ตอนที่ 77. สร้างเสริมกำลังเตรียมตั้งตัว

ซุนเซ็กได้ฟังว่าจิวยี่จะร่วมทำการด้วยก็ยินดียิ่งนัก เข้ากอดเอาจิวยี่ไว้แล้วว่าคำของน้องท่านเปรียบดังสายฝนโปรยมายามหน้าแล้ง ต้นไม้ใบหญ้าดั่งข้าพเจ้านี้ยินแล้วอิ่มใจสดชื่นยิ่งนัก มั่นใจว่าการใหญ่ของเราจักสำเร็จเป็นมั่นคง

            ซุนเซ็กได้แนะนำให้จิวยี่รู้จักกับจูตีและลิห้อม จิวยี่กระทำคารวะแก่สองที่ปรึกษาแล้วถามซุนเซ็กว่า ในดินแดนกังตั๋งนี้มีสองบัณฑิตแซ่เตียว ท่านรู้จักหรือไม่  ซุนเซ็กไม่ตอบคำแต่ถามกลับมาว่า สองบัณฑิตตามคำท่านนี้เป็นผู้ใดหรือ

            จิวยี่จึงว่าคนหนึ่งชื่อเตียวเจียว เป็นชาวเมืองเพ้งเสีย อีกคนหนึ่งชื่อเตียวเหียน เป็นชาวเมืองกองเหลง ทั้งสองคนนี้เจนจบพิชัยสงคราม ศาสตร์การปกครองแลกฎแห่งฟ้าดิน หากได้ตัวมาทำการแล้ว การใหญ่ของพี่ท่านก็จะสำเร็จโดยง่ายดาย และบัดนี้บัณฑิตทั้งสองคนนี้ได้หลบโจรภัยมาอยู่ในเมืองนี้ ชอบที่พี่ท่านจะได้ไปเชิญมาร่วมทำการด้วย

            ซุนเซ็กได้ฟังคำจิวยี่ก็ดีใจนัก สั่งให้ทหารปลงทัพไว้ ณ ที่นั้น แล้วให้ทหารคนสนิทนำข้าวของเงินทองจำนวนมากไปมอบแก่บัณฑิตทั้งสอง และขอเชิญมาพบกับ    ซุนเซ็ก ณ ค่ายทหาร แต่ทหารคนสนิทกลับมารายงานซุนเซ็กว่า ได้ไปพบบัณฑิตทั้งสองแล้วแต่ทั้งสองคนไม่ยอมรับของกำนัลและไม่ยอมมาพบ           

            ซุนเซ็กได้ฟังรายงานแล้วจึงปรึกษาจิวยี่ว่าจะทำประการใดจึงจะได้ตัวบัณฑิตทั้งสองมาทำการด้วย  จิวยี่จึงว่าบัณฑิตทั้งสองมีสติปัญญา พี่ท่านให้ทหารไปเชิญมาพบคงจะคิดว่าเราไม่เห็นความสำคัญแห่งสติปัญญา จึงไม่ยอมมา ดังนั้นพี่ท่านจึงควรออกไปเชิญด้วยตนเองเถิด

            ซุนเซ็กเห็นชอบกับข้อเสนอของจิวยี่ จึงพากันไปยังบ้านของเตียวเจียวและเตียวเหียน ซุนเซ็กคารวะแล้วได้สนทนากับบัณฑิตทั้งสองเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองอย่างกว้างขวางเป็นที่ต้องใจของกันและกัน ซุนเซ็กจึงแจ้งแผนการของตนให้สองบัณฑิตทราบ

            ทั้งเตียวเจียวและเตียวเหียนหลังจากสนทนากับซุนเซ็กแล้วเกิดความประทับใจ ครั้นได้ทราบอุดมการณ์ที่จะตั้งตนเป็นใหญ่ในดินแดนกังตั๋งก็ยินดีและตอบรับคำเชิญของซุนเซ็ก แล้วพากันมายังค่ายทหาร

            กลับมาถึงค่ายแล้ว ซุนเซ็กได้เรียกประชุมที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกอง ประกาศแต่งตั้งให้เตียวเจียวเป็นรองแม่ทัพ และให้เตียวเหียนเป็นเสนาธิการของกองทัพ แล้วจัดงานเลี้ยงต้อนรับทั้งสองบัณฑิต ณ ค่ายนั้น

            รุ่งขึ้นซุนเซ็กจึงสั่งให้เคลื่อนกองทัพข้ามแม่น้ำแยงซีเพื่อกำจัดเล่าอิ้ว ซึ่งบัดนี้เสียทีแก่อ้วนสุดแล้วยกมาตั้งอยู่ที่เมืองขยกโอ๋

            ซุนเซ็กยกกองทัพข้ามแม่น้ำแยงซีเข้าสู่ดินแดนอันเป็นแคว้นกังตั๋งประดุจดั่งลูกพยัคฆ์กำลังเข้าสู่ป่า รอวันเวลาเจริญวัยเติบใหญ่เป็นเจ้าป่าดังนี้

            อันวิสัยพญาครุฑนั้นอาจบินสูงเทียมเมฆ ในขณะเดียวกันก็อาจบินต่ำระดับยอดหญ้า แตกต่างกับนกกระจอกที่แม้ว่าสามารถบินสูงกว่ายอดหญ้าแต่ก็หาสามารถบินสูงเทียมเมฆได้ไม่ เช่นเดียวกับลูกเสือแม้ว่ายังเล็กและกำลังวังชายังไม่เข้มแข็งดุจพญาพยัคฆ์ แต่ในท่ามกลางดงสมันนั้นลูกเสือก็ยังกล้าแกร่งเข้มเข็งน่าเกรงขามยิ่งกว่าสมันทั้งฝูงมากนัก

            อันดินแดนแถบใต้แม่น้ำแยงซี โดยเฉพาะบริเวณอันเป็นปากน้ำด้านตะวันออกที่เรียกว่ากังตั๋งนั้น นับแต่โบราณกาลมาราษฎรใฝ่การค้าขายแลทำมาหากิน มีความเก่งกล้าสามารถในเชิงการค้า ยากจะหาชาวจีน ณ ดินแดนแคว้นอื่นเทียบเทียม แต่สำหรับการศึกแล้วกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ราษฎรเกรงกลัวการเป็นทหารและพยายามหลีกหนีไม่ยอมเป็นทหาร

            แม้เป็นทหารแล้วส่วนใหญ่ก็เป็นด้วยจำใจ หาได้คิดอ่านฝึกปรือการศึกสงครามเหมือนกับชาวภาคเหนือไม่ ดังนั้นการจัดกองทัพ การฝึกทหาร การเตรียมรบ ตลอดจนการฝึกฝนทางยุทธวิธีของชาวภาคใต้แม่น้ำแยงซีจึงอ่อนด้อยโดยทั่วไป

            เหตุนี้เมื่อซุนเซ็กคิดอ่านสืบสานอุดมการณ์ของซุนเกี๋ยนผู้บิดา ยาตรากองทัพข้ามแม่น้ำแยงซีลงมาที่ดินแดนกังตั๋งจึงประดุจดั่งลูกพยัคฆ์กำลังฝ่าเข้ามาในดงสมันฉะนั้น

            ฝ่ายเล่าอิ้วครั้นทราบว่าซุนเซ็กยกกองทัพข้ามแม่น้ำแยงซีมุ่งมาที่เมืองขยกโอ๋ จึงสั่งให้เชิญบรรดาที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองเตรียมรับมือกับกองทัพซุนเซ็ก เตียวเอ๋งนายทหารของเล่าอิ้วได้ขันอาสาขอยกทหารไปตั้งสกัดกองทัพของซุนเซ็กที่ตำบลงิวจู๋ ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มริมทะเลสาปเป็นพื้นที่จำกัด หากซุนเซ็กยกมาแม้จะมีทหารมากกว่าภูมิประเทศก็จะบีบบังคับให้เหมือนน้อยย่อมตั้งรับศึกมิให้ฝ่าลงมาได้

            ขณะนั้นไทสูจู้ซึ่งเดินทางมาจากการไปช่วยเหลือขงหยงที่เมืองปักไฮ ได้มาพบเล่าอิ้วตามคำเชิญแล้วตกลงเข้ารับราชการด้วยเล่าอิ้ว เมื่อได้ฟังเตียวเอ๋งเสนอแผนการสกัดทัพซุนเซ็กดังนั้นจึงขออาสาเป็นกองหน้า แต่เล่าอิ้วไม่เห็นด้วย อ้างว่าไทสูจู้ยังเป็นเด็กอยู่ ไทสู้จู้เห็นเล่าอิ้วไม่ไว้วางใจก็เสียใจ แต่เป็นผู้น้อยจึงนิ่งเก็บความเสียใจนั้นไว้แต่ลำพัง

            เล่าอิ้วได้ตั้งให้เตียวเอ๋งเป็นแม่ทัพ ยกทหารไปสกัดกองทัพซุนเซ็กที่ตำบลงิวจู๋ ถึงที่หมายแล้วให้ทหารตั้งค่ายมั่นลงไว้ แล้วแต่งทหารออกไปลาดตระเวนระวังเหตุการณ์ตามธรรมเนียมศึก แล้วออกหมายเกณฑ์ชายฉกรรจ์ในพื้นที่เข้ามารับราชการทหาร และเกณฑ์เสบียงจากราษฎรได้เป็นจำนวนกว่าหมื่นถัง จึงให้ตั้งคลังเสบียงไว้หลายแห่ง พร้อมที่จะยันทัพซุนเซ็กได้นานนับเดือน

            ฝ่ายซุนเซ็กเมื่อยกกองทัพมาถึงตำบลงิวจู๋ เห็นกองทัพเตียวเอ๋งตั้งสกัดอยู่จึงสั่งให้อุยกายออกไปรบด้วยเตียวเอ๋ง ในขณะที่เตียวเอ๋งรบกับอุยกายอยู่นั้น พลันมีแสงเพลิงลุกขึ้นในค่ายของเตียวเอ๋ง และทหารได้วิ่งมารายงานเตียวเอ๋งว่าบัดนี้มีกลุ่มโจรป่านำโดยเจียวขิมและจิวท่าย มีกำลังพลประมาณสามร้อยได้พากันบุกเข้าไปในค่าย แล้วเผาค่ายทำให้ทหารแตกตื่นอลหม่านอยู่

            เตียวเอ๋งได้ฟังก็ตกใจรีบชักม้าผละจากอุยกาย แล้วสั่งทหารให้รีบถอยเข้าค่าย ซุนเซ็กเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้ไล่ตามตีเตียวเอ๋ง และฆ่าฟันทหารของเตียวเอ๋งบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก เตียวเอ๋งเข้าค่ายไม่ได้ก็รีบพาทหารหนีไปเมืองขยกโอ๋

            ซุนเซ็กจึงยกทหารเข้ายึดค่ายของเตียวเอ๋ง ยึดสินศึกและเสบียงได้เป็นจำนวนมาก ทหารของเตียวเอ๋งที่หนีไม่ทันได้เข้าสวามิภักดิ์ด้วยซุนเซ็กสิ้น

            ฝ่ายเจียวขิมและจิวท่าย ครั้นซุนเซ็กยึดค่ายได้แล้วก็พาพรรคพวกเข้ามาคารวะซุนเซ็กแล้วว่าพวกข้าพเจ้าเป็นโจรป่าได้ทราบกิตติศัพท์ว่าท่านมีน้ำใจโอบอ้อมอารีรักราษฎร และมีสติปัญญาเป็นอันมาก จึงพากันยกมาจะเข้าทำการด้วยท่าน แต่เห็นกองทัพของท่านกำลังรบอยู่กับเตียวเอ๋ง จึงพาพรรคพวกบุกเข้ามาในค่ายแล้วจุดเพลิงเผาค่ายเสีย

            ซุนเซ็กได้ฟังก็ยินดี ให้รับเจียวขิมและจิวท่าย รวมทั้งพรรคพวกสามร้อยนั้นเป็นทหารในกองทัพ และเกลี้ยกล่อมบรรดาชายฉกรรจ์ในเมืองเข้าเป็นทหาร ซุนเซ็กได้ทหารเพิ่มขึ้นจากการศึกครั้งนี้อีกกว่าสี่พันคน ครั้นจัดสังกัดทหารใหม่เก่าแล้ว ซุนเซ็กจึงสั่งให้เคลื่อนกองทัพไปเมืองขยกโอ๋

            ฝ่ายเตียวเอ๋งครั้นพาทหารที่แตกหนีไปถึงเมืองขยกโอ๋ ได้เข้าไปรายงานการศึกให้เล่าอิ้วทราบ เล่าอิ้วก็โกรธสั่งให้เอาตัวเตียวเอ๋งไปประหารชีวิต แต่บรรดาแม่ทัพนายกองได้อ้อนวอนร้องขอชีวิตเตียวเอ๋งไว้ เพราะเห็นเป็นทหารมีฝีมือ ยามหน้าศึกเช่นนี้ไม่สมควรฆ่าทหารและเสนอว่าสมควรให้เตียวเอ๋งยกไปตั้งสกัดกองทัพของซุนเซ็กอีกครั้งหนึ่ง โดยให้ยกไปตั้งที่เมืองเลงเหลง

            เล่าอิ้วเห็นชอบตามคำขอร้องของบรรดาแม่ทัพนายกอง จึงให้งดโทษประหารไว้แล้วสั่งให้เตียวเอ๋งยกทหารไปตั้งสกัดกองทัพของซุนเซ็กไว้ที่เมืองเลง เหลง ส่วนตัวเล่าอิ้วยกทหารอีกกองหนึ่งออกไปตั้งสกัดซุนเซ็กที่เชิงเขาสินเต๋ง ทางด้านทิศเหนือของเมืองขยกโอ๋

            ฝ่ายซุนเซ็กครั้นยกกองทัพมาถึงเขาสินเต๋งเขตแดนเมืองขยกโอ๋ เห็นกองทัพเล่าอิ้วมาตั้งค่ายสกัดอยู่ จึงสั่งให้หยุดทัพตั้งค่ายลงเตรียมทำศึกกับเล่าอิ้วต่อไป ในยามดึกคืนนั้น ซุนเซ็กนอนหลับแล้วฝันว่า พระเจ้าฮั่นกองบู๊มีรับสั่งให้ซุนเซ็กไปเฝ้า ครั้นรุ่งขึ้นซุนเซ็กเกิดความสงสัยว่าพระเจ้าฮั่นกองบู๊มีสุสานฝังพระบรมศพอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง เหตุไฉนจึงบังเกิดความฝันดังนี้

            ซุนเซ็กจึงสั่งให้ทหารไปจับชาวบ้านมาสอบถามว่าบริเวณนี้มีศาลของพระเจ้าฮั่นกองบู๊อยู่หรือไม่ ชาวบ้านได้แจ้งแก่ซุนเซ็กว่าเดิมสุสานพระบรมศพพระเจ้าฮั่นกองบู๊อยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง เมื่อครั้งตั๋งโต๊ะเผาเมืองลกเอี๋ยงสั่งให้ขุดพระบรมศพย้ายไปอยู่ที่เมืองเตียงอันรวมกับพระบรมศพของอดีตพระมหากษัตริย์พระองค์อื่น ๆ เกิดความสับสนไม่มีผู้ใดรู้ว่าหลุมฝังพระบรมศพของพระเจ้าฮั่นกองบู๊อยู่ ณ ที่ใด ดังนั้นเล่าอิ้วซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์จึงให้สร้างศาลพระเจ้าฮั่นกองบู๊ไว้ในตำบลนี้ เพื่อทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษตามอย่างธรรมเนียม

            ซุนเซ็กทราบความแล้วก็ปล่อยชาวบ้านนั้นไป แล้วปรึกษากับบรรดาแม่ทัพนายกองว่า ที่นี่มีศาลพระเจ้าฮั่นกองบู๊ตรงกับความฝันของข้าพเจ้า ดังนั้นจึงสมควรที่ข้าพเจ้าจะได้ไปที่ภูเขาอันเป็นที่ตั้งศาลพระเจ้าฮั่นกองบู๊นั้นเพื่อกราบถวายบังคมพระเจ้าฮั่นกองบู๊สักครั้งหนึ่ง

            เตียวเจียวได้ฟังดังนั้นจึงท้วงว่า ถิ่นแถบนี้เป็นเขตปกครองของเล่าอิ้ว และบนเขานั้นเป็นที่คับขันท่านไม่สมควรที่จะไปด้วยเกรงว่าจะเกิดอันตราย ซุนเซ็กจึงว่าในเมื่อพระเจ้าฮั่นกองบู๊มาเข้าฝันเรียกให้ข้าพเจ้าไปเฝ้าก็ย่อมต้องคุ้มครองให้ข้าพเจ้าปลอดภัยท่านอย่าได้กังวลเลย ว่าแล้วก็ใส่เกราะถือทวนขึ้นม้าพาทหารคนสนิทสิบสองคนขึ้นไปที่ภูเขาจนถึงศาลพระเจ้าฮั่นกองบู๊

            ซุนเซ็กได้เข้าไปในศาลกราบถวายบังคมแล้วอธิษฐานว่า ด้วยพระบารมีจงดลบันดาลให้ข้าพเจ้าได้ครองแคว้นกังตั๋ง การสำเร็จดังประสงค์แล้วข้าพเจ้าจะทำการบูรณะศาลนี้ให้งามสง่าและจะบวงสรวงเซ่นไหว้ทุกวันตรุษสารท แล้วซุนเซ็กก็ถวายบังคมลาออกมาจากศาล

            ซุนเซ็กได้ชวนบรรดาทหารที่ติดตามมาให้ขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อดูการตั้งค่ายและการจัดกำลังทหารของเล่าอิ้ว บรรดาทหารเหล่านั้นเห็นเป็นทางไม่คุ้นเคยและมีกำลังติดตามไม่กี่คนเกรงว่าจะเกิดอันตรายจึงห้ามซุนเซ็กและเชิญซุนเซ็กให้กลับไปค่าย แต่   ซุนเซ็กไม่ฟังคำทัดทาน ขับม้านำทหารขึ้นไปบนยอดเขา

            ฝ่ายทหารลาดตระเวนของเล่าอิ้วเห็นซุนเซ็กนำทหารมาที่ศาลของพระเจ้าฮั่นกองบู๊จึงไปรายงานให้เล่าอิ้วทราบ เสนอให้เล่าอิ้วยกทหารไปจับตัวซุนเซ็กก็จะได้ตัวโดยง่าย

            เล่าอิ้วเกรงว่าจะเป็นกลลวงของซุนเซ็กจึงว่าพื้นที่นี้เป็นเขตเมืองขยกโอ๋ หาก  ซุนเซ็กมีทหารมาน้อยจริง ไฉนจะกล้าล่วงมาถึงศาลพระเจ้าฮั่นกองบู๊ หากเรายกไปคงจะเสียทีแก่ซุนเซ็ก

            ไทสูจู้เห็นดังนั้นจึงว่าหากไม่ใช้โอกาสนี้จับตัวซุนเซ็กแล้ว ซุนเซ็กกลับไปค่ายก็จะเสียโอกาสไป ว่าแล้วไม่ฟังคำเล่าอิ้วว่ากล่าวประการใด ไทสูจู้ได้ถือทวนผลันออกมานอกค่ายแล้วประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดมีความกล้าหาญจะไปจับตัวซุนเซ็กกับเราบ้างก็ให้รีบตามมา

            ทหารในค่ายเล่าอิ้วเห็นไทสูจู้ยังเป็นเด็ก และแสดงอาการวู่วามก็พากันหัวเราะ คงมีแต่ทหารเลวคนหนึ่งชอบใจความกล้าหาญของไทสูจู้ จึงขับม้าตามไทสูจู้ไป

            ฝ่ายซุนเซ็กครั้นได้ตรวจตราดูการตั้งค่ายและการจัดวางกำลังทหารของเล่าอิ้วแล้วก็ลงมาจากภูเขา ขับม้ามาตามเนินเขา ทันใดนั้นได้ยินเสียงร้องมาจากด้านหลังว่าไอ้ซุนเซ็กมึงจะหนีไปไหน

            ซุนเซ็กเหลียวกลับมาทางด้านหลังเห็นทหารสองคนขับม้าไล่ตามมาจึงชักม้าหันกลับมาเผชิญหน้ากัน ไทสูจู้ถามว่าผู้ใดคือซุนเซ็ก ซุนเซ็กก็ว่าตัวเรานี้คือซุนเซ็ก แล้วตัวเจ้าเล่าเป็นผู้ใด ไทสูจู้จึงว่าตัวเราชื่อไทสูจู้เป็นทหารเล่าอิ้วจะมาจับตัวซุนเซ็ก.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร