ตอนที่ 79. เถลิงอำนาจตระกูล "ซุน" เหนือแคว้นกังตั๋ง

ซุนเซ็กจัดกองทัพกำลังพลสามหมื่นเป็นอันดีแล้วจึงยกกองทัพไปเมือง    กังตั๋ง ชาวเมืองทั้งปวงเคารพศรัทธาซุนเกี๋ยนมาแต่เดิม ครั้นทราบกิตติศัพท์ความโอบอ้อมอารีมีเมตตาของซุนเซ็กจึงพากันมาเข้าด้วยซุนเซ็ก หัวเมืองต่าง ๆ ก็พากันเข้าสวามิภักดิ์แต่โดยดี

            ซุนเซ็กออกคำสั่งสนามให้ทหารทุกคนเคารพประชาชน รักประชาชน และรับใช้ประชาชน ผู้ใดเบียดเบียนข่มเหงรังแกราษฎรจะได้รับโทษสถานหนัก จึงเป็นที่ชื่นชมยินดีของราษฎร และได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนจากราษฎรทุกหนแห่ง กองทัพของซุนเซ็กจึงยิ่งเติบโตขึ้นในท่ามกลางสงครามนั้น

            ครั้นจัดการปกครองเป็นปกติดีแล้ว ซุนเซ็กจึงให้ทหารไปรับมารดาและครอบครัวมาอยู่ที่เมืองขยกโอ๋ ซึ่งเป็นตำบลที่ฝังศพซุนเกี๋ยนผู้บิดา และให้ซุนกวนผู้น้องไปรักษาเมืองฮวนเสีย โดยให้จิวท่ายไปเป็นผู้ช่วยของซุนกวน

            เมื่อการจัดการปกครองและจัดการเรื่องครอบครัวเสร็จเรียบร้อย ซุนเซ็กจึงสั่งให้เตรียมกองทัพเพื่อยกไปตีเมืองตองง่อซึ่งเป็นหัวเมืองเอกอีกเมืองหนึ่งของแคว้นกังตั๋ง
            ณ เมืองตองง่ออันเป็นหัวเมืองเอกแห่งดินแดนกังตั๋ง มีเงียมแปะฮอเป็นเจ้าเมือง เดิมขึ้นต่อราชสำนักลกเอี๋ยงแห่งราชวงศ์ฮั่น ครั้นตั๋งโต๊ะเป็นทรราชย์ข่มเหงอาณาประชาราษฎรและหัวเมืองต่าง ๆ จนโจโฉได้ก่อตั้งกองทัพปฏิวัติขึ้น เชิญหัวเมืองเอกสิบหกหัวเมืองเข้าร่วมกองทัพปฏิวัติ ในครั้งนั้นเมืองตองง่อไม่ได้รับคำเชิญ ในแคว้นกังตั๋งคงมีแต่เมืองเตียงสาของซุนเกี๋ยนเท่านั้นที่ได้รับเชิญเข้าร่วมในกองทัพปฏิวัติ

            เมื่อเงียมแปะฮอทราบข่าวหัวเมืองต่าง ๆ ประกาศตั้งกองทัพปฏิวัติไม่ขึ้นต่อรัฐบาลกลางและยกกองทัพไปเพื่อจะล้มล้างรัฐบาลของตั๋งโต๊ะ ดังนั้นเงียมแปะฮอจึงประกาศไม่ขึ้นต่อรัฐบาลกลางของตั๋งโต๊ะด้วย และเมื่อเมืองตองง่อไม่ได้เข้าร่วมในกองทัพปฏิวัติจึงถือโอกาสนั้นตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าเสียเอง ตั้งสมัญญาว่า “เต๊กอ๋อง” จัดแจงแต่งค่ายคูหอรบไว้ทุกหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองตองง่อนั้น

            ครั้นทราบว่าซุนเซ็กยกกองทัพจะมาตีเมืองตองง่อ เงียมแปะฮอจึงตั้งให้น้องชายชื่อเงียมอี๋เป็นกองทัพหน้า ยกไปตั้งสกัดกองทัพของซุนเซ็กที่สะพานหองเกียว ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำในทางที่ซุนเซ็กจะยกมา

            ฝ่ายซุนเซ็กเมื่อได้รับรายงานจากทหารลาดตระเวนว่าบัดนี้เงียมอี๋ยกทหารมาตั้งสกัดอยู่ที่สะพานหองเกียว จึงให้จัดทหารเป็นสองกอง ให้ฮันต๋งคุมทหารไปทางบกเพื่อรบกับเงียมอี๋และให้ตันบู และเจียวขิมคุมทหารเกาทัณฑ์อีกกองหนึ่งลงเรือเล็ก ให้กองทัพทั้งสองกองยกไปพร้อมกันที่สะพานหองเกียว

            เงียมอี๋ได้รับรายงานว่ากองทัพซุนเซ็กยกมาก็พาทหารข้ามสะพานหองเกียวไปจนเกือบถึงต้นสะพานรบด้วยฮันต๋ง กองทัพหน้าของซุนเซ็ก ในขณะที่ทหารของทั้งสองฝ่ายรบกันบนสะพานนั้น ตันบูและเจียวขิมสั่งให้เคลื่อนกองเรือเล็กเข้าไปที่สองข้างสะพาน แล้วให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ใส่ทหารของเงียมอี๋

            ทหารของเงียมอี๋ต้องเผชิญศึกด้านหน้าทางหนึ่งแล้ว ยังถูกทหารของซุนเซ็กระดมยิงมาจากเรือเล็กข้างสะพานทั้งสองด้าน จึงบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ทหารที่เหลือจึงพากันแตกหนีถอยกลับเข้าเมืองตองง่อ

            ซุนเซ็กจึงสั่งให้ฮันต๋งยกทหารไปทางบกและให้ตันบู เจียวขิม ยกกองเรือเร็วไปลอยลำอยู่ที่หน้าเมืองตองง่อ ทหารของซุนเซ็กล้อมเมืองตองง่อไว้สามด้าน และให้ทหารออกไปท้ารบถึงสามวัน แต่ทหารเมืองตองง่อก็ไม่ยอมออกรบ คงคุมกำลังตั้งรับอยู่แต่ในเมือง

            ซุนเซ็กจึงขับม้านำทหารไปที่ประตูเมืองแล้วให้ทหารร้องไปว่าบัดนี้ซุนเซ็กได้ล้อมเมืองตองง่อไว้แล้ว หากคิดต่อสู้ก็จะพากันตายสิ้น ผู้ใดรักตัวกลัวตายให้รีบเข้ามาสวามิภักดิ์ ทหารรักษาเชิงเทินคนหนึ่งเห็นดังนั้นก็ร้องเยาะซุนเซ็กว่า ขอเชิญพวกท่านตากแดดตากฝนให้จงดีเถิด พวกเราจะกินโต๊ะรออยู่ในเมือง

            ไทสูจู้เห็นทหารรักษาเชิงเทินเยาะเย้ยซุนเซ็กก็โกรธ เอาเกาทัณฑ์ขึ้นมาพาดสาย หมายจะสังหารทหารรักษาเชิงเทินนั้นเสีย พอดีทหารนั้นกำลังเอามือข้างหนึ่งท้าวอยู่ที่ขอบเชิงเทินจึงเปลี่ยนเป็นคิดข่มขวัญข้าศึก ไทสูจู้จึงยิงเกาทัณฑ์ไปที่มือทหารนั้น เกาทัณฑ์ปักมือตรึงเข้ากับกำแพง ทหารนั้นบาดเจ็บร้องไห้ดังลั่น ทหารทั้งสองฝ่ายจึงพากันหันมาดู

            ทหารฝ่ายซุนเซ็กเห็นดังนั้นจึงพากันสรรเสริญฝีมือเกาทัณฑ์ของไทสูจู้เป็นอันมาก ในขณะที่ทหารรักษาเชิงเทินก็พากันตกใจกลัว ต่างคนต่างหลบอยู่ในใบเสมาของกำแพงเมือง

            ครั้นเงียมแปะฮอทราบเหตุการณ์แล้วได้ทอดถอนใจใหญ่แล้วว่ากับที่ปรึกษาว่า เสียดายนักที่กองทัพเราไม่มีผู้ใดมีฝีมือเสมอด้วยไทสูจู้เลย หากแม้นว่ามีคนอย่างไทสูจู้สักคนหนึ่งก็จะไม่เกรงผู้ใดในแผ่นดิน และปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใดต่อไป

            บรรดาที่ปรึกษาทั้งปวงเห็นว่าซุนเซ็กยกมาครั้งนี้มีทหารมีฝีมือเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อไม่ให้เดือดร้อนแก่ราษฎรจึงควรเข้าเกลี้ยกล่อมอ่อนน้อมต่อซุนเซ็ก แบ่งดินแดนให้ครึ่งหนึ่งเห็นทีซุนเซ็กจะยกทัพกลับไป เงียมแปะฮอเห็นด้วยจึงสั่งให้เงียมอี๋เป็นทูตไปเจรจาด้วยซุนเซ็ก

            ซุนเซ็กเมื่อได้ฟังข้อเสนอของเงียมอี๋แล้วก็โกรธ จึงว่าเรายกมาทำการถึงเพียงนี้เมืองตองง่อไม่พ้นมือเราแล้ว ยังจะมาเกี่ยงยกเมืองให้ครึ่งหนึ่ง เป็นการดูหมิ่นเรานัก ว่าแล้วสั่งทหารให้เอาเงียมอี๋ไปตัดศีรษะแล้วโยนศีรษะนั้นเข้าไปในเมืองตองง่อ

            เงียมแปะฮอทราบข่าวก็ตกใจไม่มีแก่ใจจะตั้งรับซุนเซ็กอีกต่อไป ค่ำลงก็พา ทหารใกล้ชิดหนีออกจากเมืองจะยกไปเมืองอิข้อง ครั้นไปถึงกลางทางพบกับเลงโฉคุมชาวบ้านออกมาสกัดทางไว้ เงียมแปะฮอจึงพาทหารข้ามฟากไปตั้งอยู่ตำบลไชสิน เตรียมจะไปอาศัยเมืองห้อยแข กลายเป็นเจ้าไม่มีศาลตั้งแต่บัดนั้น

            ฝ่ายซุนเซ็กครั้นทราบว่าเงียมแปะฮอทิ้งเมืองหนีไป จึงยกทหารเข้าเมืองตองง่อจัดระเบียบการปกครองเป็นปกติแล้ว จึงสั่งให้อุยกายยกทหารไปตีเมืองแกหิน และให้ไทสูจู้ยกทหารไปตีเมืองออแสง ซึ่งสองเมืองนี้ขึ้นต่อเมืองตองง่อ แต่ทหารของเงียมแปะฮอยังคงรักษาเมือง ไม่ยอมขึ้นต่อบังคับของซุนเซ็ก

            อุยกายและไทสูจู้ยกทหารไปตีเมืองทั้งสองได้เมื่อจัดระเบียบการปกครองให้ขึ้นกับเมืองตองง่อแล้ว จึงยกทหารกลับมาหาซุนเซ็ก ซุนเซ็กเห็นดังนั้นจึงสั่งให้จัดทหารเตรียมยกตามเงียมแปะฮอไป ครั้นถึงตำบลอิข้องจึงพบกับเลงโฉพาบุตรชายมาขอทำราชการด้วย และแจ้งว่าบัดนี้เงียมแปะฮอหนีไปตำบลไชสินจะไปเมืองห้อยแข    ซุนเซ็กได้ทราบก็ยินดีและให้รับเลงโฉกับบุตรชายเป็นทหารในกองทัพ แล้วสั่งให้เคลื่อนกองทัพยกไปเมืองห้อยแข

            ฝ่ายอ่องหลองเจ้าเมืองห้อยแขเป็นเพื่อนสนิทกับเงียมแปะฮอ ครั้นทราบว่าเงียมแปะฮอกำลังหนีการไล่ติดตามของซุนเซ็กจะมาเมืองห้อยแข จึงพาทหารออกไปรับเงียมแปะฮอถึงนอกเมือง แล้วตั้งค่ายไว้ที่เชิงเขานอกเมือง เตรียมรับมือกับกองทัพของซุนเซ็ก

            ครั้นทราบข่าวว่าซุนเซ็กยกทหารมาถึง อ่องหลองจึงขับม้าถือกระบี่จะออกรบด้วยซุนเซ็ก อ่องหลองรบกับซุนเซ็กได้หกเพลง ไทสูจู้เห็นดังนั้นจึงชักม้ากรายทวนเข้ารบด้วยอ่องหลองแทนซุนเซ็ก ซุนเซ็กจึงชักม้าถอยเข้ามา ไทสูจู้ต่อสู้กับอ่องหลองถึงเพลงที่ห้า พอดีจิวยี่และเทียเภายกทหารตามซุนเซ็กมาและเข้าล้อมอ่องหลองและทหารไว้

            อ่องหลองเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบพาเงียมแปะฮอและทหารตีฝ่าหนีกลับเข้าเมืองห้อยแข สั่งทหารปิดประตูเมืองและให้ระวังรักษาเชิงเทินไว้ให้มั่นคง

            รุ่งขึ้นอ่องหลองปรึกษาด้วยเงียมแปะฮอว่า จะยกทหารออกไปรบด้วยซุนเซ็กแต่เงียมแปะฮอรู้ฝีมือทหารซุนเซ็กเป็นอย่างดีจึงห้ามไว้ แล้วเสนอว่าข้าศึกเข้มแข็งกว่าเรา ดังนั้นจึงควรตั้งรับศึกไว้ในเมือง ซุนเซ็กมีทหารมากก็ย่อมกินเสบียงมาก ในไม่ช้าก็คงหมดเสบียง และจะต้องยกทัพกลับไปเอง อ่องหลองเห็นด้วยจึงสั่งทหารกวดขันเชิงเทิน ค่ายคูหอรบ สั่งกำชับไม่ให้ออกรบด้วยซุนเซ็ก

            ฝ่ายซุนเซ็กล้อมเมืองห้อยแข แต่ละวันให้ทหารออกไปท้าอ่องหลองให้ยกออกมารบ ผ่านไปถึงห้าวันทหารอ่องหลองก็ยังคงตั้งมั่นอยู่ในเมือง ซุนเซ็กเกรงว่าถ้าการศึกยืดเยื้อไปก็อาจขาดเสบียงลง กองทัพก็จักเป็นอันตราย จึงปรึกษากับที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองว่า จะคิดอ่านประการใดจึงจะยึดเมืองห้อยแขได้โดยเร็ว

            นายทหารหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนได้เสนอกับซุนเซ็กว่า จากการลาดตระเวนของทหารพบว่าเมืองห้อยแขนี้เสบียงอาหารไม่พอกิน ต้องอาศัยเสบียงอาหารซึ่งลำเลียงมาจากเมืองแจตอก ดังนั้นถ้าเรายึดเมืองแจตอกเสียก่อน เมืองห้อยแขก็จะหมดหนทางต่อสู้

            ซุนเซ็กได้ฟังข้อเสนอดังนั้นจึงสั่งให้เลิกทัพเพื่อจะยกไปยึดเอาเมืองแจตอก จิวยี่จึงเสนอว่าข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายประการหนึ่ง ถ้าหากอ่องหลองหลงกลแล้ว เราก็จะยึดเอาเมืองห้อยแขได้โดยง่าย ซุนเซ็กจึงถามว่าท่านมีความคิดอุบายประการใด

            จิวยี่จึงว่า เมื่ออ่องหลองรู้ว่าเราจะยกไปเมืองแจตอก คงลังเลว่าจะติดตามตีหรือไม่ ดังนั้นอย่าให้ถอนค่ายและธงทิว ให้คงเป็นปกติไว้ดังเดิม และให้ทหารก่อไฟหุงข้าวไว้ในค่ายเหมือนกับปกติ อ่องหลองเมื่อรู้ว่าเรายกไปแล้ว ทำกลไว้ดังนี้ก็จะคิดว่าเรากลัว คงจะยกทหารไล่โจมตีเรา ตามเส้นทางไปเมืองแจตอกห่างจากค่ายนี้สามร้อยเส้น สองข้างทางเป็นป่า เราจะจัดทหารไปซุ่มไว้ พออ่องหลองยกตามไปก็จะล้อมจับเอาตัวได้โดยง่าย

            ซุนเซ็กเห็นด้วยกับแผนการของจิวยี่จึงสั่งให้ดำเนินการตามความคิดของจิวยี่ทุกประการ แล้วยกทหารออกจากค่ายไปตามทางที่จะไปเมืองแจตอก ถึงชายป่าแล้วให้ทหารซุ่มไว้ตามแผนการ

            ฝ่ายอ่องหลองได้รับรายงานจากทหารว่าซุนเซ็กยกทหารไปแล้ว แต่ไม่ได้รื้อถอนค่ายไปด้วย อ่องหลองสงสัยจึงพาบรรดาแม่ทัพนายกองขึ้นไปดูบนหอรบ เห็นค่าย    ซุนเซ็กเงียบอยู่แต่มีธงทิวปลิวไสว แลควันไฟที่หุงอาหารลอยอยู่ เหมือนกับว่าทหารยังอยู่ในค่าย

            บรรดาแม่ทัพนายกองและอ่องหลองเห็นพ้องต้องกันว่า ซุนเซ็กทำกลอุบายว่ายังคงตั้งค่ายอยู่ เพื่อไม่ให้เรายกตามตี การทั้งนี้อาจเกิดขึ้นจากกองทัพซุนเซ็กขาดเสบียง แต่กลัวว่าจะถูกตามตีจึงทำเป็นลวงด้วยกลอุบายดั่งนี้ ดังนั้นหากเรายกทหารไล่ตามตีซุนเซ็กก็จะเสียทีแก่เราเป็นมั่นคง

            ปรึกษากันแล้ว อ่องหลองจึงให้จิวเจียดนายทหารและเงียมแปะฮอเป็นกองทัพหน้า ตัวอ่องหลองเป็นกองทัพหลวงยกออกจากเมืองห้อยแขไปตามตีกองทัพซุนเซ็ก ครั้นมาถึงจุดซุ่มซุนเซ็กจึงให้ทหารตีม้าล่อให้สัญญาณเข้าโจมตีพร้อมกัน ซุนเซ็กซึ่งสกัดอยู่ด้านหน้าให้ทหารจุดไฟสว่างไสว เพื่อให้ทหารเงียมแปะฮอเกรงกลัวไม่กล้ารุกไปข้างหน้า

            จิวเจียด เงียมแปะฮอ และทหารในกองทัพหน้าตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทหารซุนเซ็กและถูกตีกระหนาบเข้ามาทุกด้านก็ตกใจ เงียมแปะฮอนั้นเป็นนักหนี มีฝีเท้าไว จึงตีฝ่าหนีออกไปได้ แล้วนำทหารไปเมืองอิข้อง เหลือแต่จิวเจียดคุมทหารต่อสู้กับซุนเซ็กและถูกซุนเซ็กเอาทวนแทงตกม้าตาย

            ครั้นกองทัพหน้าแตกแล้ว ทหารของซุนเซ็กก็ยังคงตีฝ่าเข้ามาจนถึงทัพหลวงของอ่องหลอง อ่องหลองเห็นจวนตัวจะหนีเข้าเมืองก็ไม่ทันการเพราะรบประชิดกันอยู่ จึงพาทหารหนีไปทางด้านชายทะเล

            ซุนเซ็กได้รับชัยชนะอย่างงดงามตามแผนการของจิวยี่ จึงรีบยกทหารไปเมืองห้อยแข ทหารรักษาเมืองทราบว่าอ่องหลองหนีไปแล้วก็พากันเปิดประตูเมืองเข้าสวามิภักดิ์กับซุนเซ็กสิ้น ซุนเซ็กได้ทั้งชัยชนะและได้ทั้งเมืองหลายเมืองติดต่อกันเช่นนี้กำลังกองทัพของซุนเซ็กจึงเติบโตขึ้นเป็นอันมาก

            ฝ่ายเงียมแปะฮอครั้นพาทหารหนีไปถึงเมืองอิข้องก็พบกับตังสิดชาวเมืองเหยียง ซึ่งทราบกิตติศัพท์ของซุนเซ็กว่ามีน้ำใจเป็นธรรม โอบอ้อมอารีแลรักราษฎร อยากจะไปทำการด้วยกับซุนเซ็ก ครั้นทราบว่าเงียมแปะฮอแตกหนีซุนเซ็กมาจึงพาพรรคพวกเข้าล้อมจับเงียมแปะฮอแล้วตัดศีรษะมามอบแก่ซุนเซ็ก

            ซุนเซ็กเห็นตังสิด “หน้าสี่เหลี่ยม ปากกว้าง สูงห้าศอกเศษ สมควรที่จะเป็นทหาร” จึงมีความยินดีแล้วรับตังสิดเข้าเป็นทหารในกองทัพ

            สิ้นเงียมแปะฮอแล้ว บรรดาดินแดนเกือบทั้งหมดในแคว้นกังตั๋งก็สยบราบคาบอยู่ภายใต้อำนาจของซุนเซ็กสิ้น ซุนเซ็กจึงเลิกทัพกลับไปเมืองกังตั๋งเตรียมการที่จะยกไปยึดหัวเมืองย่อย ๆ มีเมืองกังหนำเป็นศูนย์กลางเพื่อครองอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือดินแดนฝั่งใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงทั้งสิ้น

            ขณะเตรียมทหารอยู่นั้น ทหารสื่อสารได้เข้ามารายงานว่าบัดนี้มีโจรกลุ่มใหญ่ยกกำลังเข้าล้อมเมืองอ้วนเซีย ยึดเมืองอ้วนเซียได้แล้ว จิวท่ายพาซุนกวนหลบหนีออกมา ในขณะที่พาซุนกวนหนีมานั้นจิวท่ายถูกกลุ่มโจรล้อมทำร้ายบาดเจ็บสาหัส  ถูกแผลทวนสิบกว่าแห่ง แม้หนีรอดมาได้แต่เห็นจะไม่รอดชีวิต

            ซุนเซ็กได้ฟังดังนั้นก็ตกใจสั่งทหารให้รีบยกไปช่วยซุนกวน ถึงกลางทางพบ    ซุนกวนและทหารกำลังหนีมาใช้เปลหามจิวท่ายอย่างทุลักทุเล ครั้นมาถึงเมืองกังตั๋งได้หมอโฮโต๋มารักษา อาการบาดเจ็บของจิวท่ายก็หายอย่างรวดเร็ว

            ครั้นซุนกวนกลับมาเมืองกังตั๋ง ซุนเซ็กจึงยกทหารไปยึดเมืองอ้วนเซียกลับคืน จับโจรได้เป็นอันมาก เหตุการณ์สงบแล้วซุนเซ็กจึงสั่งให้ยกกองทัพเคลื่อนต่อไปยังเมืองกังหนำ บรรดาชาวเมืองและหัวเมืองย่อยที่ขึ้นต่อเมืองกังหนำครั้นได้ทราบว่า   ซุนเซ็กยกกองทัพมาก็ไม่คิดต่อสู้และพากันเข้าด้วยซุนเซ็ก เป็นอันว่าบรรดาหัวเมืองทั้งปวงทางฝั่งใต้ของแม่น้ำแยงซีได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของซุนเซ็กสิ้น

            ซุนเซ็กได้สถาปนาอำนาจการปกครองของตระกูล “ซุน” เหนือดินแดนฝั่งใต้ของแม่น้ำแยงซี โดยมีกังตั๋งเป็นศูนย์กลางการปกครอง สำเร็จตามปณิธานของซุนเกี๋ยนผู้บิดาด้วยประการฉะนี้

            ครั้นซุนเซ็กจัดระเบียบการปกครองแคว้นกังตั๋งเสร็จสิ้นแล้ว จึงทำหนังสือกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้เพื่อทรงทราบ.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร