ้งกิเหลงให้มาหาเราที่ค่ายนี้ในเพลาเช้าวันพรุ่งนี้
ลิโป้บิดพลิ้วสัญญาที่ให้ไว้กับอ้วนสุดด้วยเหตุผลแบบลิโป้ ซึ่งทหารที่กิเหลงใช้มานั้นได้ฟังแล้วก็งุนงงสงสัยเป็นอันมากว่านี่เป็นเหตุผลของคนหรือไม่ มิหนำซ้ำยังวางตัวเป็นผู้ใหญ่แบบลิโป้เสียอีก แต่ทหารของกิเหลงเป็นผู้น้อยทั้งเกรงกลัวลิโป้ได้ฟังลิโป้แล้วก็รีบลากลับไปแจ้งให้กิเหลงทราบ
หลังจากทหารของกิเหลงกลับไปแล้ว ลิโป้ก็ให้ทหารไปเชิญเล่าปี่มาพบที่ค่ายตามเวลาที่นัดไว้กับกิเหลงนั้น เล่าปี่ครั้นได้ทราบคำเชิญจึงปรึกษากับกวนอู เตียวหุย
กวนอู เตียวหุย ทักท้วงไม่ให้เล่าปี่ไปที่ค่ายของลิโป้เกลือกว่าจะเป็นอันตราย แต่เล่าปี่เอาใจซื่อเข้าสู้กับคนใจคดแบบลิโป้ แย้งว่าลิโป้คงคิดถึงคุณที่ช่วยเหลือในยามยาก คงจะไม่คิดทำอันตรายต่อเรา นับเป็นความคิดที่กล้าหาญและเสี่ยงภัยมิใช่น้อย แต่ก็เป็นไปได้ว่าเล่าปี่อ่านใจคนแบบลิโป้กระจ่างว่า ลิโป้ยังคงต้องการเล่าปี่ไว้รักษาดุลอำนาจระหว่างเมือง คงจะไม่คิดทำอันตราย
กวนอู เตียวหุย เห็นเล่าปี่ไม่ฟังคำทัดทานจึงว่าเมื่อพี่ใหญ่ตัดสินใจไปดั่งนี้ก็จะขอตามไปด้วย เผื่อว่ามีเหตุการณ์นอกเหนือความคาดคิดเกิดขึ้นจะได้ช่วยกันคิดอ่านแก้ไข เล่าปี่ก็ตกลง
รุ่งขึ้นเล่าปี่จึงพากวนอู เตียวหุย ไปยังค่ายของลิโป้ก่อนเวลานัดหมาย เผื่อว่าลิโป้จะไม่ซื่อก็อาจเห็นพิรุธและหาทางแก้ไขไปตามสถานการณ์ได้ทันท่วงที ครั้นลิโป้ทราบว่าเล่าปี่มาก็ออกมาต้อนรับ จูงมือเล่าปี่เข้าไปในโรงบัญชาการทหาร แล้วบอกว่าข้าพเจ้ายกมาทั้งนี้จะช่วยท่านมิให้ถูกอ้วนสุดทำอันตรายได้ กวนอู เตียวหุย ก็เดินตามเข้าไปในโรงบัญชาการทหารนั้นแล้วยืนอยู่ข้างหลังเล่าปี่
พอถึงโรงบัญชาการ ทหารรักษาการณ์ก็เข้ามารายงานลิโป้ว่าบัดนี้กิเหลงกำลังมาที่ค่าย เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจเกรงว่าลิโป้จะคิดทำอันตราย ยังมิทันที่จะกล่าวความประการใด ลิโป้ก็ลุกออกไปที่หน้าค่าย
ขณะนั้นกิเหลงเดินเข้ามาถึงหน้าค่าย ลิโป้ก็เข้าไปต้อนรับแล้วบอกว่าบัดนี้เล่าปี่มารออยู่แล้ว กิเหลงได้ฟังดังนั้นก็ตกใจคิดว่าลิโป้จะคิดทำอันตราย
คนแบบลิโป้ใคร ๆ ก็เห็นว่าเป็นตัวอันตรายทั้งนั้น แม้กระทั่งเล่าปี่ซึ่งก่อนมาก็คิดว่าลิโป้คงคิดถึงบุญคุณและจะไม่ทำอันตราย.