สามก๊ก ฉบับนักบริหาร:บทที่ 7 ผู้ยอมทรยศโลก แต่ไม่ยอมให้โลกทรยศ
จากตำแหน่งเล็ก ๆ ที่รับใช้โฮจิ๋น ทำให้โจโฉเริ่มสะสมประสบการณ์ความผกผันทางการเมือง เรียนรู้จนเคยชินกับความปลิ้นปล้อนเจ้าเล่ห์ของผู้คนรอบข้าง โจโฉได้พัฒนาบุคลิกภาพของตัวเองให้กลายเป็นคนรอบคอบ รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมผู้คน ในหลายกรณีข้อดีดังกล่าวได้ทำให้โจโฉกลายเป็นผู้นำที่ขี้ระแวงไปโดยมิรู้ตัว
โจโฉควบม้าหนีออกจากเมืองหลวงลกเอี๋ยงในฐานะคนลี้ภัย Fugitive อย่างเต็มตัว จนมาถึงเมืองจงพวน ชาวด่านเห็นรูปโจโฉจึงจำได้ จับตัวโจโฉส่งไปให้ตันก๋งเจ้าเมืองจงพวน ตันก๋งสอบโจโฉด้วยตนเอง โจโฉโกหกว่าชื่อฮ่องอูเป็นพ่อค้าขายดอกไม้ ตันก๋งจึงว่าวันนี้ค่ำแล้วให้นำโจโฉใส่คุกไว้ก่อน รุ่งขึ้นถึงจะส่งตัวไปเมืองหลวงเพื่อรับการปูนบำเหน็จตามประกาศ
โจโฉถูกกักตัวไว้ในห้องพิเศษที่มิใช่ที่คุมขังผู้ต้องหาทั่วไป ตกดึกตันก๋งเข้าพบโจโฉ พลางรำพึงในใจว่า ถ้าจับตัวโจโฉไปให้ตั๋งโต๊ะ ตนก็จะถูกผู้คนประณามทั้งแผ่นดิน ตันก๋งจึงโยนหินถามทางว่า ท่านเซียงก๊กก็ดีต่อท่าน ท่านทำการสิ่งใดที่ทำให้ท่านมหาอุปราชขัดเคืองถึงได้หนีมาทั้งนี้ โจโฉจึงว่า ท่านอุปมาดังนกน้อย ไฉนถึงจะมาล่วงรู้ความคิดพญาปักษา ข้าเป็นข้าราชสำนักฮั่น หากไม่คิดช่วยชาติย่อมไม่ต่างจากเดรัจฉาน ที่ข้ายอมลดตัวลงไปรับใช้ตั๋งโต๊ะก็เพื่อหาโอกาสสังหารมัน ก็เมื่อทำงานพลาดให้มันรู้ตัว ข้าถือว่า เป็นลิขิตสวรรค์ที่จะทำร้ายข้า แล้วโจโฉก็กล่าวประชดว่า ท่านจับตัวเราได้ก็ให้เร่งส่งไปเมืองหลวงรับเอาความชอบเถิด
ตังก๋งได้ยินดังนั้นก็รู้ใจ จึงถามโจโฉถึงแผนการใหญ่ จากนี้ไปจะคิดอ่านทำการสิ่งใด โจโฉจึงว่าจะกลับบ้านเกิดที่ตองกุ๋น ประกาศชักชวนขุนศึกทั้งแผ่นดินรวมพลยกไปปราบตั๋วโต๊ะ กอบกู้ราชวงศ์ฮั่น ยามนี้บ้านเมืองแตกแยก ขุนศึกแย่งกันเป็นใหญ่ อ้วนเสี้ยวเป็นเพื่อน คุมทัพใหญ่จะไปร่วมสมทบกับเขา
โจโฉอ่านเกมการเมืองได้ขาด ยามที่บ้านเมืองเกิดวิกฤติ ผลัดแผ่นดิน สับเปลี่ยนผู้นำ ขั้วอำนาจมีการโยกย้าย ผู้มีอิทธิพลในสังคมต่างยึดคติพจน์ที่ว่า เมื่อลมเปลี่ยนทิศ ก็ต้องหาทางเบนหัวเรือ โจโฉก็ตกอยู่ในสภาพตกกะไดพลอยโจน ก็ต้องโจนไปให้ไกลที่สุด
ตันก๋งได้ยินแผนงานใหญ่ของโจโฉก็เกิดความเลื่อมใสเต็มที่ ตรงเข้าถอดเครื่องจำโจโฉออก เชิญโจโฉขึ้นนั่งบนเก้าอี้แล้วว่า เจตนาของท่านมีแต่คนยินดีต้องทำการสำเร็จแน่ ราษฎรทั้งปวงจะอยู่เย็นเป็นสุขด้วยสติปัญญาของท่าน คืนนั้นตันก๋งจึงตัดสินใจสละตำแหน่งนายอำเภอ นอกจากไม่คิดที่จะจับโจโฉไปรับสินบนบำเหน็จ ยังขอร่วมทางร่วมอุดมการณ์กอบกู้ชาติไปกับโจโฉด้วย อีกทั้งไม่สนใจต่อสินบลทองพันชั่งกับส่วยอีกหนึ่งหมื่นครอบครัว นาน ๆ จะได้เห็นขุนนางนักการเมืองที่มีจิตใจรักชาติ รักบ้านเมือง รักฮ่องเต้อย่างแท้จริง โดยไม่มีวาระแอบแฝง มิเห็นแก่ได้อย่างตันก๋ง ตันก๋งกลับไปจัดหาทรัพย์สินที่บ้าน มอบกระบี่เนื้อดีให้โจโฉกับตัวเองคนละเล่ม แล้วทั้งสองจึงมุ่งขี่ม้าออกจากเมืองจงพวนแต่คืนนั้น
เดินทางมาได้สามวัน โจโฉจึงบอกแก่ตันก๋งว่าหมู่บ้านข้างหน้านี้มีบ้านเพื่อนเก่าร่วมสาบานของบิดาชื่อ แปะเฉีย เราน่าจะไปอาศัยพักแรม รวมทั้งฟังข่าวคราวเหตุการณ์ทั้งปวงด้วย แปะเฉียดีใจเห็นโจโฉลูกเพื่อนเก่าจึงบอกว่า บัดนี้เมืองหลวงมีหนังสือให้จับตัวท่าน แลโจโก๋บิดาของท่านได้หนีออกไปอยู่เมืองตันลิวแล้ว โจโฉจึงเล่าเนื้อความแต่หนหลังให้แปะเฉียฟังจนสิ้น แปะเฉียหันมาคำนับขอบใจตันก๋งที่เห็นแก่แผ่นดิน ถ้ามิได้ตันก๋งโจโฉคงต้องตาย แปะเฉียจึงเชื้อเชิญให้โจโฉกับตันก๋งนอนพักที่บ้าน แต่จะขอตัวเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อเหล้าอย่างดีมาเลี้ยง ก่อนไปแปะเฉียสั่งพ่อครัวกับเมียจัดเตรียมอาหารรับรองแขกผู้มาเยือน
ขณะที่โจโฉเคลิ้มหลับไป พลันได้ยินเสียงคนในเรือนกำลังลับมีด พร้อมกับบอกว่า จะมัดมันก่อนหรือจะฆ่ามันทีเดียว โจโฉจึงกระซิบบอกตันก๋งว่า ชะรอยแปะเฉียเข้าไปในเมืองเพื่อเรียกคนมาจับเอาสินบน เอามันไว้ไม่ได้แล้ว ตันก๋งจึงว่า เรายังไม่แน่ในน้ำใจแปะเฉีย จะประมาณการอย่างนั้นไม่ได้ แต่โจโฉขี้ระแวงชักกระบี่ออกฟันผู้คนกับบุตรภรรยาของแปะเฉียตายถึง 8 คนทั้งบ้าน ตันก๋งเหลือบไปเห็นสุกรที่เขามัดไว้กับหม้อน้ำต้มไฟเดือดจึงรู้ว่าโจโฉเข้าใจผิดฆ่าคนบริสุทธิ์ ถึงกับร้องออกมาด้วยความตกใจ โจโฉก็ตกใจกลัวไม่น้อย เมื่อรู้ตัวว่าทำผิดมหันต์ พอได้สติก็บอกตันก๋งว่า เมื่อทำไปแล้ว เสียใจมันก็เท่านั้น รีบไปจากที่นี่กันเถอะ ว่าแล้วทั้งโจโฉกับตันก๋งรีบขึ้นม้าควบออกจากบ้านแปะเฉียไป
โจโฉกับตันก๋งควบม้าไปประมาณยี่สิบเส้นก็พบแปะเฉียแบกเหล้านารีแดงมาด้วย แปะเฉียร้องถามว่า ไม่อยู่กินข้าวจะรีบไปไหน โจโฉตอบว่าข้าพเจ้าเป็นคนผิดที่ทางการต้องการ จะรีบไปให้พ้นภัย แปะเฉียยืนงงอยู่ โจโฉขับม้าไปสักครู่ คิดได้ดึงบังเหียนม้าหันกลับมาเรียกแปะเฉียว่าจะสั่งความเอาไว้ แปะเฉียหยุด โจโฉมาถึงเอากระบี่ฟันแปะเฉียตาย เหล้านารีแดงที่เพิ่งซื้อมาสำหรับเลี้ยงโจโฉกับตันก๋งกลิ้งแตกไหลรินลงพื้น ตันก๋งร้องออกมาด้วยเสียงอันดังอย่างคนตกใจสุดขีด จึงชี้หน้าบอกโจโฉว่า เมื่อกี้นี้ท่านฆ่าบุตรภรรยาผู้คนของแปะเฉียตายทั้งบ้านถือว่าเข้าใจผิด บัดนี้ยังจงใจฆ่าแปะเฉียซ้ำอีก โจโฉตอบว่า เมื่อกี้นี้เราคิดผิดอยู่แล้ว ครั้นจะละแปะเฉียไว้ก็จะต้องโกรธไปบอกนายบ้าน นายบ้านก็จะคุมกำลังมาตามจับเราส่งเมืองหลวง เราจึงซ้ำฆ่าแปะเฉียเสียหวังจะให้เนื้อความสูญไป ตันก๋งจึงว่า ท่านฆ่าคนในบ้านแปะเฉียด้วยความเข้าใจผิด แต่นี่ฆ่าแปะเฉียโดยรู้ว่าเขาไม่ผิด ท่านเป็นคนอกตัญญูหาดีไม่ โจโฉจ้องหน้าตันก๋งบอกว่า เรายอมฆ่าคนทั้งโลก แต่ไม่ยอมให้โลกทรยศ ตันก๋งมองหน้าโจโฉอย่างไม่เชื่อในคำพูด บุคคลที่ตัวเองเคยคิดเลื่อมใสจนเข้าขั้นบูชาเมื่อไม่กี่วันก่อน ได้สำแดงธาตุแท้ของความโฉดและโหดในตัวออกมาให้เห็นกันอย่างชัดแจ้ง คน ๆ นี้สามารถฆ่าใครก็ได้ที่เขาระแวง คน ๆ นี้สามารถฆ่าเพื่อนสนิทก็ได้ถ้าขัดผลประโยชน์ ตันก๋งจึงกล่าวอำลาว่า ไม่สามารถร่วมทางกับผู้นำที่โหดร้ายทารุณเห็นแก่ตนอย่างท่านได้ ขอให้ท่านทำการใหญ่ตามวิถีทางของท่านเองเถิด ว่าแล้วตันก๋งก็ขับม้าหลีกแยกทางกับโจโฉตั้งแต่คืนวันนั้น
เหตุการณ์โจโฉสังหารครอบครัวแปะเฉียเพื่อนร่วมสาบานของพ่อ ด้วยความระแวง ด้วยความเข้าใจผิด และด้วยความโฉด ได้กลายเป็นรอยแผลเป็นตลอดชีวิตของโจโฉ ไม่ว่าเขาจะพัฒนาตัวเองจนเป็นใหญ่เป็นโตในแผ่นดินแค่ไหน กรณีสังหารครอบครัวแปะเฉีย ได้ตามติดหลอนตำนานชีวิตของโจโฉให้เป็นรอยด่างพร้อยไปตลอดกาล
โจโฉควบม้าหนีออกจากเมืองหลวงลกเอี๋ยงในฐานะคนลี้ภัย Fugitive อย่างเต็มตัว จนมาถึงเมืองจงพวน ชาวด่านเห็นรูปโจโฉจึงจำได้ จับตัวโจโฉส่งไปให้ตันก๋งเจ้าเมืองจงพวน ตันก๋งสอบโจโฉด้วยตนเอง โจโฉโกหกว่าชื่อฮ่องอูเป็นพ่อค้าขายดอกไม้ ตันก๋งจึงว่าวันนี้ค่ำแล้วให้นำโจโฉใส่คุกไว้ก่อน รุ่งขึ้นถึงจะส่งตัวไปเมืองหลวงเพื่อรับการปูนบำเหน็จตามประกาศ
โจโฉถูกกักตัวไว้ในห้องพิเศษที่มิใช่ที่คุมขังผู้ต้องหาทั่วไป ตกดึกตันก๋งเข้าพบโจโฉ พลางรำพึงในใจว่า ถ้าจับตัวโจโฉไปให้ตั๋งโต๊ะ ตนก็จะถูกผู้คนประณามทั้งแผ่นดิน ตันก๋งจึงโยนหินถามทางว่า ท่านเซียงก๊กก็ดีต่อท่าน ท่านทำการสิ่งใดที่ทำให้ท่านมหาอุปราชขัดเคืองถึงได้หนีมาทั้งนี้ โจโฉจึงว่า ท่านอุปมาดังนกน้อย ไฉนถึงจะมาล่วงรู้ความคิดพญาปักษา ข้าเป็นข้าราชสำนักฮั่น หากไม่คิดช่วยชาติย่อมไม่ต่างจากเดรัจฉาน ที่ข้ายอมลดตัวลงไปรับใช้ตั๋งโต๊ะก็เพื่อหาโอกาสสังหารมัน ก็เมื่อทำงานพลาดให้มันรู้ตัว ข้าถือว่า เป็นลิขิตสวรรค์ที่จะทำร้ายข้า แล้วโจโฉก็กล่าวประชดว่า ท่านจับตัวเราได้ก็ให้เร่งส่งไปเมืองหลวงรับเอาความชอบเถิด
ตังก๋งได้ยินดังนั้นก็รู้ใจ จึงถามโจโฉถึงแผนการใหญ่ จากนี้ไปจะคิดอ่านทำการสิ่งใด โจโฉจึงว่าจะกลับบ้านเกิดที่ตองกุ๋น ประกาศชักชวนขุนศึกทั้งแผ่นดินรวมพลยกไปปราบตั๋วโต๊ะ กอบกู้ราชวงศ์ฮั่น ยามนี้บ้านเมืองแตกแยก ขุนศึกแย่งกันเป็นใหญ่ อ้วนเสี้ยวเป็นเพื่อน คุมทัพใหญ่จะไปร่วมสมทบกับเขา
โจโฉอ่านเกมการเมืองได้ขาด ยามที่บ้านเมืองเกิดวิกฤติ ผลัดแผ่นดิน สับเปลี่ยนผู้นำ ขั้วอำนาจมีการโยกย้าย ผู้มีอิทธิพลในสังคมต่างยึดคติพจน์ที่ว่า เมื่อลมเปลี่ยนทิศ ก็ต้องหาทางเบนหัวเรือ โจโฉก็ตกอยู่ในสภาพตกกะไดพลอยโจน ก็ต้องโจนไปให้ไกลที่สุด
ตันก๋งได้ยินแผนงานใหญ่ของโจโฉก็เกิดความเลื่อมใสเต็มที่ ตรงเข้าถอดเครื่องจำโจโฉออก เชิญโจโฉขึ้นนั่งบนเก้าอี้แล้วว่า เจตนาของท่านมีแต่คนยินดีต้องทำการสำเร็จแน่ ราษฎรทั้งปวงจะอยู่เย็นเป็นสุขด้วยสติปัญญาของท่าน คืนนั้นตันก๋งจึงตัดสินใจสละตำแหน่งนายอำเภอ นอกจากไม่คิดที่จะจับโจโฉไปรับสินบนบำเหน็จ ยังขอร่วมทางร่วมอุดมการณ์กอบกู้ชาติไปกับโจโฉด้วย อีกทั้งไม่สนใจต่อสินบลทองพันชั่งกับส่วยอีกหนึ่งหมื่นครอบครัว นาน ๆ จะได้เห็นขุนนางนักการเมืองที่มีจิตใจรักชาติ รักบ้านเมือง รักฮ่องเต้อย่างแท้จริง โดยไม่มีวาระแอบแฝง มิเห็นแก่ได้อย่างตันก๋ง ตันก๋งกลับไปจัดหาทรัพย์สินที่บ้าน มอบกระบี่เนื้อดีให้โจโฉกับตัวเองคนละเล่ม แล้วทั้งสองจึงมุ่งขี่ม้าออกจากเมืองจงพวนแต่คืนนั้น
เดินทางมาได้สามวัน โจโฉจึงบอกแก่ตันก๋งว่าหมู่บ้านข้างหน้านี้มีบ้านเพื่อนเก่าร่วมสาบานของบิดาชื่อ แปะเฉีย เราน่าจะไปอาศัยพักแรม รวมทั้งฟังข่าวคราวเหตุการณ์ทั้งปวงด้วย แปะเฉียดีใจเห็นโจโฉลูกเพื่อนเก่าจึงบอกว่า บัดนี้เมืองหลวงมีหนังสือให้จับตัวท่าน แลโจโก๋บิดาของท่านได้หนีออกไปอยู่เมืองตันลิวแล้ว โจโฉจึงเล่าเนื้อความแต่หนหลังให้แปะเฉียฟังจนสิ้น แปะเฉียหันมาคำนับขอบใจตันก๋งที่เห็นแก่แผ่นดิน ถ้ามิได้ตันก๋งโจโฉคงต้องตาย แปะเฉียจึงเชื้อเชิญให้โจโฉกับตันก๋งนอนพักที่บ้าน แต่จะขอตัวเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อเหล้าอย่างดีมาเลี้ยง ก่อนไปแปะเฉียสั่งพ่อครัวกับเมียจัดเตรียมอาหารรับรองแขกผู้มาเยือน
ขณะที่โจโฉเคลิ้มหลับไป พลันได้ยินเสียงคนในเรือนกำลังลับมีด พร้อมกับบอกว่า จะมัดมันก่อนหรือจะฆ่ามันทีเดียว โจโฉจึงกระซิบบอกตันก๋งว่า ชะรอยแปะเฉียเข้าไปในเมืองเพื่อเรียกคนมาจับเอาสินบน เอามันไว้ไม่ได้แล้ว ตันก๋งจึงว่า เรายังไม่แน่ในน้ำใจแปะเฉีย จะประมาณการอย่างนั้นไม่ได้ แต่โจโฉขี้ระแวงชักกระบี่ออกฟันผู้คนกับบุตรภรรยาของแปะเฉียตายถึง 8 คนทั้งบ้าน ตันก๋งเหลือบไปเห็นสุกรที่เขามัดไว้กับหม้อน้ำต้มไฟเดือดจึงรู้ว่าโจโฉเข้าใจผิดฆ่าคนบริสุทธิ์ ถึงกับร้องออกมาด้วยความตกใจ โจโฉก็ตกใจกลัวไม่น้อย เมื่อรู้ตัวว่าทำผิดมหันต์ พอได้สติก็บอกตันก๋งว่า เมื่อทำไปแล้ว เสียใจมันก็เท่านั้น รีบไปจากที่นี่กันเถอะ ว่าแล้วทั้งโจโฉกับตันก๋งรีบขึ้นม้าควบออกจากบ้านแปะเฉียไป
โจโฉกับตันก๋งควบม้าไปประมาณยี่สิบเส้นก็พบแปะเฉียแบกเหล้านารีแดงมาด้วย แปะเฉียร้องถามว่า ไม่อยู่กินข้าวจะรีบไปไหน โจโฉตอบว่าข้าพเจ้าเป็นคนผิดที่ทางการต้องการ จะรีบไปให้พ้นภัย แปะเฉียยืนงงอยู่ โจโฉขับม้าไปสักครู่ คิดได้ดึงบังเหียนม้าหันกลับมาเรียกแปะเฉียว่าจะสั่งความเอาไว้ แปะเฉียหยุด โจโฉมาถึงเอากระบี่ฟันแปะเฉียตาย เหล้านารีแดงที่เพิ่งซื้อมาสำหรับเลี้ยงโจโฉกับตันก๋งกลิ้งแตกไหลรินลงพื้น ตันก๋งร้องออกมาด้วยเสียงอันดังอย่างคนตกใจสุดขีด จึงชี้หน้าบอกโจโฉว่า เมื่อกี้นี้ท่านฆ่าบุตรภรรยาผู้คนของแปะเฉียตายทั้งบ้านถือว่าเข้าใจผิด บัดนี้ยังจงใจฆ่าแปะเฉียซ้ำอีก โจโฉตอบว่า เมื่อกี้นี้เราคิดผิดอยู่แล้ว ครั้นจะละแปะเฉียไว้ก็จะต้องโกรธไปบอกนายบ้าน นายบ้านก็จะคุมกำลังมาตามจับเราส่งเมืองหลวง เราจึงซ้ำฆ่าแปะเฉียเสียหวังจะให้เนื้อความสูญไป ตันก๋งจึงว่า ท่านฆ่าคนในบ้านแปะเฉียด้วยความเข้าใจผิด แต่นี่ฆ่าแปะเฉียโดยรู้ว่าเขาไม่ผิด ท่านเป็นคนอกตัญญูหาดีไม่ โจโฉจ้องหน้าตันก๋งบอกว่า เรายอมฆ่าคนทั้งโลก แต่ไม่ยอมให้โลกทรยศ ตันก๋งมองหน้าโจโฉอย่างไม่เชื่อในคำพูด บุคคลที่ตัวเองเคยคิดเลื่อมใสจนเข้าขั้นบูชาเมื่อไม่กี่วันก่อน ได้สำแดงธาตุแท้ของความโฉดและโหดในตัวออกมาให้เห็นกันอย่างชัดแจ้ง คน ๆ นี้สามารถฆ่าใครก็ได้ที่เขาระแวง คน ๆ นี้สามารถฆ่าเพื่อนสนิทก็ได้ถ้าขัดผลประโยชน์ ตันก๋งจึงกล่าวอำลาว่า ไม่สามารถร่วมทางกับผู้นำที่โหดร้ายทารุณเห็นแก่ตนอย่างท่านได้ ขอให้ท่านทำการใหญ่ตามวิถีทางของท่านเองเถิด ว่าแล้วตันก๋งก็ขับม้าหลีกแยกทางกับโจโฉตั้งแต่คืนวันนั้น
เหตุการณ์โจโฉสังหารครอบครัวแปะเฉียเพื่อนร่วมสาบานของพ่อ ด้วยความระแวง ด้วยความเข้าใจผิด และด้วยความโฉด ได้กลายเป็นรอยแผลเป็นตลอดชีวิตของโจโฉ ไม่ว่าเขาจะพัฒนาตัวเองจนเป็นใหญ่เป็นโตในแผ่นดินแค่ไหน กรณีสังหารครอบครัวแปะเฉีย ได้ตามติดหลอนตำนานชีวิตของโจโฉให้เป็นรอยด่างพร้อยไปตลอดกาล