ตอนที่ 78. พยัคฆ์น้อย ณ ฝั่งใต้แม่น้ำแยงซี

 ซุนเซ็กได้ยินว่าไทสูจู้จะมาจับตัวจึวหัวเราะแล้วว่า ให้พวกเจ้าทั้งสองคนเข้ามาพร้อมกัน ตัวเราคนเดียวจะจับพวกเจ้าทั้งสองคนเอง ไทสูจู้จึงว่าให้พวกเจ้าทั้งหมดนั่นแหละเข้ามาพร้อมกัน ตัวเราแต่ผู้เดียวจะจับพวกเจ้าทั้งหมดเอง

            ทั้งสองฝ่ายต่างโอ่กันตามธรรมเนียม แล้วซุนเซ็กจึงขับม้าเข้ารบด้วยไทสูจู้ ต่อสู้กันได้ห้าเพลงไทสูจู้เห็นกำลังซุนเซ็กกล้าแข็ง ยากจะเอาชนะได้ และเห็นทหารของซุนเซ็กทั้งสิบสองคนขยับม้าเป็นทีจะเข้ามาล้อม ดังนั้นไทสูจู้จึงชักม้าหนีเพื่อจะล่อให้ซุนเซ็กไล่ตาม พ้นออกมาจากพวกทหาร

            ซุนเซ็กขับม้าไล่ตามไทสูจู้แล้วร้องถามว่า ก็ไหนเจ้าโอ่ว่าเก่งกล้านัก ไม่ทันไรไฉนจึงรีบหนีเสียเล่า ไทสูจู้ทำเป็นไม่ได้ยิน คงขับม้าหนีต่อไปจนถึงตำบลเพ้งฉวน   ซุนเซ็กก็ไล่ทัน ไทสูจู้จึงชักม้าหันกลับมารบกับซุนเซ็ก ต่อสู้กันได้ห้าสิบเพลง ซุนเซ็กเอาทวนแทง ไทสูจู้หลบทันและจับเอาทวนซุนเซ็กแล้วใช้ทวนแทงกลับไป ซุนเซ็กก็หลบได้แล้วจับเอาทวนไทสูจู้ไว้

            ทั้งสองฝ่ายต่างยื้อแย่งทวนกันบนหลังม้าจนพลัดตกลงจากหลังม้าพร้อมกัน ทวนนั้นหลุดจากมือของทั้งสองคน ทั้งซุนเซ็กและไทสูจู้จึงเข้าปล้ำต่อสู้กันด้วยมือเปล่าจนเสื้อและเกราะขาดทั้งสองฝ่าย ซุนเซ็กคว้าเอาทวนสั้นซึ่งเหน็บอยู่ข้างหลังไทสูจู้ ไทสูจู้ก็ดึงเอาหมวกเกราะของซุนเซ็กมาได้

            ซุนเซ็กเอาทวนสั้นแทง ไทสูจู้ก็เอาหมวกเกราะรับไว้ได้ พอทหารของเล่าอิ้วยกตามไทสูจู้มาพันเศษ และทหารซุนเซ็กทั้งสิบสองคนตามมาทัน ทั้งสองฝ่ายต่างชักม้าเข้ามาในหมู่ทหารของตน เอาทวนใหม่จากทหารแล้วเข้ามารบกันอีกครั้งหนึ่ง

            ซุนเซ็กเห็นว่าทหารเล่าอิ้วยกมาเป็นจำนวนมาก จึงรบพลางถอยพลาง พอจิวยี่ยกทหารมาทันก็ตั้งยันกันไว้ ทั้งไทสูจู้และซุนเซ็กรบกันจนค่ำฝนตกหนักลงมา ทั้งสองฝ่ายจึงถอยกลับเข้าค่าย

            ซุนเซ็กมีความประทับใจไทสูจู้ยิ่งนัก ทั้งด้วยฝีมือทหารและความเป็นสุภาพบุรุษ ในขณะเดียวกันไทสูจู้ก็ประทับใจซุนเซ็กเป็นอันมาก กลับถึงค่ายแล้วต่างฝ่ายต่างรำลึกถึงกัน ครั้นรุ่งขึ้นซุนเซ็กจึงยกทหารไปที่หน้าค่ายของเล่าอิ้ว ชูทวนสั้นของไทสูจู้แล้วร้องว่าเจ้าของทวนสั้นเล่มนี้อยู่ที่ใด ไฉนจึงไม่กล้าออกมารบด้วยเราเล่า

            ไทสูจู้เห็นดังนั้นก็เอาหมวกเกราะของซุนเซ็กชูขึ้นแล้วร้องว่าศีรษะของเจ้าของหมวกเกราะนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือ ไฉนหมวกเกราะจึงหลุดจากศีรษะมาอยู่ในมือของเราเล่า ต่างฝ่ายต่างเยาะเย้ยกันพักหนึ่ง ไทสูจู้จึงขับม้าออกจากค่ายจะรบด้วยซุนเซ็ก เทียเภาเห็นดังนั้นจึงชักม้าออกไปสกัดไว้

            จิวยี่เห็นทั้งสองฝ่ายกำลังรบกันก็ลอบยกทหารวกอ้อมไปทางด้านหลังเมืองขยกโอ๋ พอไปถึงประตูเมืองประตูก็เปิดออกมีทหารกองหนึ่งยกออกมา ตัวนาย “มีกำลังมาก รูปร่างใหญ่ สูงห้าศอกเศษ หน้าเหลือง วงตาแดง” ครั้นพบหน้าจิวยี่ก็รีบลงจากหลังม้ากระทำคารวะ แล้วว่าข้าพเจ้าชื่อตันบู เป็นชาวเมืองโลกั๋ง ได้ข่าวว่าซุนเซ็กยกกองทัพข้ามแม่น้ำแยงซีจะมาตีเมืองขยกโอ๋ ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่าซุนเซ็กมีสติปัญญาและรักทหาร จึงพาพรรคพวกจะมาทำการด้วยซุนเซ็ก แล้วได้ลอบเข้าไปในเมือง ครั้นทราบว่าท่านยกมาจึงฆ่าทหารรักษาประตูเมืองเสียแล้วเปิดประตูเมืองต้อนรับท่าน

            จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ รีบยกทหารเข้าไปในเมืองขยกโอ๋ ทหารของเล่าอิ้วเห็นจิวยี่ยึดเมืองได้ก็เข้าสวามิภักดิ์ด้วยจิวยี่ คงมีแต่ทหารที่สนิทกับเล่าอิ้วหนีออกจากเมืองแล้วไปหาเล่าอิ้ว ณ ค่าย รายงานให้ทราบว่าบัดนี้จิวยี่ยึดเมืองขยกโอ๋ได้แล้ว

            เล่าอิ้วได้ฟังดังนั้นก็ตกใจสั่งทหารให้ตีระฆังสัญญาณเรียกไทสูจู้กลับมาค่าย    ไทสูจู้ได้ยินสัญญาณก็กลับมาที่ค่ายแล้วต่อว่าเล่าอิ้วว่าข้าพเจ้าจวนจะได้รับชัยชนะ    เทียเภาอยู่แล้ว ไฉนท่านจึงให้สัญญาณเรียกข้าพเจ้าให้ถอยกลับ

            เล่าอิ้วจึงแจ้งว่าจิวยี่ยึดเมืองขยกโอ๋ได้แล้ว เราจะอยู่ที่นี่อีกต่อไปไม่ได้ ค่ำลงเล่าอิ้วก็สั่งให้ถอนทัพแล้วยกไปเมืองวัวเหลง

            ฝ่ายจิวยี่ได้เมืองขยกโอ๋แล้วสั่งให้ตันบูรีบไปพบซุนเซ็กแล้วรีบรายงานให้ซุนเซ็กทราบ เตียวเจียวรองแม่ทัพจึงว่าบัดนี้เล่าอิ้วถอยทัพหนีไปแล้ว สมควรต้องรีบตามตีอย่าให้ทันตั้งตัว ซุนเซ็กเห็นชอบด้วยจึงให้ยกทหารติดตามกองทัพเล่าอิ้วไปในทันที

            ซุนเซ็กนำทหารม้าไล่ตามเล่าอิ้วไปไม่ถึงชั่วยามก็ทันกองทัพเล่าอิ้ว ไทสูจู้ได้ถอยกลับมารบด้วยซุนเซ็ก ทหารซุนเซ็กจึงตีวงจะเข้าล้อม ไทสูจู้จึงรีบชักม้าหนี แล้วพา ทหารที่ตามมาอีกสิบห้าคนหนีไปเมืองเก๋งกวน ซุนเซ็กได้ทีจึงขับทหารเข้าฆ่าฟันทหารของเล่าอิ้วอย่างดุเดือด เล่าอิ้วสู้ไม่ได้ก็แตกหนีไปอยู่ที่ตำบลงิวจู๋

            ฝ่ายฉกหยงและซีเหลทหารเมืองวัวเหลงทราบข่าวว่าเล่าอิ้วรบกับซุนเซ็ก ก็ยกทหารจะมาช่วยเล่าอิ้ว แต่ยกมาไม่ทันเพราะเล่าอิ้วแตกหนีไปก่อนจึงปะทะกับซุนเซ็ก

            ซุนเซ็กสั่งให้ตันบูนำทหารเข้าตีกองทหารของฉกหยงและซีเหล ตันบูนำกำลังทหารรุกเข้าตีอย่างดุเดือด ฉกหยงและซีเหลสู้ไม่ได้ก็แตกหนีไปคนละทาง ซีเหลพา ทหารหนีกลับเข้าเมืองวัวเหลงแล้วปิดประตูเมืองไม่ยอมออกรบ

            ฝ่ายฉกหยงแตกหนีไปทางตำบลงิวจู๋ได้พบกับเล่าอิ้ว พอดีซุนเซ็กยกทหารไล่ตามมาทัน เล่าอิ้วจึงให้ทหารรองสองนายออกรบ ซุนเซ็กได้สังหารทหารรองทั้งสองนายนั้นเสีย เล่าอิ้วตกใจจึงพาทหารที่เหลือหนีไปอยู่เมืองอิเจี๋ยง

            ซุนเซ็กไล่ตามเล่าอิ้วไม่ทันจึงยกทหารไปล้อมเมืองวัวเหลงแล้วขี่ม้าไปที่หน้าเชิงเทิน ท้าให้ซีเหลออกมารบ ซีเหลเห็นซุนเซ็กไม่ทันระวังตัว จึงเอาเกาทัณฑ์ยิงไปถูกขาซุนเซ็กตกจากหลังม้า ทหารของซุนเซ็กจึงช่วยกันหามซุนเซ็กกลับไปค่าย

            ซุนเซ็กกลับเข้าค่ายแล้วจึงว่า ซีเหลคิดอาศัยการตั้งรับอยู่แต่ในเมือง ไม่ยอมยกออกมารบ ทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง ครั้นเราจะยกเข้าหักเอาเมืองก็จะสูญเสียทหารเป็นอันมาก ดังนั้นเราจะแต่งกลอุบายลวงให้ซีเหลยกออกมารบให้จงได้

            แล้วซุนเซ็กจึงสั่งให้ปล่อยข่าวลือว่าซุนเซ็กถูกเกาทัณฑ์อาการกำเริบตายแล้ว ให้ทหารถอนค่ายทำทีเป็นถอยทัพ และให้จัดทหารซุ่มไว้ทั้งสองข้างทาง อีกกองหนึ่งให้สกัดทางหนี ตัวซุนเซ็กเตรียมรอสกัดอยู่ปลายทาง

            ฝ่ายซีเหลได้ข่าวว่าซุนเซ็กตายแล้วและทหารซุนเซ็กถอนค่ายเตรียมถอยทัพ ค่ำลงจึงยกทหารออกจากเมืองจะโจมตีชิงเอาศพซุนเซ็ก ครั้นมาถึงจุดซุ่มซุนเซ็กจึงให้ทหารจุดพลุสัญญาณ ทหารที่ซุ่มอยู่ก็ยกออกมาล้อมกองทหารของซีเหลไว้ทั้งสี่ด้าน

            ทหารของซุนเซ็กล้อมโจมตีกองทหารของซีเหลอย่างดุเดือด ตัวซีเหลตายในที่รบ ทหารของซีเหลจึงพากันเข้าด้วยซุนเซ็กสิ้น จากนั้นซุนเซ็กจึงยกทหารเข้ายึดเมืองวัวเหลงได้

            ครั้นจัดการภายในเมืองเสร็จแล้ว ซุนเซ็กจึงสั่งให้ยกกองทัพไปเมืองเก๋งกวน ตั้งค่ายประชิดกำแพงเมืองแล้วปรึกษาด้วยจิวยี่ว่า บัดนี้ไทสูจู้หนีมาอยู่เมืองเก๋งกวน ไทสูจู้คนนี้มีฝีมือกล้าแข็งนัก ข้าพเจ้าอยากได้ตัวมาทำการด้วย แต่จะคิดประการใดจึงจะได้ตัวไทสูจู้

            จิวยี่จึงเสนอว่าให้ท่านจัดทหารเป็นสามกองเข้าโจมตีเมืองเก๋งกวนทั้งสามด้าน เว้นอีกด้านหนึ่งไว้ ทหารรักษาเมืองเก๋งกวนมีอยู่น้อยคงจะรักษาเมืองไว้ไม่ได้ ไทสูจู้คงจะพาทหารหนีไปทางด้านที่เราเปิดทางไว้ ให้ท่านจัดทหารไปซุ่มอยู่สองข้างทาง เอาเชือกขึงกั้นทางไว้แล้วคอยจับตัวไทสูจู้ที่นั่นคงจะได้ตัวเป็นมั่นคง

            ซุนเซ็กเห็นด้วยกับความคิดของจิวยี่จึงสั่งให้ดำเนินการตามแผนของจิวยี่ทุกประการ ค่ำลงทหารของซุนเซ็กก็หักเข้าโจมตีเมืองเก๋งกวนพร้อมกันทั้งสามด้าน ทหารรักษาเมืองล้วนไร้ฝีมือไม่สามารถรักษาเมืองไว้ได้ ทหารซุนเซ็กจึงบุกเข้าไปในกำแพงเมืองทั้งสามด้าน ไทสูจู้เห็นทหารในเมืองสู้ทหารซุนเซ็กไม่ได้ก็ขับม้าหนีออกจากเมืองไปทางด้านที่ซุนเซ็กเปิดทางไว้ให้

            ครั้นไทสูจู้ขับม้ามาถึงจุดซุ่ม ม้าที่ไทสูจู้ขี่จึงสะดุดกับเชือกที่ขึงกั้นไว้ล้มลง ไทสูจู้พลัดตกลงจากหลังม้า ทหารของซุนเซ็กได้กรูเข้าจับตัวไทสูจู้แล้วมัดพาเข้าไปหาซุนเซ็ก

            ซุนเซ็กเห็นทหารมัดไทสูจู้เข้ามาจึงรีบวิ่งมาแก้เชือกที่มัดไทสูจู้แล้วจูงมือมานั่งลงตรงหน้า แล้วว่าข้าพเจ้าปรารถนาจะได้ตัวท่านแต่ครั้งแรกที่รบกันแล้ว มาสมความปรารถนาในวันนี้ ข้าพเจ้ามีความยินดียิ่งนัก ท่านอย่าถือโกรธที่ทหารจับตัวท่านเลย แล้วว่าตัวท่านมีฝีมือเข้มแข็ง องอาจกล้าหาญ สมเป็นผู้นำทัพสร้างความสงบสุขแก่แผ่นดิน อย่าอยู่กับเล่าอิ้วคนถ่อยต่อไปอีกเลย ขอจงมาทำการอยู่ช่วยข้าพเจ้า ช่วยทำนุบำรุงราษฎรให้เป็นสุขเถิด

            ไทสูจู้ประทับใจซุนเซ็กอยู่แต่เดิม ครั้นเห็นซุนเซ็กไม่มีใจพยาบาทและมอบไมตรีมาดังนี้ จึงตกลงทำการด้วยซุนเซ็ก ลุกขึ้นคารวะซุนเซ็กแล้วว่าข้าพเจ้าขออภัยที่ได้ล่วงเกินท่านเป็นอันมาก ขอท่านจงถือเสียว่าครั้งนั้นยังเป็นคนละฝ่าย ข้าพเจ้าจำเป็นต้องทำหน้าที่ของทหาร อย่าถือโกรธข้าพเจ้าเลย นับแต่นี้ไปข้าพเจ้าจะขอติดตามรับใช้ท่าน ถึงแม้จะต้องดำน้ำ ลุยไฟ ข้าพเจ้าก็พร้อมใจทำการโดยไม่ห่วงหาอาทรต่อชีวิตเลย

            ซุนเซ็กดีใจยิ่งนักเข้ามาสวมกอดไทสูจู้แล้วหัวเราะ และถามว่าเมื่อครั้งที่เรารบกันนั้นถ้าหากท่านจับข้าพเจ้าได้ ท่านจะฆ่าข้าพเจ้าหรือไม่ ไทสูจู้จึงว่าสถานการณ์ในขณะนั้นข้าพเจ้าตอบไม่ได้ ว่าแล้วทั้งสองคนก็หัวเราะพร้อมกัน

            ซุนเซ็กสั่งให้แต่งโต๊ะเชิญแม่ทัพนายกองเข้าร่วมงานเลี้ยงเพื่อฉลองชัย และรับขวัญไทสูจู้ ครั้นกินโต๊ะเสร็จแล้วไทสูจู้จึงว่าทหารของเล่าอิ้วที่กระสานซ่านเซ็นมีเป็นจำนวนมาก ข้าพเจ้าขออาสาไปติดตามเกลี้ยกล่อมทหารเหล่านั้นให้มาทำการด้วยท่านจะได้เป็นกำลังของท่านสืบไป แล้วถามซุนเซ็กว่าท่านจะวางใจให้ข้าพเจ้าไปหรือไม่

            ซุนเซ็กจึงว่าข้าพเจ้าย่อมวางใจท่าน อย่าได้มีความสงสัยเลย แต่วันนี้ค่ำแล้วท่านจงเดินทางในวันพรุ่งนี้แล้วให้กลับมา ณ เวลาเที่ยงตรง ข้าพเจ้าจะคอยรับท่าน ไทสูจู้คารวะซุนเซ็กแสดงความขอบคุณที่ซุนเซ็กวางใจ เสร็จงานเลี้ยงแล้วซุนเซ็กสั่งทหารให้จัดที่พักให้กับไทสูจู้

            ครั้นไทสูจู้กลับไปที่พักแล้ว บรรดาที่ปรึกษาได้ทักท้วงซุนเซ็กว่าไทสูจู้ได้ต่อสู้กับท่านเป็นหลายครั้งและถูกจับตัวได้ในวันนี้ การที่ท่านปล่อยไทสูจู้กลับไปจะมิเท่ากับเป็นการปล่อยจระเข้ลงน้ำหรือ ซุนเซ็กจึงว่าข้าพเจ้าเชื่อว่าไทสูจู้เป็นชายชาติทหาร มีความสัตย์ซื่อมั่นคงย่อมจะไม่คิดหนีไปในลักษณะเช่นนี้

            รุ่งเช้าไทสูจู้ก็ออกจากเมืองไป บรรดาที่ปรึกษาเห็นเวลาใกล้เที่ยงไทสูจู้ยังไม่กลับมาจึงพากันไปหาซุนเซ็กแสดงความห่วงใยว่าไทสูจู้คงจะไม่กลับมาแล้ว

            ซุนเซ็กจึงให้ทหารเอาทวนไปปักไว้กลางแจ้งแล้วว่า เวลานี้พระอาทิตย์ยังไม่คล้อยพ้นศีรษะ เงาทวนยังคงทาบพื้นทางด้านตะวันตก พวกท่านจงอดใจรอไว้ก่อนเถิด

            ครั้นสิ้นเงาทวน ซุนเซ็กและบรรดาที่ปรึกษาจึงเห็นไทสูจู้ขับม้ามาถึงหน้าเมือง มีทหารติดตามมาด้วยถึงพันเศษ บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองเห็นดังนั้นจึงพากันสรรเสริญซุนเซ็กว่ามีสายตาคมกล้า สามารถดูลักษณะคน ล่วงรู้เข้าไปถึงความคิดจิตใจแม่นยำดุจดังเทพยดาเข้าดลใจ

            ไทสูจู้เข้าเมืองแล้วรีบพาพรรคพวกที่ตามมาด้วยเข้าไปคารวะซุนเซ็ก แล้วว่าบัดนี้พรรคพวกสหายศึกของข้าพเจ้าตกลงพร้อมกันที่จะมาทำการด้วยท่าน ซุนเซ็กเห็นดังนั้นก็ยินดีคารวะตอบ แล้วจัดวางให้ทหารเหล่านั้นเข้าสังกัดในกองทัพ

            ซุนเซ็กสั่งให้สำรวจกำลังทหารทั้งใหม่เก่า ปรากฏว่า ณ บัดนี้กำลังทหารของ  ซุนเซ็กได้เพิ่มจำนวนขึ้นเป็นสามหมื่นคน มากกว่าตอนที่ยืมทหารจากอ้วนสุดถึงสิบเท่า

            อันธรรมดาการสงครามนั้นมีทั้งด้านที่สูญเสียและมีทั้งด้านที่เพิ่มพูน ขึ้นอยู่กับความถูกต้องของทิศทางการเมืองที่ใช้นำกองทัพ หากแนวทางการเมืองที่ชี้ทิศนำทางให้กับกองทัพถูกต้องแล้ว กองทัพก็จะเติบใหญ่ขึ้นท่ามกลางสงคราม ในทางตรงกันข้ามถ้าหากว่าแนวทางการเมืองผิดพลาด กองทัพก็จะค่อย ๆ หดตัวเล็กลงและสลายไปในท่ามกลางสงครามนั้น

            ซุนเซ็กเริ่มต้นด้วยการยืมทหารจากอ้วนสุดเพียงสามพัน หลังจากยกข้ามฟากแม่น้ำแยงซีผ่านศึกหลายครั้ง ไม่เพียงแต่กองทัพของซุนเซ็กจะไม่เล็กลงเพราะการบาดเจ็บล้มตายของทหาร แต่กลับเติบใหญ่ขึ้นและมีกำลังพลเพิ่มขึ้นถึงสิบเท่าของกำลังรบเดิม นี่คือปรากฏการณ์ของความถูกต้องของแนวทางการเมืองที่เชิดชูอุดมการณ์เอกภาพแห่งดินแดนฝั่งใต้ของแม่น้ำแยงซีที่มีชื่อว่าดินแดน    กังตั๋งเป็นธงชัยนำทางให้กับกองทัพของซุนเซ็กนั่นเอง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร